Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 183 แกร่งกล้าแต่กําเนิด
ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 183 แกร่งกล้าแต่กําเนิด
บทที่ 183 แกร่งกล้าแต่กําเนิด
“ระวังตัวด้วย โจมตี!”
หลิวหงเผยสีหน้าซีดเผือดพลางรีบเร่งสั่งการ
อสูรหินเศียรสุนัขผู้แข็งแกร่งแลดูเหมือนก้อนหินใหญ่ที่กลิ้งไปตามตรอกแคบและคดเคี้ยว แม้แต่ช้างทั้งตัวคงถูกบดขยี้ไม่เหลือชิ้นดี หากปะทะโดยตรง และต่อให้พวกเขาอยากกระโดดหลบก็ไม่มีพื้นที่เพียงพอ
ในสถานการณ์คอขาดบาดตายเช่นนี้ หลิวหงไม่ได้บุกหรือสั่งการ ศิษย์สํานักเบญจลักษณ์ทั้งสองหากแต่ออกคําสั่งกับศิษย์พี่สู่ผู้หัวรั้น แสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วการรวมกลุ่มออกสํารวจเป็นเพียงการหากําลังเสริมโดยไม่ต้องเสียค่าจ้างเท่านั้น
“ฆ่ามัน!”
ทว่าศิษย์พี่ลู่ไม่ได้คิดอะไรซับซ้อนมากนัก เขาพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่รอคําสั่งของหลิวหงและใช้กระบองฟาดหัวอสูรหินเศียรสุนัขอย่างดุดัน!
กระบองหนักกว่าสามพันจินหักเป็นสองท่อน! อสูรหินเศียรสุนัขที่กําลังจู่โจมเข้ามาหยุดชะงักไปเพียงเล็กน้อยซ้ําร้ายยังไม่มีแม้รอยขีดข่วน
ศิษย์พี่ลู่หยิงกุยที่คุยโวถึงความแข็งแกร่งเหนือมนุษย์ของตนมาโดยตลอดถึงกับตะลึงงัน ก่อนกําปั้นขนาดยักษ์จะส่งเขาลอยขึ้นไปในอากาศทันใด! ไหล่ของเขายุบและแขนขวาเคลื่อนผิดรูป ชายร่างใหญ่บาดเจ็บสาหัสจากการปะทะอย่างรุนแรงจนไม่อาจตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนได้ “ตึง! ตึง!” เสียงฝีเท้าหนักอึ้งดังใกล้ เข้ามาทุกขณะ หากต่ําลงบนร่างของเขาคงแหลกเหลวเป็นเนื้อบดแน่!
“หนาซาน! หนาสู่ย! ใช้เชือกตะขอเร็วเข้า!”
หลิวหงเคร่งเครียด แววตาสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว
หนาซานและหนาสู่ยไม่ใช่ศิษย์สํานักเบญจลักษณ์ทั่วไปหากแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่หลิวหงไว้วางใจ จึงสั่งการให้ศิษย์พี่ลู่ออกไปเผชิญอันตรายก่อนเพื่อรักษากําลังสําคัญของตนไว้ แต่เมื่อนางต้องเป็นฝ่ายเผชิญหน้ากับอสูรหินอันน่าเกรงขามเสียเองก็ไม่มีทางเลือก
“ขอรับศิษย์พี่หญิงใหญ่!”
ศิษย์ทั้งสองรับคําก่อนกระโดดขึ้นไปบนโขดหินสองข้างทางโดยพร้อมเพรียงกันและนําเชือกเส้นยาวที่มีตะขอผูกไว้ตรงปลายออกมา พวกเขาเหวี่ยงเชือกเหนือหัวและโยนไปเกี่ยวขาทั้งสองข้างข องอสูรหินเอาไว้ ต่างฝ่ายต่างดึงขาแต่ละข้างไปยังทิศตรงข้ามอย่างสุดกําลัง
เคล็ดวิชาตะขอแยกร่าง!
พี่น้องแซ่หนาใช้เคล็ดวิชาเฉพาะของพวกเขาอย่างรวดเร็ว โดยปกติแล้วท่าไม้ตายอันเรียบง่ายแต่ดุดันนี้สามารถฉีกร่างคนธรรมดาออกเป็นสองส่วนได้ ทว่ากลับใช้ไม่ได้ผลในครั้งนี้! แม้จะใช้พละกําลังทั้งหมดที่มีก็ไม่อาจดึงขาทั้งสองข้างให้ขยับเขยื้อนได้ราวกับกําลังดึงภูเขาทั้งลูก!
ฉับพลันอสูรหินเศียรสุนัขคว้าเชือกตะขอเอาไว้และดึงร่างของสองพี่น้องเข้ามาปะทะอย่างรุนแรง
“หนี! หนีเร็ว!”
