Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 153 แม่สาวน้อยอย่าเพิ่งไป!
Storm in the Wilderness – ขุนศึกสยบสวรรค์ ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 153 แม่สาวน้อยอย่าเพิ่งไป!
ราชินีเผ่าอสูรใช้เคล็ดวิชาทันทีที่พูดจบ เสียงกึกก้องดังกังวานจากใต้พสุธาพร้อมคลื่นความร้อนเดือดพล่าน ผืนแผ่นดินสั่นสะเทือนก่อนเตาหลอมระดับสวรรค์ที่ถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงจะพุ่งขึ้นมาต่อหน้าฝูงชน
อุณหภูมิในห้องโถงแห่งสํานักอสูรเมฆาพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว
ยอดฝีมือสํานักอสูรเมฆาพากันล่าถอยไปที่ละคนด้วยใบหน้าชุ่มเหงื่อและมีควันลอยออกมาจากเสื้อผ้า
เตาหลอมเก่าแก่ใบนี้ไม่ใหญ่นักเมื่อเทียบกับเตาหลอมทั่วไป แต่ภายในนั้นแตกต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง ตํานานกล่าวว่าแม้แต่ภูเขาทั้งลูกก็ใส่เข้าไปได้สบาย
บนเตามีเส้นที่มีความหนาและความ ลึกแตกต่างกันไปสลักไว้ บ้างต่อกันเป็นลวดลายสามมิติ บ้างต่อกันเป็นอักขระโบราณที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจ เปลวไฟร้อนระ อุแผดเผาทั้งภายในและภายนอกจนยากจะบอกว่ามัน ถูกกลืนกินเข้าไปหรือพวยพุ่งออกมา ประกายไฟปะทุขึ้นไปเบื้องบนราวกับมีลมพัดอยู่ภายในและเปลวไฟ เต้นเป็นจังหวะประหนึ่งเตาหลอมนี้มีชีวิต!
ทุกคนมองดูสมบัติล้ําค่าด้วยดวงตาเบิกกว้าง ความร้อนที่แผดออกทําให้ต้องถอยหลังหนีอีกครั้ง
เยี่ยฉวนไม่ได้มองดูเตาหลอมระดับสวรรค์นี้ด้วยความตะลึงงันเฉกเช่นผู้อื่นหากแต่เป็นความโศกเศร้า
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เตาหลอมระดับสวรรค์เป็นสมบัติที่เขาหวงแหนจนไม่อาจปล่อยไปได้ เขากลั่นยาเม็ดนับไม่ถ้วนทั้งยังกวาดล้างดินแดนรกร้างและดินแดนอันตรายอื่นๆ ด้วยสมบัติชิ้นนี้ ต่อมาเขาได้มอบมันแก่ราชินีอสูรเนตรสีฟ้า เพื่อช่วยยับยั้งชะตากรรมของสํานักอสูรเมฆา เขาแวะเวียนมาใช้เตาหลอมใบนี้อยู่บ่อยครั้งยามที่สํานักเพิ่งก่อตั้ง ก่อนมาเยือนน้อยลงเรื่อยๆ ตามกาลเวลา
หลายล้านปีต่อมาหลังออกจากสุสานเทพเจ้า เตาหลอมระดับสวรรค์ยังคงสภาพเหมือนในกาลก่อน ทว่าผู้คนที่ร่วมขัดเกลายาด้วยกันได้จากไปเสียแล้ว
“พ่อหนุ่ม เจ้ากลัวงั้นหรือ?”
หงจือเซียถากถางอย่างเผ็ดร้อนขณะเดินลงมาจากแท่นสูงด้วยสีหน้าเย็นชา “ไม่แปลกที่เจ้าจะกลัว หากผู้ที่ยังไม่บรรลุขั้นปรมาจารย์ระดับเต่เข้าไปคงไหม้เป็นจุณแน่ ฮ่าๆๆ!”
