Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 124 ยอดเขามังกรสวรรค์
บทที่ 124 ยอดเขามังกรสวรรค์
หลังจากชายชราที่เรียกตนว่าอาวุโสลําดับเจ็ดจากไป เยี่ยฉวนก็เริ่มดําเนินการเรื่องต่างๆ ทันที! เขากําชับให้ปีศาจเพลิงอี้เหยียนจื่อคอยเป็นยามเฝ้าระวังอยู่ในป่าทึบข้างหุบเขามังกรปีศาจ ก่อนปลีกตัวออกจากพื้นที่และมุ่งตรงไปเยี่ยมเยียนอาวุโสลําดับสอง หนานกงเหริน ครั้นเจรจาเรื่องสําคัญเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินทางไปยังยอดเขาอีกลูกหนึ่งเพื่อเข้าพบอาวุโสสูงสุดซูโกวหงผู้มีอํานาจสูงสุดในการดูแลสํานักหมอกเมฆา
นับตั้งแต่เจ้าสํานักหยุนเฟยหวี่ออกท่องยุทธภพ ซูโกวหงจึงขึ้นสู่จุดสูงสุดของสํานักในขณะนี้ ดังนั้นหากเยี่ยฉวนจะตัดสินใจทําเรื่องสําคัญบางอย่างจึงจําเป็นต้องบอกกล่าวให้ทราบ อาศัยความเห็นชอบจากหนานกงเหรินซึ่งเป็นอาวุโสลําดับสองที่มีอํานาจรองลงมา เขาเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งที่เขาคิดจะต้องสําเร็จ!
ครั้นแสงแรกของวันมาเยือน บรรดาศิษย์สํานักหมอกเมฆาต่างพบปะวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยามค่ำคืนที่ผ่านมาอย่างออกรส…
แม้ล่วงเลยผ่านมาอีกหนึ่งวัน พลังปราณแห่งจิตวิญญาณโลกก็ยังเบาบางและไร้ท่าทีว่าจะกลับคืนสู่สภาพปกติ
พลังปราณดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่จําเป็นและสําคัญยิ่งสําหรับการฝึกตน หากพลังปราณในชั้นบรรยากาศมีไม่เพียงพอต่อให้พยายามมากขึ้นถึงสองเท่าก็จะสัมฤทธิผลเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น
การลดลงของปราณแห่งจิตวิญญาณโลกที่ลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศจึงเป็นสาเหตุหลักที่ทําให้สํานักหลายแห่งซึ่งเคยมีชื่อเสียงในอดีตค่อยๆ ปิดตัวลงไป
ตอนนี้สํานักหมอกเมฆาที่สืบทอดมรดกเก่าแก่มาตั้งแต่ยุคโบราณ…ทั้งยังมีประวัติศาสตร์เล่าขานต่อกันมานับล้านปีก็กําลังประสบกับสถานการณ์เดียวกัน ทุกคนต่างวิตกกังวลว่าสุดท้ายแล้ว สํานักของตนจะเข้าสู่กาลเสื่อมถอยเหมือนสํานักอื่นๆ ที่ปิดตัวลงไปหรือไม่?!
ฝูงชนที่มารวมตัวกันเพื่อพูดคุยถึงเรื่องนี้ต่างตกอยู่ในสภาวะวิตกกังวลกันถ้วนหน้า
ไม่ทันไรข่าวลือที่น่าตกตะลึงอีกอย่างก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งสํานักอย่างรวดเร็ว! ความว่าศิษย์พี่ใหญ่เยี่ยฉวนได้ร่างจดหมายส่งตรงถึงมืออาวุโสสูงสุด แจ้งว่าตนยินดีเสียสละยอดเขาเมฆาอินทนิลอันเป็นที่พํานักซึ่งมีพลังปราณแห่งจิตวิญญาณโลกลอยอยู่หนาแน่นกว่าบริเวณอื่น เพื่อให้บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ได้ขึ้นไปฝึกตนที่นั่น ส่วนตัวเขาเองจะย้ายลงไปตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณหุบเขาด้านหลัง ไม่ไกลจากหุบเขามังกรปีศาจ! โดยระบุสาเหตุไว้สองประการ ประการแรกคือต้องการมอบพื้นที่ให้ศิษย์น้องได้ทําการฝึกตนอย่างราบรื่น ประการที่สอง…เพราะต้องการปราบปรามความร้ายกาจของเหล่าภูตอสุรกายในหุบเขามังกรปีศาจที่นับวันยิ่งดุดันขึ้นเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ศิษย์คนอื่นที่คอยหมั่นผลัดเวรกันมาประจําการในที่แห่งนี้ ทั้งยังประกาศอีกว่ายอดเขาข้างหุบเขามังกรปีศาจที่อยู่ในอาณาเขตของสํานักแห่งนี้จะกลายเป็นที่พํานักใหม่ของเขาโดยให้ชื่อว่า ยอดเขามังกรสวรรค์!
ข่าวล่าสุดนี้ทําให้บรรดาศิษย์ทั่วทั้งสํานักอยู่ในสภาวะตกตะลึงยิ่ง!
จูซือเจียผู้ปริปากคําใดไม่ออกเมื่อทราบข่าวรีบขึ้นเหยียบกระบี่บินและเหาะไปยังยอดเขาเมฆาอินทนิลทันทีเพื่อพิสูจน์ว่าข่าวที่แพร่กระจายนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ครั้นไปถึงภาพที่ปรากฏต่อสายตานางคือลานกว้างที่ว่างเปล่าไร้ซึ่งมนุษย์คนใด เตาสามขายังคงตั้งอยู่ในห้องปรุงยาเช่นเดิม ห้องตําราก็ยังมีหนังสือเคล็ดวิชาต่างๆ วางเรียงเต็มชั้น ทุกอย่างไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ทว่ามีสภาพถูกทิ้งร้างอย่างสมบูรณ์เมื่อทั้งเยี่ยฉวนและปีศาจเพลิงผู้เป็นบริวารของเขาไม่อยู่ที่นี่!
