Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 185 ยอมให้เจ้ากอดต้นขาข้า
Storm in the Wilderness – ขุนศึกสยบสวรรค์ ขุนศึกสยบสวรรค์บทที่ 185 ยอมให้เจ้ากอดต้นขาข้า
บทที่ 185 ยอมให้เจ้ากอดต้นขาข้า
“ตึง!”
เสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ โท่วปาเซียงเนียวหลับตาปีและพลิกตัวไปกอดเสาหินแนบแน่นโดยไม่รู้ตัวในใจคิดว่าคงไม่อาจหนีพ้น
หลังเสียงกึกก้องเงียบลงได้ครู่ใหญ่ โท่วปาเซียงเพียวพบว่านางยังมีชีวิตอยู่จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นดู สิ่งแรกที่ปรากฏต่อสายตาคือรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของเยี่ยฉวน อสูรหินเศียรสุนัขผู้น่าสะพรึงกลัวนอนแน่นิ่งอยู่อีกด้าน… มันตายสนิท ทั้งร่างเต็มไปด้วยรอยแตกร้าวนับไม่ถ้วนราวกับถูกทุบด้วยค้อนศึกขนาดมหึมา
ในที่สุดเยี่ยฉวนก็ลงมือโจมตียามโท่วปาเซียงเพียวเกือบถึงฆาต!
เยี่ยฉวนโคจรยันต์มังกรกลืนสวรรค์ ยันต์โครงกระดูกภายใต้กองซากศพและทะเลเลือด ยันต์พระโพธิสัตว์ และยันต์มหาสมุทรไพศาลพร้อมกันจนพลังเจ็ดหมื่นสองพันจินปะทุขึ้นและระเบิดร่างอสูรหินแตกสลายในกระบวนท่าเดียว! หมัดเดียวของเยี่ยฉวนเหนือกว่าการโจมตีด้วยกระบี่บินแวววาวของหลิวหงและผู้อื่นที่ผ่านมาทงหมด!
“เจ้าช่วยข้าไว้หรือ?”
โท่วปาเซียงเนียวแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง นางรู้ดีเห มือนคนอื่นๆว่าเยี่ยฉวนมีพลังซ่อนเร้นอยู่ภายใน แต่หมัดนี้ แข็งแกร่งเกินไปมากนี่คือพลังของผู้ฝึกตนขั้นซิวฉือจริงหรือ?!
“เป็นไปไม่ได้ ต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น อสูรหินเศียรสุนัขระเบิดตัวเองเพราะใช้พลังจนหมดสิ้นหรือเยี่ยฉวนมีสมบัติล้ําค่าซ่อนอยู่กันแน่?
หลิวหงสั่นศีรษะอย่างไม่เชื่อสายตาว่าพลังของเยี่ยฉวนจะน่าเกรงขามถึงเพียงนี้ แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นซิวฉือระดับสูงยังไม่อาจแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นได้ พลังของเขาเกือบเทียบเท่าขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋หรือเยี่ยฉวนจะบรรลุถึงขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋แล้ว? แน่นอน ว่าไม่ใช่.. ความแตกต่างระหว่างระดับขั้นที่ใกล้เคียงกันอาจมองเห็นได้ยาก แต่ไม่มีทางที่เยี่ยฉวนจะปกปิดความแตกต่างกันใหญ่หลวงระหว่างขั้นซิวฉือและขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋ได้แน่
โท่วปาเซียงเพียวไม่อยากเชื่อเช่นกัน ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อในความแข็งแกร่งของเยี่ยฉวน เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าเขาจะเสี่ยงชีวิตเข้ามาช่วยนางในวินาทีสุดท้ายเช่นนี้
ชายหนุ่มเยาะเย้ยและล้อเลียนนางทุกครั้งที่พบหน้าอีกทั้งยังเป็นปรปักษ์กับสํานักเครื่องนิลมาโดยตลอด เหตุใดจึงช่วยชีวิตนางไว้?
“ใช่ ข้าช่วยเจ้าไว้ แต่ภรรยา… คลายอ้อมกอดเจ้าหน่อยได้หรือไม่? เจ้ากอดต้นขาข้าแน่นมาครูใหญ่จนรู้สึกปวดไปหมดที่สําคัญคือข้าเองก็กระดากอาย กลางวันแสกๆ ยังกอดต้นขากันเช่นนี้หากเป็นยามค่ําคืนจะไม่… แค่ก! ต่อให้เจ้าจะร่วมหอลงโรงกับข้ามาแล้วก็ควรระวังให้มากกว่านี้”
เยี่ยฉวนมองโท่วปาเซียงเนียวพร้อมรอยยิ้มยียวนบนใบหน้า
“กร็ด…”
โท่วปาเซียงเพียวกรีดร้องอีกครั้ง นางเพิ่งสังเกตว่าสิ่งที่นางกอดไม่ใช่เสาหินหากแต่เป็นต้นขาของเยี่ยฉวน หน้าอกเต่งตึงขนาดพอเหมาะแนบชิดจนทั้งสองรู้สึกถึงอุณหภูมิร่างกายของกันและกันชัดเจน
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าเด็กเหลือขอผู้นี้ช่างรกหูรกตาไม่ว่าจะมองมุมไหนและเกลียดชังอีกฝ่ายถึงขั้นต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทุกครั้งที่พบหน้าแต่บัดนี้กลับกอดขาเขาแน่นต่อหน้าผู้อื่น แล้วนางจะไปสู้หน้าผู้ใดได้อีกเล่า?!