หลิวหงกลัวจนหน้าถอดสีเมื่อเห็นความแข็งแกร่งของอสูรหินตนนี้และหันหลังหนีทันที ส่วนเยี่ยฉวนนั้นหนีไปก่อนหลิวหงเสียอีก ด้านศิษย์พี่ลู่และพี่น้องแซ่หนาที่เพิ่งตกลงมากระแทกพื้นก็ดิ้นรนห นี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้ โดยมีอสูรหินเศียรสุนัขที่แกร่งกล้าแต่กําเนิดจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นอมตะไล่ตามหลังอย่างไม่ลดละ แม้จะเคลื่อนไหวเชื่องช้าแต่เพียงก้าวเดียวก็เทียบเท่าหลายก้าวของมนุษย์ ระยะห่างจึงลดลงเรื่อยๆ ซ้ําร้ายมันยังหยิบหินก้อนใหญ่ขึ้นมาขว้างใส่พวกเขาจนปิดกั้นทางหนีทั้งหมด!
เหงื่อเย็นเฉียบผุดพรายบนใบหน้าของหลิวหงเมื่อเห็นอสูรหินใกล้เข้ามาทุกขณะ ก่อนหน้านี้นางพยายามแย่งชิงตําแหน่งหัวหน้า แต่บัดนี้นางไม่รู้จะทําอย่างไรและไม่กล้าแม้แต่จะต่อรู้
“ตึง! ตึง! ตึง!” อสูรหินเศียรสุนัขก้าวยาวๆเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่มองดูกําปั้นของมันก็สั่นสะท้านด้วยความสะพรึงกลัว ศิษย์พี่ลู่เจ็บปางตายในหมัดเดียวโดยที่ไม่โดนจุดสําคัญเสียด้วยซ้ํา หากเป็นหลิวหงหรือโท่วปาเซียงเนียวหมัดนั้นจะไม่คร่าชีวิต พวกนางไปแล้วหรือ?!
“คุณชายเยี่ย เราจะทําอย่างไรต่อไปดี? คุณชายเยี่ย…” หลิวหง ละล่ําละลักเสียงสั่น รู้สึกราวกับพบที่พึ่งพิงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเยี่ยฉวน ยังไม่เคลื่อนไหวใดๆ
ชายผู้นี้นําศิษย์สํานักหมอกเมฆาคว้าชัยชนะในการประลองครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างสามสํานัก ยืมเตาหลอมระดับสวรรค์อันล้ําค่ามาจากสํานักอสูรเมฆาได้สําเร็จ และปราบกบฏในสํานักหมอกเมฆาได้อย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้ไม่น่ายกย่องนับถือหรอกหรือ?
สายตาเฉียบแหลมของหลิวหงเล็งเห็นว่าเยี่ยฉวนนั้นไม่ธรรมดา และทุกสิ่งที่เขาทําก็ยืนยันแล้วว่านางมองไม่ผิด นางไม่เชื่อว่าเขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นซิวฉือระดับสาม ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้จึงคิดพึ่งความแข็งแกร่งของเยี่ยฉวนผู้มีฝีมืออย่างแท้จริง
แววตาของหลิวหงเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง แต่เมื่อหันหลังไปกลับต้องอึ้งจนพูดไม่ออก
เยี่ยฉวนที่ยืนอยู่หลังนางมาโดยตลอดหายตัวไปตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจทราบ… ดูเหมือนว่าเขาจะหนีไปเป็นคนแรก!
“นี่! ทางนี้”
เยี่ยฉวนโบกมือให้หญิงสาวจากบนโขดหินใหญ่พลางกล่าวออกด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าขออภัยแม่นางหลิว ขั้นการฝึกตนของข้าต่ําต้อยที่สุดและกล้าหาญน้อยที่สุดจึงจําต้องหนีมาก่อนเช่นนี้ ข้าจะช่วยเจ้าจัดกระบวนทัพจากบนนี้เอง เจ้าสู้ต่อได้เลย ส่วนภรรยาข้า…. หากไม่อยากตายก็ขึ้นมาช่วยท่านหัวหน้าหลิวกับสามีเจ้าบนนี้สิ มานั่งรอชมกระบวนท่าสังหารเคล็ดวิชาแห่งสํานักเบญจลักษณ์ของนางกันเถอะ!”
