Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 142 ไร้อํานาจตัดสินใจ
ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 142 ไร้อํานาจตัดสินใจ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทําให้บรรดาศิษย์ของสํานักอสูรเมฆาแตกตื่นทันทีที่รู้ข่าวจนรีบตามมาสมทบที่ทะเลสาบมังกรนิทรา ภายในพริบตาที่เกิดเหตุจึงคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนนับพันชีวิต แยกย่อยเป็นศิษย์สามัญ ศิษย์ชั้นนอก ศิษย์ชั้นเลิศ รวมถึงเหล่าทหารอารักขาและยอดฝีมือหลายราย…
สํานักอสูรเมฆามีการจัดระดับตําแหน่งอย่างเป็นรูปธรรม ผู้น้อยต้องเคารพผู้ใหญ่ ดังนั้นศิษย์สามัญที่เห็นศิษย์ชั้นเลิศและยอดฝีมือตรงเข้ามาจึงหลีกทางให้ด้วยความยําเกรง และเมื่อนักรบพฤกษาร่างยักษ์ที่มีความสูงเกือบเจ็ดเมตร ปรากฏตัวทุกคนในบริเวณนั้นต่างคุกเข่าลงเพื่อทําความเคารพ ฮั่วชานซึ่งมีตําแหน่งผู้พิทักษ์ก็คุกเข่าลงคํานับเช่นกัน แม้อารมณ์จะยังคุกรุ่นแต่ต้องหยุดชะงักการโจมตี
“เจ้าคือใคร?!”
นักรบพฤกษานามเถียนกู่ก้มมองเยี่ยฉวนด้วยสายตาเย็นเยือกขณะเอ่ยถามด้วยสุ่มเสียงดังกัมปนาท
“ไอ้…ไอ้เด็กเหลือขอนี่คือฆาตกรขอรับท่านเถียนกู่! มันสังหารฮั่วหยวนชางบุตรชายของข้า!”
ชั่วชานโพล่งขึ้นทันทีโดยเยี่ยฉวนไม่ทันได้ปริปาก ชายชราจ้องเขม็งไปยังเยี่ยฉวนด้วยสายตาเกรียวกราดราวจะกินเลือดกินเนื้อ
เผียะ!
ทันใดนั้นกิ่งไม้แห้งความยาวสามเมตรพลันปรากฏขึ้นในมือของนักรบพฤกษา เขาเงื่อมันขึ้นสูงก่อนฟาดลงที่ร่างของฮั่วชานโดยแรง! ผู้พิทักษ์ชราที่บรรลุการฝึกตนขั้นปรมาจารย์แห่งเต่ระดับที่หนึ่งกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังลั่น! รอยแผลปริแตกเป็นทางยาวจนเลือดซิบปรากฏขึ้นตั้งแต่บริเวณศีรษะลากยาวไปถึงแผ่นหลัง ฮั่วชานยกมือขึ้นลูบและตระหนกยิ่งเมื่อสัมผัสได้ถึงหนังศีรษะที่ถลอกจนเลือดไหลหยด ร่างกายของเขาชาวาบไปแล้วครึ่งซีก วรยุทธ์อันสูงส่งไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง เมื่ออยู่ต่อหน้านักรบพฤกษาผู้ยิ่งใหญ่รายนี้
“หากข้าไม่ได้ถามเจ้าก็ห้ามปริปากเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?! กว่าจะได้ตําแหน่งนี้มาครอบครองเจ้าใช้เวลาฝึกตนอย่างสันโดษไปแล้วกี่ปี? กฏข้อบังคับของสํานักอสูรเมฆาไม่ซึมซับเข้าไปในสมองของเจ้าเลยหรืออย่างไร?!”