“ใช่ ข้ากลัวเล็กน้อย หากแม่นางจือเซียไม่กลัวก็เชิญเข้าไปก่อนเลย ข้าจะตามเจ้าไปเอง”
คําตอบของเยี่ยฉวนทําให้หงจือเซียชะงัก ต่อให้ขั้นการฝึกตนของนางจะสูงส่งแต่ผู้ใดจะกล้าผลีผลามกระโจนเข้าไปเล่า? เยี่ยฉวนเหลือบมองราชินีเผ่าอสูรบนบัลลังก์ก่อนกล่าวออก “องค์ราชินี ข้ากลัวน้ําและไฟมาแต่ยังเยาว์ ข้าละอายนักที่ต้องบอกว่าข้าไม่เคยกลั่นยาสําเร็จด้วยตนเองมาก่อนเลยแม้สํานักหมอกเมฆาจะขึ้นชื่อด้าน การปรุงยาก็ตาม เราเปลี่ยนวิธีประลองไม่ได้หรือ?”
“ไม่ได้ เมื่อข้านับถึงสาม เจ้าทั้งสองจะต้องกระโจนลงไปในเตาหลอมระดับสวรรค์ ผู้ใดอยู่ได้นานกว่าเป็นผู้ชนะ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์”
ราชินีเผ่าอสูรปฏิเสธเสียงเรียบ นางขมวดคิ้วด้วยความหม่นหมองเมื่อเห็นท่าทางจริงใจของเยี่ยฉวน
สีหน้าเยี่ยฉวนยามเห็นเตาหลอมระดับสวรรค์เป็นครั้งแรกทําให้เกิดความเคลือบแคลงขึ้นในจิตใจ แม้เหล่ายอดฝีมือแห่งสํานักอสูรเมฆาจะไม่เห็นร่องรอยความเศร้าโศกและแววตาที่แปรเปลี่ยนไปวูบหนึ่งนั้นแต่ไม่อาจรอดพ้นสายตาของราชินีเผ่าอสูรเช่นนางไปได้ สีหน้าที่มีเพียงปรมาจารย์ขั้นสุดยอดเท่านั้นที่เข้าใจปรากฏบนใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้ไม่เคยผ่านโลกมาก่อนได้อย่างไร?
ราชินีเผ่าอสูรเริ่มสงสัยถึงตัวตนที่แท้จริงของเยี่ยฉวน แต่ท่าทางจริงใจของเขาในยามนี้กลับแลดูไม่คุ้นเคยอีกครั้ง
“ก็ได้องค์ราชินี ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องเสี่ยงชีวิตไปก่อน แม่นางจือเซีย ข้าจะรอเจ้าอยู่ข้างในรีบตามมาล่ะ!”
เยี่ยฉวนส่ายศีรษะพร้อมส่งยิ้มยียวนให้สตรีพรหมจรรย์และกระโดดลงไปในเตาหลอมระดับสวรรค์ก่อนที่ราชินีจะนับหนึ่งเสียอีก!
“หมอนั่นโดดลงไปจริงหรือ?!”
“ขั้นซิวฉือระดับสองเนี่ยนะ?! รนหาที่ตายชัดๆ! เขาถูกย่างไปแล้วแน่ๆ!”
เกิดความโกลาหลในหมู่ยอดฝีมือสํานักอสูรเมฆา พวกเขาจ้องเตาหลอมระดับสวรรค์ตาไม่กะพริบเมื่อเยี่ยฉวนผู้วิ่งวอนอยู่เมื่อครู่กระโจนเข้าไปในเตาอย่างแน่วแน่!
อุณหภูมิในเตาหลอมระดับสวรรค์ร้อนระอุน่าหวาดหวั่นยิ่ง แม้แต่ปรมาจารย์แห่งเต๋าก็ต้องทุกข์ทรมานหากกระโดดลงไป นับประสาอะไรกับจอมยุทธ์ขั้นซิวฉือระดับต้น!
ผู้ที่จ้องมองเตาหลอมอยู่กลับผิดหวังเมื่อไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ออร่าของเยี่ยฉวนหายวับทันทีที่กระโดดลงไป เตาหลอมระดับสวรรค์ยังคงนิ่งสนิทราวกับชายหนุ่มทั้งคนหายไปในอากาศดุจก้อนดินในท้องทะเล ดูเหมือนว่าอุณหภูมิในเตาทําให้เขาระเหยกลายเป็นไอในทันที
“เอ่อ…”
ราชินีเผ่าอสูรลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ เส้นผมสีขาวลอยขึ้นอีกครั้ง
“ข้าจะไปดูว่าเด็กนั่นตายหรือยัง!”
