Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 150 ข้าจะกัดกลืน เจ้า!
ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 150 ข้าจะกัดกลืน เจ้า!
ณ ห้องโถงใหญ่แห่งสํานักอสูรเมฆา เต็มไปด้วยบรรดาผู้มีตําแหน่งสูงส่งของสํานักทั้งหมดที่เดินทางมารวมตัวกันอย่างเร่งด่วน
เนื่องจากครั้งนี้ราชินีอสูรเกศาขาวเข้าร่วมการประชุมใหญ่ด้วยตนเอง เหล่าผู้อาวุโสและบรรดาศิษย์ชั้นเลิศคนอื่นๆ จึงไม่กล้าเพิกเฉยและเร่งรุดไปโดยเร็ว ทว่าจุดสนใจของการประชุมไม่ใช่นางแต่เป็นศิษย์ต่างสํานักเช่นเยี่ยฉวน! สายตาหลายคู่จับจ้องไปที่เขาด้วยความอาฆาตมาดร้ายระคนประหลาดใจยิ่ง!
เหตุการณ์ครู่นี้ที่เยี่ยฉวนเคลื่อนย้ายภูเขาและแม่น้ำลําธารเพื่อต่อต้านการโจมตีจากราชินีอสูรเกศาขาวประจักษ์ชัดต่อสายตาฝูงชน ทําให้คนเหล่านั้นมองศิษย์พี่ใหญ่เยี่ยฉวนแห่งสํานักหมอกเมฆาด้วยมุมมองที่แตกต่างจากเดิม คิดอย่างไรพวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดชายที่บรรลุการฝึกตนเพียงขั้นซิวฉือระดับสองจึงมีพลังมหาศาลถึงเพียงนี้! หนําซ้ำยังสามารถใช้เคล็ดวิชาโบราณถ่ายทอดพลังชีวิตจากสัตว์อสูรผู้พิทักษ์จนแข็งแกร่งขึ้นอีกระดับ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่ศิษย์ชั้นสามัญทําได้จริงหรือ?!
“เจ้าหนู…กล่าวจุดประสงค์มาเถิด เจ้าเดินทางไกลมาเยือนยังถิ่นข้าด้วยเหตุผลสําคัญประการใด?”
ราชินีอสูรเกศาขาวผู้ประทับบนบัลลังก์สูงสุดในห้องโถงใหญ่เอ่ยถามถึงประเด็นสําคัญทันที
เยี่ยฉวนยืนอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ของราชินีอสูรเกศาขาวโดยเว้นระยะห่างจากนางเพียงสิบเมตร สองฝังทั้งซ้ายและขวาเป็นที่นั่งของเหล่ายอดฝีมื่อสํานักอสูรเมฆาที่กําลังจ้องเขม็งไปยังเขาด้วยสายตาดุร้ายราวพยัคฆ์และหมาป่า
เขากวาดสายตาสํารวจเรือนร่างของสตรีสูงศักดิ์ผู้ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว เส้นผมเรียบสีขาวบริสุทธิ์ยาวสลวยจนปลายจรดพื้น ใบหน้าภูมิฐานบ่งบอกถึงอายุขัยอันยาวนาน ผิวกายมีน้ำมีนวลฉ่ำวาวและขาวราวหิมะ บุคลิกโดยรวยช่างงามสง่ากว่าสตรีทั่วไปมากมายนัก เมื่อเปรียบเทียบนางกับสตรีพรหมจรรย์หงจือเซียที่ยืนอยู่ด้านหลัง ทั้งสองไม่ได้ด้อยกว่ากันแม้แต่น้อย ดวงตาคู่งามที่ปราศจากความแข็งกร้าวยิ่งส่งเสริมความงามสง่าให้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี
“เจ้าเด็กนี่! สายตาช่างไร้มารยาทเสียจริง เร่งพูดมาเร็วเข้า!” สตรีพรหมจรรย์หงจือเซียเอ็ดตะโร
ทันทีนางรับรู้ว่าอีกฝ่ายจ้องมองเรือนร่างของตนและท่านอาจารย์อย่างโจ่งแจ้ง อารมณ์จึงฉุนเฉียวขึ้นมาอย่างฉับพลัน สายตาที่จับจ้องเยี่ยฉวนแข็งกร้าวด้วยความโกรธจัดและพร้อมโจมตี
ศิษย์ร่วมสํานักหรือศิษย์ต่างสํานักที่นางเคยพานพบไม่เคยมีผู้ใดหยาบคายถึงเพียงนี้
สตรีสูงศักดิ์ผู้ครองตนอย่างโดดเดี่ยวและวางอํานาจเป็นใหญ่เหนือฝูงชนอยู่เป็นนิจโกรธเคืองเป็นที่สุด! ยิ่งมองเยี่ยฉวนหลายครั้งนางยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์ ทว่าราชินีอสูรเกศาขาวกลับมีท่าที่ตรงกันข้าม นางระงับโทสะของตนได้เป็นอย่างดี เพียงเผยรอยยิ้มที่คาดเดายากเท่านั้น
“ข้ากําลังสํารวจท่านทั้งสองรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของท่านห่างจากสถานะอาจารย์และศิษย์แต่เหมือนพี่น้องร่วมอุทรต่างหาก ราชินีแห่งเผ่าอสูรช่างงดงามและอ่อนกว่าวัยนัก!”