นักรบพฤกษาแค่นเสียงพร้อมพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา ความขุ่นเคืองในใจทําให้จิตสังหารปะทุรุนแรงขึ้นทุกขณะจนบรรยากาศโดยรอบยิ่งหนักอึ้ง
บรรดาศิษย์สํานักอสูรเมฆาจํานวนมากที่คุกเข่าอยู่กับพื้นข้างทะเลสาบมังกรนิทราก้มหน้างุด ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวระคนหวั่นวิตก นักรบพฤกษาเถียนกู่ คือนักรบในร่างปีศาจ เป็นผู้พิทักษ์กฎของสํานักอย่างเข้มงวด ศิษย์ชั้นยอดที่มีนิสัยหยิ่งทะนงและนอกลู่นอกทางถูกเขาสังหารสิ้น! ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวในร่างนี้ แม้แต่ผู้พิทักษ์และบรรดาผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างระมัดระวังกิริยามารยาทเป็นพิเศษ ไม่มีผู้ใดกล้าแสดงท่าที่เหิมเกริมเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
ฮั่วซานตระหนักถึงความจริงข้อนี้จึงเม้มริมฝีปากแน่นสนิทอย่างฉับพลัน! แม้ร่างกายอาบไปด้วยเลือดและเจ็บปวดสาหัสเพียงใดก็ไม่กล้าคร่ำครวญจนเสียงเล็ดลอดออกมา ใบหน้าโกรธเกรี้ยวแปรเปลี่ยนเป็นคล้ำหม่นลงยิ่งกว่าเก่า ดวงตาเบิกโพลงแทบถลนออกมานอกเบ้าเริ่มแดงก่ำอีกครั้ง!
“พูดมา! เจ้าคือใคร?!” นักรบพฤกษาละสายตาจากฮั่วชานที่คุกเข่าอยู่กับ พื้นและหันกลับไปมองเยี่ยฉวนผู้สวมเครื่องแต่งกายแตกต่างจากศิษย์สํานักอสูรเมฆาพร้อมเอ่ยถามคําเดิมอีกครั้ง
เขามาที่นี่ตามคําสั่งโดยมีจุดประสงค์เพียงประการเดียวคือทราบถึงตัวตนของแขกต่างสํานักที่เข้ามาพํานักในอาณาเขตของยอดเขามังกรนิทราเท่านั้น ความขัดแย้งอื่นเข้าไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
“ศิษย์พี่ใหญ่รุ่นที่ห้าร้อยสิบเจ็ดแห่งสํานักหมอกเมฆา…เยี่ยฉวน” ชายหนุ่มกล่าวตอบพร้อมโค้งคํานับ
จ้าวต้าจื่อเผยสีหน้าซีดเผือดด้วยความตื่นตระหนกทันทีที่เห็นร่างเต็มตัวของยักษ์ผิวเปลือกไม้ผู้นี้ ทว่าเยี่ยฉวนยังคงนิ่งสงบไร้ท่าทีวิตกกังวล ทั้งภายในใจยังรู้สึกกระตือรือร้นยิ่ง!
ในที่สุดเขาก็สามารถปลุกระดมให้ผู้มีตําแหน่งสูงส่งในสํานักอสูรเมฆาปรากฏตัวจนได้!
ยมบาลย่อมเปิดโอกาสหากยมทูตยื่นอุทธรณ์ หากเขาต้องการยืมเตาหลอมระดับสวรรค์ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าเกินตีราคาของสํานักเมฆาอสูร การเจรจากับผู้ที่มีตําแหน่งเพียงผู้อาวุโสเป็นการเอาเวลาไปทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ ภารกิจที่ยากราวเข็นครกขึ้นภูเขาเช่นนี้จะต้องใช้วิธีการที่ผู้คนทั่วไป ไม่บ้าบินพอที่จะทําอันดับแรกเขาต้องคิดหาวิธีที่จะปลุกระดมผู้มีตําแหน่งสูงส่งในสํานักให้ปรากฏตัวเสียก่อน จากนั้นจึงคิดหาวิธีหารือเรื่องนี้กับผู้ที่มีอํานาจสูงสุดของสํานักโดยตรง!
แผนการทุกอย่างของเยี่ยฉวนดําเนินไปอย่างราบรื่น ประจวบเหมาะกับฮั่วหยวนชางที่เป็นหัวหอกมาพอดิบพอดี เขาจึงผลักเรื่อให้แล่นไปตามกระแสน้ำ ทําให้เรื่องราวยิ่งโกลาหลและบานปลายขึ้นเรื่อยๆ
“สํานักหมอกเมฆางั้นรึ?! มิน่าเล่าสัญญาณเตือนภัยจึง…” นักรบพฤกษากวาดสายตาสํารวจเยี่ยฉวนตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาหยุดชะงักครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ “หนุ่มน้อย…เจ้ามาที่สํานักอสูรเมฆาของเราด้วยเหตุผลอันใด?”