หงจือเซียขบกรามแน่นก่อนกระโจนลงไปในเตาหลอมแสงสีฟ้าเปล่งประกายก่อนพลังวิญญาณจะแปรเปลี่ยนเป็นชุดเกราะสีฟ้าเข้มห่อหุ้มร่างกายของนางเอาไว้
ฉับพลันเตาหลอมระดับสวรรค์สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
สตรีพรหมจรรย์รู้สึกถึงทะเลเพลิงที่ปกคลุมร่างของนางจนแทบไหม้แม้จะเตรียมพร้อมมาแล้ว ความเจ็บปวดแสนสาหัสแล่นริ้วไปทั้งกายจนชนเข้ากับผนังของเตาหลอมโดยไม่ตั้งใจ นางฝืนลืมตาขึ้นอย่างยากลําบากและมองเห็นแต่ เปลวเพลิงทุกหนแห่ง ทางออกเบื้องบนมีให้เห็นเพียงเลือนรางขณะที่ภายในเตาหลอมนั้นราวกับเป็นอีกโลกหนึ่ง
“แม่นางจือเซีย เจ้ามาจริงหรือ?” น้ําเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น หงจือเซียหันไปมองเยี่ยฉวนที่นั่งขัดสมาธิยิ้มกริ่มอยู่ไม่ไกลนัก หญิงสาวผู้อยู่ขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋ารู้สึกเจ็บปวดเกินบรรยายทว่าอีกฝ่ายกลับดูสบายดีอย่างเหลือเชื่อ!
“เจ้า… ยังไม่ตายอีกหรือ?!”
หงจือเซียประหลาดใจอย่างมาก นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางโคจรพลังวิญญาณในกายและนั่งขัดสมาธิลง แทบไม่อยากเชื่อว่าพลังของตนจะด้อยกว่าเยี่ยฉวน
“หากเจ้าอยากตายทั้งที่ระดับขั้นการฝึกตนสูงถึงเพียงนี้ข้าก็จะไม่ขัดขวาง” เยี่ยฉวนพินิจดูสัดส่วนโค้งเว้าของสตรีพรหมจรรย์พร้อมเผยรอยยิ้มชั่วร้ายที่ทําให้นาง ขนลุกเกรียว
“ฮึ่ม! คนดีย่อมอายุสั้น แต่คนชั่วกลับอยู่กระทําชั่วได้เป็นพันๆปี!”
สตรีพรหมจรรย์พ่นลมด้วยสีหน้าซีดเซียว พลังงานของนางถูกใช้ไปเรื่อยๆ เพื่อคงชุดเกราะสีฟ้าเอาไว้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงยื้อเอาไว้ได้อีกไม่นาน
“เฮ้อ… ว่ากันว่าการเป็นคนชั่วเพียงวันเดียวนั้นง่าย แต่การเป็นคนชั่วช้าไปตลอดชีวิตนั้นยากยิ่ง”
เยี่ยฉวนส่งยิ้มให้หงจือเซียท่ามกลางทะเลเพลิง ชายหนุ่มไม่ทรมานแม้แต่น้อย ซ้ํายังแลดูเพลิดเพลินกับสถานการณ์นี้
เตาหลอมระดับสวรรค์เป็นของกํานัลที่เยี่ยฉวนมอบให้แก่ราชินีอสูรเนตรสีฟ้า เขาย่อมรู้ความลับของเตาหลอมที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาวุธสังหารคู่กายมากกว่าใคร อีกทั้งยังมีวิธีรับมือกับเปลวไฟได้เป็นอย่างดี เขาสามารถใช้เปลวไฟเหล่านี้ในการชําระและขัดเกลาร่างกายรวมถึงเสริมสร้างความแข็งแกร่งของหลอดเลือด ซึ่งเป็นความลับที่แม้แต่จอมยุทธ์ขั้นมหาปราชญ์ฝึกหัดยังไม่รู้ นับประสาอะไรกับสตรีพรหมจรรย์ที่กําลังเกรี้ยวกราดอยู่ในตอนนี้