เยี่ยฉวนบอกเล่าสิ่งที่เขาคิดอย่างตรงไปตรงมา ครั้นเห็นสตรีพรหมจรรย์ขุ่นเคือง เขายิ่งยียวนประสาทโดยการใช้สายตาสํารวจทั้งสองอย่างเปิดเผยอีกครั้ง สายตาลดระดับลงมาที่หน้าอกของนางอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาจึงโคลงศีรษะเล็กน้อยด้วยรู้สึกเสียดายที่มันปราศจากความใหญ่โต เขาหยุดชะงักชั่วครู่ก่อนกล่าวต่อ “บุรุษเพศที่มีอายุมากแล้วควรออกกําลังให้มากขึ้น ส่วนสตรีเพศควรพักผ่อนตามอัธยาศัย หากท่านยังขุ่นข้องหมองใจเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อผิวพรรณเลยแม้แต่น้อย นับจากนี้อีกหนึ่งหรือสองปี ผิวของท่านอาจเหี่ยวย่นและปรากฏรอยกระด่าง ถึงเวลานั้นหากท่านยืนเคียงข้างราชินีแห่งเผ่าอสูรจะไม่ดูคล้ายพี่น้องร่วมอุทรอีกต่อไป แต่จะคล้ายมารดาและบุตรสาวเสียมากกว่า”
“ไอ้เด็กเหลือขอ! นี่เจ้า” ความโกรธของสตรีพรหมจรรย์หงจือเซียทวีขึ้นถึงขีดสุด ทว่านางทําสิ่งใดไม่ได้นอกจากขบกรามแน่นระงับโทสะเท่านั้น หากท่านเจ้าสํานักผู้ยิ่งใหญ่ไม่อยู่ตรงนี้ นางคงปราดเข้าโจมตีอีกฝ่ายแล้ว!
“ฮ่าๆๆ นานมากแล้วที่ข้าไม่พบบุรุษผู้กล้ากล่าววาจาวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาเช่นเจ้า”
สตรีพรหมจรรย์กัดริมฝีปากล่างโดยแรงเพื่อข่มความโกรธ เมื่อท่านอาจารย์ของนางยังเปล่งเสียงหัวเราะและกล่าวชื่นชมเยี่ยฉวน ราชินีแห่งเผ่าอสูรกวาดสายตามองชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนกล่าวออก “ว่าอย่างไรเจ้าหนู? คําขอของเจ้าเกี่ยวกับสิ่งใดกันแน่? ตราบใดที่ไม่เกินความสามารถ ข้าย่อมยินดีช่วยเหลือ…”
สตรีสูงศักดิ์ผู้นี้มีท่าที่ผ่อนคลายและพูดคุยกับเขาโดยรับฟังเหตุผล การเจรจากับนางง่ายดายกว่าการหารือกับศิษย์หรือผู้อาวุโสรายอื่นมากนัก เพราะคนเหล่านั้นใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งทั้งยังรับมือได้ยากยิ่ง มาถึงขั้นนี้เยี่ยฉวนตระหนักทันทีว่าการขอเข้าพบนางเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
มิเช่นนั้น…หากเขาเข้าไปพัวพันกับผู้พิทักษ์ชั่วชาน แน่นอนว่าคงเสียเวลาไปไม่น้อย
สายตาของยอดฝีมือสํานักอสูรเมฆาทุกคู่จ้องมองไปยังเยี่ยฉวนเป็นตาเดียว
ใบหน้าของราชินีแห่งเผ่าอสูรงดงามไร้ที่ติ ทว่าตามกฎของสํานักแล้ว…แม้แต่อาวุโสเถียนชิงผู้มีวรยุทธ์ทรงพลังสูงสุดยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองพักตร์ผุดผ่องให้เต็มตา ดังนั้นบรรดาศิษย์ร่วมสํานักรายอื่นๆ ก็ไม่ได้ยลโฉมนางเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายพันปีที่เยี่ยฉวนกล้ากวาดสายตาสํารวจโดยรอบอย่างเปิดเผย และวิจารณ์ว่าสตรีทั้งสองงดงามประหนึ่งมีอายุขัยไล่เลี่ยกัน