“ข้าต้องการมายืมของบางสิ่งเท่านั้น” เยี่ยฉวนเอ่ยตอบ
“ของประเภทใดหรือ?!” อีกฝ่ายถามกลับพร้อมเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
เป็นเวลานานมากแล้วที่เขาไม่ได้ออกจากสํานักอสูรเมฆา ทว่าความทรงจําของเขายังแจ่มชัด สํานักหมอกเมฆาแม้เสื่อมโทรมลงทุกขณะ แต่พวกเขาก็มีสมบัติล้ำค่าและหายากหลายชิ้นซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่ยุคดึกดําบรรพ์ไว้ในครอบครอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เข้าใจว่าเยี่ยฉวนต้องการยืมสิ่งของประเภทใดจากพวกตน?!
“ข้าต้องขออภัยจากใจจริงที่ไม่สามารถบอกจุดประสงค์ที่แท้จริงให้ท่านทราบ…ข้าต้องการเจรจากับบุคคลที่มีอํานาจตัดสินใจสูงสุดในสํานักอสูรเมฆาเท่านั้น” เยี่ยฉวนกล่าวปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่นอบน้อม
“ว่าอย่างไรนะ?!”
บรรดาศิษย์สํานักอสูรเมฆาหันไปมองที่เยี่ยฉวนเป็นตาเดียวพร้อมเผยสีหน้าตกตะลึง! พวกเขาต่างสรรเสริญในความกล้าหาญของชายผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง!
เถียนกู่คือใคร?!
เขาคือผู้อาวุโสแห่งสํานักอสูรเมฆาที่แม้แต่เถียนชิงผู้มีตําแหน่งเดียวกันยังให้ความเคารพนับถือ แต่เยี่ยฉวนกลับปฏิเสธการเจรจากับเขาโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เหตุผลที่เขามาเยือนในครั้งนี้แท้จริงแล้วเป็นเรื่องสําคัญเพียงใดกันแน่?!
คนเขลาเบาปัญญามักไร้ซึ่งความกลัว เยี่ยฉวนมาจากต่างสํานักจึงไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของนักรบพฤกษาคือผู้ใด!
บรรดาศิษย์สํานักอสูรเมฆาพยายามหาเหตุผลมาอธิบายการกระทําของเยี่ยฉวนที่ประพฤติตนราวคนงี่เง่ารนหาที่ตาย จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา….ยอดฝีมือทุกรายที่คิดท้าทายเถียนกู่ล้วนประสบเคราะห์กรรมถึงแก่ชีวิต แล้วผู้ที่บรรลุการฝึกตนขั้นต่ำต้อยเช่นเยี่ยฉวนจะเอาตัวรอดจากเงื้อมมือชายชราได้อย่างไร?
“ฮ่าๆๆ! ไอ้หนุ่ม! เจ้าหมายความว่าแม้แต่ข้าก็ไร้อํานาจตัดสินใจอย่างนั้นรึ?!”
เหนือความคาดหมาย! นักรบพฤกษาเถียนกู่ผู้สังหารมนุษย์เป็นกิจวัตรราวตบแมลงวันให้ตกตายไม่ลงมือจัดการกับอีกฝ่ายที่บังอาจหยามเกียรติในทันที แต่กลับระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นด้วยความขบขันประหนึ่งฟังเรื่องที่น่าขบขันที่ สุดในใต้หล้า!
หากเขาไร้อํานาจตัดสินใจ เช่นนั้นยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงผู้พิทักษ์ฮั่วชานหรือคนอื่นๆ แม้แต่อาวุโสเถียนชิงที่มีตําแหน่งเดียวกัน ถ้าเขาไม่สามารถตัดสินเรื่องดังกล่าวได้ เถียนชิงก็ไม่มีสิทธิ์
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านกวักมือเรียกความหายนะอีกแล้ว!”
จ้าวต้าจื่อมองเยี่ยฉวนด้วยสายตาละห้อยและหดหู่ ตอนนี้เขาอยากร้องไห้เหลือเกินแต่น้ำตากลับไม่ไหลลงมาแม้แต่หยดเดียว!