หัวใจของโท่วปาเซียงเพียวเต้นรัวราวกับลูกกวางน้อยและอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี
“แม่นางเซียงเนียว ครั้งหน้าถ้าเกิดเรื่องเช่นนี้อีกก็มาหาข้าได้ยอมปวดขาเสียหน่อยคงไม่เป็นไร” เยี่ยฉวนยกยิ้มก่อนกระโดดขึ้นไปบนโขดหิน
“อื้ม..”
โท่วปาเซียงเนียวทั้งโกรธทั้งอาย ตอนนี้นางเป็นหนี้บุญคุณเยี่ยฉวนครั้งใหญ่จึงไม่ควรก่นด่าเขาแม้จะอยากทําเช่นนั้นเพียงใดก็ตามเขาช่วยชีวิตนางไว้แล้วจะไปต่อว่าได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นจะตอบแทนบุญคุณในครั้งนี้ด้วยวิธีใดได้บ้าง?
ในยามนี้โท่วปาเซียงเพียวเป็นกังวลเหลือเกิน หากล่วงรู้มาก่อนว่าต้องเจอเยี่ยฉวนคงไม่เข้าร่วมภารกิจนี้แต่แรก นางคงฝึกตนอยู่ที่สํานักเครื่องนิลอย่างสบายใจไปแล้ว
“คุณชายเยี่ย น่ากึ่งเหลือเกิน! ท่านซ่อนเร้นพลังที่แท้จริงมาโดยตลอดจริงๆ แต่ถึงอย่างไรเราก็ยังอยู่ในสถานการณ์อันตรายท่านช่วยเผยเคล็ดลับอันลึกซึ้งของกระบวนท่าเมื่อครูได้หรือไม่?”หลิวหงกระโดดเข้าไปหาเยี่ยฉวนพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม นางมองอีกฝ่ายหัวจรดเท้าด้วยพยายามเปิดโปงความลับที่ซ่อนอยู่
“เคล็ดลับอันลึกซึ้งอะไรกัน.. ข้าเพียงแค่เหยียดขาออกไปแล้วเจ้ายักษ์นั่นบังเอิญสะดุดล้มจนร่างแตกสลายเองก็เท่านั้น”เยี่ย
ฉวนตอบ
เขาไม่มีทางพูดความจริงออกไปโต้งๆ ต่อหน้าหลิวหงผู้ปลิ้นปล้อนและเจ้าเล่ห์เป็นแน่ หมัดเมื่อครู่ว่องไวเสียจนไม่มีผู้ใดทันเห็นรายละเอียดชัดเจน หรือต่อให้หลิวหงเห็นเขาก็ไม่มีทางยอมรับ
หลิวหงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เมื่อหันไปมองร่างของอสูรหินที่เต็มไปด้วยรอยแตกร้าวก็ฉุกคิดบางสิ่งได้
ทั้งร่างของอสูรหินเศียรสุนัขถูกปกคลุมด้วยก้อนหินทําให้แข็งแกร่งคงกระพันและมีเพียงดวงตาที่นับว่าเป็นจุดอ่อนก็จริง แต่คําพูดของเยี่ยฉวนทําให้นางนึกขึ้นได้ว่าขาทั้งสองข้างก็เป็นจุดอ่อนของมันเช่นกัน ต่อให้ทรงพลังไร้เทียมทานแต่ขาทั้งสองข้างหักจะทําอะไรได้? แน่นอนว่าอสุรหินร่างยักษ์จะต้องตกเป็นเป้านิ่งทันที!
แววตาของหลิวหงทอประกายกล้าความมั่นใจในการข้ามปาหมีนอสูรเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่ มีบางสิ่งอยู่ข้างในมาดูนี่เร็วขอรับ!”
“ผลึกแก้วอักขระโบราณงั้นหรือ? ศิษย์พี่หญิงใหญ่เร็วเข้าขอรับ!”