“คําขอของข้าไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด ข้าต้องการเข้าพบท่านเพื่อเจรจาของยืมสิ่งของบางสิ่ง” เยี่ยฉวนหยุดชะงักชั่วครู่ สายตาเหลือบมองไปยังสตรีพรหมจรรย์หงจื่อเซีย ทันใดนั้นเขาจงยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ทําให้อีกฝ่ายที่ความโกรธในใจยังไม่จางลงรู้สึกชาวาบไปทั้งร่าง
“ไอ้เด็กเหลือขอ! แผนการสกปรกที่เจ้าคิดคือสิ่งใดกันแน่?! หรือว่า
รอยยิ้มชั่วร้ายของเยี่ยฉวนทําให้นางตีความไปไกลลิบ
ตอนอยู่ในสํานักอสูรเมฆานางมักตั้งต้นเป็นใหญ่เหนือฝูงชนเสมอ แม้แต่อาวุโสเถียนชิงก็ไม่สามารถสั่งการนางได้กลับกัน…หากราชินีแห่งเผ่าอสูรออกคําสั่งให้นางไปรับใช้เยี่ยฉวน นางคงต้องปฏิบัติตามโดยไร้ทางเลือกอื่น!
เป็นระยะเวลาหลายปีมาแล้วที่สํานักอสูรเมฆาไม่ได้ติดต่อเจริญสัมพันธไมตรีกับสํานักหมอกเมฆา ทว่าสนธิสัญญาสัมพันธมิตรเก่าแก่ประหนึ่งเพื่อนร่วมสาบานยังคงอยู่ นางทบทวนความทรงจําอีกครั้ง…จําได้เลือนรางว่านานมาแล้วมีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างสํานักทั้งสอง หญิงสาวพรหมจรรย์หลายนางต้องเข้าพิธีแต่งงานกับศิษย์พี่ใหญ่ของสํานักหมอกเมฆาและอาศัยอยู่ที่นั่นชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อใช้ชีวิตคู่ก่อนกลับมารับตําแหน่งราชินีแห่งเผ่าอสูร…
ประเพณีแต่งงานดังกล่าวถูกลืมเลือนโดยไร้การสานต่อมาเป็นระยะเวลานานโข ถึงกระนั้นทั้งสองสํานักก็ยังไม่ได้ประกาศยกเลิกสนธิสัญญาสัมพันธไมตรีรวมถึงประเพณีดังกล่าว เวลานี้เยี่ยฉวนดํารงตําแหน่งเป็นศิษย์พี่ใหญ่แห่งสํานักหมอกเมฆา และหงจือเซียก็ดํารงตําแหน่งสาวพรหมจรรย์แห่งสํานักอสูรเมฆาเช่นกัน หรือเรื่องที่ชายหนุ่มต้องการมาเจรจาจะเป็นกรณีนี้อย่างนั้นหรือ?!
ใบหน้าของหญิงสาวซีดเผือดลงอย่างฉับพลัน ท่าทางที่เยี่ยฉวนแสดงออกทําให้นางตื่นตระหนกยิ่ง! ก่อนหน้านี้เขายียวนประสาทจนนางโกรธแค้นไม่น้อย หากต้องแต่งงานกับเขาอีกละก็เห็นที่นางคงอาเจียนเป็นเลือดโดยแท้
ใบหน้าของอาวุโสเถียนชิงและผู้อาวุโสคนอื่นๆ รวมถึงเหล่าศิษย์ชั้นยอดแห่งสํานักอสูรเมฆาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าพวกเขา ทุกคนยังระลึกถึงประเพณีเชื่อมสัมพันธไมตรีอันเก่าแก่ระหว่างสองสํานักได้อย่างแจ่มชัด!