พวกเขายอมเอาความเป็นตายมาเสี่ยงเพื่อปลุกระดมผู้มีตําแหน่งสูงของสํานักหมอกเมฆาให้ปรากฏตัว แต่เยี่ยฉวนกลับไม่รีบขออภัยอย่างเป็นทางการและแจ้งจุดประสงค์อย่างชัดเจนเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายลง หนําซ้ำยังกล่าวต่อหน้าฝูงชนนับพันว่าอีกฝ่ายไม่มีอํานาจตัดสินใจในเรื่องนี้เพียงพอ หากรนหาที่ตายแล้วจะเป็นเหตุผลอื่นใดได้อีก!?
เจ้าอ้วนอยากบีบคอศิษย์พี่ใหญ่ของเขาให้ตายไปซะจริงๆ! เขาเป็นคนปลิ้นปล้อนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!
เยี่ยฉวนทําหูทวนลมต่อการโอดครวญของอีกฝ่าย เขามองไปยังนักรบพฤกษาร่างยักษ์พร้อมกล่าวออกด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “ถูกแล้ว! ท่านไร้อํานาจในการตัดสินใจเรื่องนี้กล่าวคือ…มีอํานาจไม่เพียงพอที่จะตัดสินใจ”
เสียงอื้ออึงรอบบริเวณทะเลสาบมังกรนิทราเงียบกริบลงทันที!
ร่างของจ้าวต้าจื่อและบรรดาศิษย์สํานักอสูรเมฆาที่ยังคุกเข่าอยู่กับพื้นชุ่มโชกไปด้วยหยดเหงื่อ ทุกคนต่างหวาดกลัวว่านักรบพฤกษาจะโกรธจัดจนระงับโทสะไว้ไม่ได้และพลั้งมือฆ่าเยี่ยฉวนจนเกิดมลทิน
ไอ้เด็กเหลือขอจากสํานักหมอกเมฆากล้าดีอย่างไรจึงกล่าววาจาเหิมเกริมเช่นนี้ เขาเหนื่อยที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร?!
ศิษย์พี่ใหญ่อะไรกันเขาก็แค่คนไร้สมองที่สติไม่สมประดี! คนไร้ประโยชน์เช่นนี้จะตายตกหรือรอดชีวิตไม่สําคัญ แต่อย่าให้กระทบมาถึงพวกเราเป็นพอ!”
บรรดาศิษย์สํานักอสูรเมฆาลอบคร่ำครวญด้วยความหวาดกลัว ทว่าชั่วชานกลับแสดงท่าที่แตกต่างออกไป
ครั้นเห็นว่าเยี่ยฉวนกําลังตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผู้พิทักษ์ชราจึงยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน เขารู้สึกปรีดายิ่งอีกฝ่ายกําลังจะถูกนักรบพฤกษาเถียนกู่ฉีกร่างเป็นชิ้นๆ โดยที่เขาไม่ต้องลงมือเองด้วยซ้ำ!
ถึงกระนั้นเขาก็ยินดีปรีดาได้ไม่นาน รอยยิ้มพลันเดือดหาย…สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นผิดหวัง
แม้เยี่ยฉวนบังอาจกล่าววาจาล่วงเกิน แต่นักรบพฤกษาผู้มีอุปนิสัยโหดเหี้ยมกลับปราศจากอารมณ์โทสะทั้งยังกล่าวโต้ตอบด้วยรอยยิ้ม “หนุ่มน้อย…หากเจ้ากล่าวว่าข้าไร้อํานาจตัดสินใจ เช่นนั้นผู้ใดในสํานักอสูรเมฆาจึงคู่ควร?”
“ราชินี
เยี่ยฉวนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าต้องการพบราชินีเผ่าอสูรรุ่นปัจจุบันแห่งสํานักอสูรเมฆา และทําการเจรจากับนางโดยตรง!”
นักรบพฤกษาเถียนกู่ได้ยินเช่นนั้นจึงหุบยิ้มอย่างฉับพลัน…สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างไว้ไมตรี ส่วนบรรดาศิษย์สํานักอสูรเมฆาต่างเบิกตากว้าง เหงื่อเม็ดโตไหลหยดลงจากหน้าผากด้วยความตื่นตระหนกยิง!