หนาซานและหนาสู่ยตะโกนขึ้นพร้อมกัน
หลิวหงขึ้นเหยียบกระบี่บินไปหาพวกเขาและนั่งลงดู นางค่อยๆสอดมือเข้าไปในรอยแตกบนอกของอสูรหินและคลําหาอยู่ครู่ใหญ่ก่อนหยิบก้อนผลึกรูปมนุษย์ออกมา บนผิวของมันมีอักขระโบราณมากมายดูจากรูปร่างแล้วเรียกว่าก้อนผลึกมนุษย์จะเหมาะ กว่า
“เอ๊ะ นี่มัน… เคล็ดวิชาฝึกตนขั้นปฏพงั้นหรือ?”
หลิวหงครุ่นคิดก่อนจะกรีดร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นสุดขีด
เมื่อมองแวบแรกก้อนผลึกนี้รูปร่างเหมือนมนุษย์จิ๋วที่มีอักขระโบราณสลักอยู่บนร่างกาย แต่เมื่อพินิจดูให้ดีจึงพบว่าสิ่งที่สลักอยู่มากมายคือเคล็ดวิชาการฝึกตนอันทรงพลัง!
ในดินแดนรกร้าง เคล็ดวิชาการฝึกตนแบ่งออกเป็นขั้นเทวาลัย ขั้นปถพีขั้นซวน และขั้นอําพัน สํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์ต่างเป็นสํานักที่ก้าวหน้าขึ้นอย่างกะทันหันแตกต่างจากสํานักหมอกเมฆาที่มีประวัติสืบทอดมาอย่างยาวนาน แม้ทั้งสองสํานักจะรุ่งเรืองจนบดบังสํานักหมอกเมฆาที่กําลังเสื่อมโทรมในช่วงไม่กี่ปี ที่ผ่านมา ทว่ามรดกตกทอดในสํานักยังมีไม่มากนักเคล็ดวิชาการฝึกตนโดยส่วนมากจึงอยู่ในขั้นซวนและขั้นอําพัน การได้เคล็ดวิชาฝึกตนขั้นปถพี่มาโดยบังเอิญจึงทําให้หลิวหงตื่นเต้นยินดีโดยไม่ได้ตั้ง
หลิวหงรีบปิดปากและกําก้อนผลึกไว้แน่นทันที
ปัญหาใหญ่บังเกิดขึ้นตรงหน้าทันใด
มีคนทั้งหมดหกคนทว่ามีก้อนผลึกมนุษย์เพียงก้อนเดียวต่อให้ไม่รวมหนาซานและหนาสู่ยก็ยังมีคู่หยิงกุย โท่วปาเซียงเนียว และเยี่ยฉวนแล้วพวกเขาจะจัดการอย่างไรดี?
นางต้องเปิดเผยเคล็ดวิชาขั้นปถพีที่ได้มาอย่างยากลําบากนี้ให้แก่ทุกคนและฝึกตนด้วยกันอย่างนั้นหรือ?
หลิวหงทําใจได้ยากยิ่ง เคล็ดวิชาการฝึกตนขั้นปถพี่เป็นที่ต้องการสูงในโลกภายนอกจนผู้คนอาจถึงขั้นยอมนองเลือดเพื่อแย่งชิงทั้งยังไม่ใช่นิสัยของนางที่จะยอมยกสิ่งที่อยู่ในมือให้มาร่วมฝึกตนด้วยกันแต่นางจะโน้มน้าวผู้อื่นและเก็บไว้เป็นของตนแต่ เพียงผู้เดียวได้อย่างไร?
หลิวหงแอบชําเลืองมองโท่วปาเซียงเนียว เยี่ยฉวน และคนอื่นๆ
นางสามารถหาข้ออ้างให้ศิษย์พี่ลู่ไม่เข้ามาข้องเกี่ยวได้ไม่ยากส่วนโท่วปาเซียงเนียวนั้นอ่อนแอเกินไปและคงไม่อาจพูดอะไรได้ มากนักปัญหาสําคัญอยู่ที่เยี่ยฉวน ผลึกแก้วมนุษย์ควรเป็นของผู้ที่กําจัดอสูรหินเศียรสุนัขได้สําเร็จ เยี่ยฉวนจึงได้หน้าจากการปิดฉากโจมตีครั้งสุดท้ายไปเต็มๆ การแย่งชิงก้อนผลึกมนุษย์กับเขาคงจะ ยากเย็นไม่ใช่น้อยยิ่งไปกว่านั้นตําแหน่งศิษย์ที่ใหญ่สํานักหมอกเมฆาของเยียฉวนไม่เคยสั่นคลอนแม้จะผ่านอุปสรรคนานัปการอีกทั้งยังสามารถปราบกบฏในสํานักได้ในเวลาอันรวดเร็ว แล้วหลิวหงจะสามารถชิงไหวชิงพริบกับคนผู้นี้ได้จริงหรือ?!