ทว่าความกังวลของพวกเขาแตกต่างจากสิ่งที่สตรีพรหมจรรย์หงจือเซียคิดคํานึง หากสํานักอสูรเมฆาเชื่อมสัมพันธไมตรีผ่านการแต่งงานกับสํานักหมอกเมฆาจริง นอกจากพวกเขาจะไม่ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนใดๆ ยังต้องเสื่อมเสียศักดิ์ศรีอันยิ่งใหญ่ที่ลดตัวลงไปพัวพันกับอีกฝ่ายสํานักหมอกเมฆาในยุคปัจจุบันไม่ใช่สํานักที่เรืองอํานาจอีกต่อไปแล้ว หนําซ้ำยังเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ ครั้นข่าวการแต่งงานครั้งนี้กระจายออกไป แน่นอนว่าพวกเขาคงได้รับคําเยาะเย้ยมากกว่าคําอวยพรจากใจจริง
ราชินีแห่งเผ่าอสูรนิ่งงันไม่ปริปากเอ่ยคําใดด้วยตระหนักถึงประเพณีเก่าแก่นั้น ทว่านางกลับไม่ตอบตกลงหรือกล่าวปฏิเสธ..เพียงจับจ้องไปยังเยียฉวนด้วยสายตาครุ่นคิด ไม่มีผู้ใดคาดเดาความคิดของนางได้
“ไอ้หนู ข้าจะกล่าวย้ำเป็นครั้งสุดท้ายให้เจ้าพูดคําขอที่เจ้าต้องการมาเสีย หากยังย้ำอึ้งไม่ปริปากเช่นนี้ต่อไปข้าจะสังหารเจ้าด้วยมือของข้าเอง! อย่ามัวหลงระเริงในห้วงภวังค์บัดสีอีก เจ้ามันก็แค่คางคกขี้เกียจที่ผยองใคร่จะกินเนื้อหงส์!”
สตรีพรหมจรรย์โพล่งคําสบถสาปแช่งออกมาทันทีเพราะอดกลั้นโทสะไม่ได้อีกต่อไป! เห็นราชินีแห่งเผ่าอสูรนิ่งไป โดยไม่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ ยิ่งนานหัวใจของนางก็ยิ่งกระสับกระส่ายด้วยความกลัวว่านางจะยอมรับข้อตกลงนั้น
“หึ! สังหารข้า? เจ้ามีความสามารถถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?!”
เยี่ยฉวนกล่าวสวนกลับทันทีด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทําให้สตรีพรหมจรรย์ผู้แผ่จิตสังหารแรงกล้าตกตะลึงจนแทบสําลัก!
ตอนนี้เยี่ยฉวนบรรลุการฝึกตนในขั้นที่ไม่สูงส่งนัก ทว่านางยังจดจําเคล็ดวิชาทรงพลังที่เขาใช้ตอบโต้การโจมตีของราชินีแห่งเผ่าอสูรได้อย่างชัดเจน! แม้แต่อาจารย์ของนางยังจัดการกับเขาไม่ได้…ลําพังนางผู้เดียวจะสังหารเขาได้อย่างไร?!
“ข้ารู้ตัวดีว่าข้ามีข้อบกพร่อง ยิ่งรู้ตัวยิ่งต้องแสวงหา…ในความคิดของเจ้า ความทะเยอทะยานใฝ่สูงอาจเป็นเรื่องไม่ปกติ แต่สําหรับมุมมองของข้า ตราบใดที่คางคกน่าเกลียดเฉลียวฉลาดพอ เหตุใดมันจะกินเนื้อหงส์ไม่ได้เล่า?! ไม่เพียงชิมรสเท่านั้น แต่ยังกัดกลืนลงคอได้อย่างง่ายดายอีกด้วย!”
เยี่ยฉวนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มแฝงเลศนัยอีกครั้ง ท่าที่เช่นนั้นทําให้หัวใจของสตรีพรหมจรรย์หงจือเซียที่ยืนอยู่ด้านหลังราชินีแห่งเผ่าอสูรกระสับกระส่ายจนไม่อาจควบคุม!