หงจือเซียไม่ได้เอ่ยตอบด้วยหมดเรี่ยวแรงจะโต้เถียง นางพยายามต่อกรกับเปลวไฟที่ร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆอย่างสุดกําลัง ขณะที่ชุดเกราะสีฟ้าค่อยๆจางลง หญิงสาวเพิ่งเข้ามาได้ไม่นานแต่ต้านทานแทบไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“แม่นางจือเซีย เจ้าช่างงดงามจริงๆ หากข้าไม่ได้มีศิษย์น้องหญิงอีกทั้งเด็กสาวสํานักเครื่องนิลและหงหงแห่งสํานักเบญจลักษณ์อยู่แล้วก็คงจะชอบพอเจ้าอยู่หรอก”
สตรีพรหมจรรย์พยายามรวมพลังวิญญาณเพื่อต้านทานเปลวเพลิง แต่เยี่ยฉวนกลับไม่ยอมให้นางทําเช่นนั้น เขาจ้องใบหน้าสะสวย อกอวบอิ่ม บั้นทายหนักแน่น และส่วนอื่นๆของนางด้วยสายตาโลมเลีย มิหนําซ้ํายังพูดจาหยอกเย้าไปด้วย “ใบหน้าของเจ้างดงามแต่ขนตาของเจ้าสั้นไปนิด หากเจ้าติดขนตาปลอมคงดูดีขึ้นไปอีก ผิวของเจ้า… จ๊ๆ… นวลเนียนเสียจริงข้าใคร่รู้นักว่าสัมผัสเป็นเช่ แต่เอ๊ะ… เหตุใดเส้นขนของเจ้าจึงยาวเช่นนี้ หน้าท้องของสตรีควรเรียบเนียนกว่านี้สิ แม่นางจือเซีย อย่าได้โมโหไป หากหงุดหงิดนานระวังท้องของเจ้าจะป่องนะ เอ๊ะ…. เกิดอะไรขึ้นอีกเล่า? เหตุใดจึงตัวสั่นเช่นนั้น? ถึงจะชอบข้าก็ไม่จําเป็นต้องตื่นเต้นถึงเพียงนี้หรอก ข้าไม่ใช่ผู้ชายง่ายๆ”
“กรี้ด… ไอ้ผีทะเล! ข้าจะฆ่าเจ้า!”
หงจือเซียอดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป ฝ่ามือทรงพลังฟาดมาทางเยี่ยฉวนหมายจะตบให้ตาย เคราะห์ร้ายที่เปลวเพลิงในเตาหลอมลุกโชนขึ้นอย่างรุนแรง ชุดเกราะสีฟ้าบนร่างพลันหายวับไปราวกับควัน เสื้อผ้า ชุดชั้นใน รวมถึงชุดคลุมของนางสลายกลายเป็นเถ้าถ่านเผยให้เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่า ไม่มีชายใดที่ไม่น้ําลายไหลหากได้เห็นท่าทางและสัดส่วนเย้ายวนใจนี้!
“กรี๊ด…”
สตรีพรหมจรรย์กรีดร้องสุดเสียง มือข้างหนึ่งปิดทรวงอกขณะที่อีกข้างปิดส่วนลับเอาไว้ก่อนกระโดดออกจากเตาหลอมระดับสวรรค์ทันที ทั้งร่างร้อนรุ่มราวกับจะไหม้เป็นจุณ!
“ ทรวดทรงของเจ้างดงามยิ่ง!”
เยี่ยฉวนยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนกระโดดตามหลังนางออกไปพร้อมตะโกน “ไม่ต้องกลัว! แม่นางจือเซียอย่าเพิ่งไป! รอข้าก่อน!”
สตรีพรหมจรรย์รู้สึกโล่งอกทันที่ที่ออกมาจากเตาหลอมระดับสวรรค์ นางกําลังจะฉวยโอกาสที่ยังไม่มีผู้ใดเหินเหาะไปจากที่นี่ทว่าจู่ๆ กลับรู้สึกหนักอึ้ง เมื่อก้มหน้าลงมองจึงพบว่าเยี่ยฉวนคว้าข้อเท้าของนางเอาไว้! หากมองจากมุมนี้ เขาต้องเห็น
ไอ้โรคจิต!
สีหน้าของหญิงพรหมจรรย์ผู้กระตือรือร้นเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ําจนแทบเป็นลม!