หลิวหงเป็นคนประเภทที่พูดภาษามนุษย์ เมื่อพบกับมนุษย์และพูดภาษาผีเมื่อเห็นผีก็ตั้งรับไม่ทัน นางเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงรีบหนีทันที ทว่าเยี่ยฉวนนั้นว่องไวกว่า เขาไม่โง่ทุ่มบ่ามเข้าไปเหมือนศิษย์พี่ลู่เมื่อมองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าอสูรหินเศียรสุนัขสูงกว่า สามเมตรนี้เชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิด การประจันหน้ากับมัน ตัวต่อตัวเป็นความคิดที่โง่เขลาที่สุดเว้นเสียแต่คนผู้นั้นจะมีพลังเทียบเทียมสวรรค์
ต่อให้มีพลังเทียบเทียมสวรรค์ก็ไม่จําเป็นต้องปะทะกับมันโดยตรง ความแข็งแกร่งของเยี่ยฉวนทะยานขึ้นถึงเจ็ดหมื่นสองพันจิน หลังบรรลุขั้นซิวฉือระดับสามและก่อรวมยันต์กลืนกินสวรรค์ใบที่สี่ได้สําเร็จจึงมั่นใจว่าจะสามารถต่อกรกับอสูรหินตนนี้ได้แน่ แต่มันจําเป็นด้วยหรือ?
เห็นได้ชัดว่าไม่จําเป็น! ชายหนุ่มจะไม่เปิดฉากโจมตีเว้นเสียแต่จะเข้าตาจนและไม่เหลือทางเลือกอื่นใด หลิวหงเองก็ยังไม่เคลื่อนไหวจึงไม่จําเป็นต้องรีบร้อนนัก
หลิวหงไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาชั้นยอดแห่งสํานักเบญจลักษณ์สังหารอสูรร้าย แต่กลับกระโดดขึ้นมายืนข้างเยี่ยฉวนเป็นคนแรก ส่วนโท่วปาเซียงเพียว ลู่อิงกุ่ย และพี่น้องแซ่หนาพากันกระโดดขึ้นไปบนโขดหินก้อนอื่น ในยามนี้ไม่มีผู้ใดสิ้นคิดพอจะเผชิญหน้ากับอสูรหินเศียรสุนัขตัวต่อตัว
“คุณชายเยี่ย ท่านจะไร้หัวใจเกินไปแล้ว! หนีมาก่อนเช่นนี้ไม่กลัวว่าข้าจะถูกอสูรหินฆ่าตายในหมัดเดียวหรือ?”
หลิวหงแสร้งทําเป็นเด็กสาวที่บอบบางและตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวหมายจะกระตุ้นให้เยี่ยฉวนเคลื่อนไหว
การหนีสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก พวกเขายังเข้ามาในปาหินมาได้ไม่นานและยังมีอันตรายที่ไม่อาจล่วงรู้รออยู่ข้างหน้ามากมาย หากล่าถอยเสียตอนนี้จะผ่านปาหินและสํารวจอาณาจักรสวรรค์ได้อย่างไร? ไม่อยากครอบครองขุมทรัพย์แห่งอาณาจักรสวรรค์กันหรอกหรือ?
หลิวหงเพิกเฉยต่อสายตาหึงหวงของพี่น้องแซ่หนาและสีหน้ารังเกียจของโท่วปาเซียงเพียว นางพยายามยั่วยวนเยี่ยฉวนอย่างเปิดเผยในที่แจ้งเพราะต้องการพึ่งพาเขาในตอนนี้ ต่อให้ถูกตีจนตายก็ไม่อาจเชื่อว่าอีกฝ่ายบรรลุเพียงขั้นซิวฉือระดับสามเท่านั้น
หลิวหงมั่นใจในรูปโฉมของตนมาโดยตลอด เยี่ยฉวนคงไม่อาจทําใจแข็งปล่อยให้อสูรหินดุร้ายมาเด็ดดอกไม้งามไปได้ยามที่นางอิงแอบแนบอกเขาเช่นนี้ ทว่าความมั่นใจเต็มร้อยของนางต้องสะดุดลง เมื่อเยียฉวนกระโดดไปที่โขดหินอีกก้อนอย่างกะทันหันพร้อมรอยยิ้มชั่วร้ายจนร่างบอบบางเกือบร่วงลงไปกองแทบเท้าอสูรหิน!
“คุณชายเยี่ย! ท่าน…”
หลิวหงใบหน้าแดงก่ําด้วยความโกรธจัด แต่ยังพูดไม่ทันจบกลับรู้สึกว่าถูกยกลอยขึ้นจากพื้นเรื่อยๆ นางก้มลงมองก่อนเผยสีหน้าซีดเผือด..
อสูรหินเศียรสุนัขเอื้อมมือคว้าโขดหินสูงใหญ่ที่นางยืนอยู่ไว้ในมือพลางทําท่าจะเขวี่ยงหินหนักหลายพันตันนี้ไปให้ไกลราวกับกระสอบทราย!