“ไอ้คนงี่เง่า!”
จูซือเจียกระทืบเท้าด้วยรู้สึกโกรธเคืองและกระวนกระวายก่อน ขึ้นเหยียบกระบี่บินอีกครั้งและเหาะไปยังหุบเขาด้านหลังสํานักอย่างร้อนใจ
ครั้งแรกที่ได้ยินข่าวลือว่าเยี่ยฉวนย้ายที่พํานักไปยังอีกยอดเขา นางยังคิดว่านั้นต้องเป็นข่าวลวงจากใครสักคนหรือเป็นอุบายของเขาเองเป็นแน่ แต่เมื่อมาเห็นกับตาดูเหมือนคราวนี้อีกฝ่ายจะพูดความจริงเสียแล้ว
หากเปรียบเทียบระหว่างยอดเขาทั้งสองลูก ยอดเขาที่ชายหนุ่มตั้งชื่อว่ามังกรสวรรค์ด้อยกว่ายอดเขาเมฆาอินทนิลทุกๆ ด้าน เพราะอยู่นอกอาณาเขตที่ได้รับการคุ้มครองจากสํานัก ไร้ซึ่งพลังปราณแห่งจิตวิญญาณโลก ทั้งยังตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวและห่างไกลสายตาผู้คน หากวันใดวันหนึ่งศัตรูที่แข็งแกร่งบุกมาลอบสังหารเขา ในยามค่ำคืนก็คงไม่มีผู้ใดรู้เห็น ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าอันตรายถึงเพียงนี้แล้วเขาคิดจะทําอะไรกันแน่?!
หญิงสาวรู้สึกขุ่นเคืองยิ่งที่เยี่ยฉวนตนไม่ส่งข่าวใดๆ ให้รับรู้ล่วงหน้า นางกวาดสายตามองโดยรอบครู่หนึ่ง จากนั้นจึงขึ้นเหยียบกระบี่บินด้วยอารมณ์โกรธแค้น จุดหมายปลายทางครั้งนี้คือยอดเขามังกรสวรรค์!
บนยอดเขามีเพียงกระท่อมที่สร้างขึ้นจากท่อนไม้ซุงอย่างเรียบง่ายทว่าไร้ความประณีต ภายในว่างเปล่าไม่มีแม้แต่เตียงนอนหรือเก้าอี้มีเพียงเตาปรุงยาและเสื้อสวดมนต์เท่านั้น บริวารของเยี่ยฉวนนามอี้เหยียนจื่อนั่งขัดสมาธิเฝ้าอยู่ด้านนอกกระท่อมเพียงลําพัง ส่วนผู้เป็นนายของเขาหายไปโดยไร้ร่องรอย….
หลังจากสํารวจสภาพความเป็นอยู่บนยอดเขามังกรสวรรค์โดยรอบ หญิงสาวพลันสูดน้ำมูกเสียงดัง…น้ำตาไหลรินลงมาอาบแก้ม
กระท่อมไม้ซุงที่ว่างเปล่านี้นอกจากจะสร้างขึ้นอย่างหยาบๆ และไร้สิ่งอํานวยความสะดวกสบายยังไม่สามารถป้องกันลมหนาวเย็นในยามค่ำคืน หลังคาก็มุงด้วยหญ้าแห้งที่กันน้ำฝนไม่ได้ด้วยซ้ำ! สภาพที่พํานักแห่งนี้ของเขาโทรมกว่าที่พักของเหล่าคนรับใช้ของสํานักตั้งไม่รู้กี่เท่า หากเล่าเรื่องนี้ให้ผู้อื่นฟังใครจะเชื่อว่าศิษย์พี่ใหญ่ แห่งสํานักหมอกเมฆายอมสละซึ่งความสะดวกสบายและย้ายมาอาศัยอย่างสมถะในพื้นที่แสนอันตรายเช่นนี้! นางเชื่อว่าเยี่ยฉวนไม่ใช่คนโง่ ทว่านางก็ไม่รู้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่…คุ้มแล้วหรือที่ยอมลําบากถึงเพียงนี้!?
“แม่นาง…นี่คือจุดหมายที่นายน้อยทิ้งไว้ให้ท่าน…”
ปีศาจเพลิงอี้เหยียนจื่อเดินเข้ามาก่อนยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้นางด้วยมือทั้งสองข้างอย่างนอบน้อมและสุภาพยิ่ง
เยี่ยฉวนปลีกตัวไปจัดการธุระแต่เช้าตรู่ ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ลืมศิษย์น้องหญิงเจียเจียด้วยรู้ว่านางจะต้องตามหาเขาทันทีที่รู้ข่าว เขาจึงเตรียมจดหมายไว้ล่วงหน้าและกําชับให้อี้เหยียนจื่อส่งถึงมือนางโดยตรง
จูซือเจียรีบรับจดหมายมาอ่านอย่างร้อนรน สายตาไล่ไปที่ละบรรทัดด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งเศร้าโศก โกรธเคือง สับสน และประหลาดใจ!
บนจุดหมายปรากฏตัวอักษรยาวเหยียด ลายมือนั้นไม่ใช่ของเยี่ยฉวนแต่เป็นลายมือของท่านปซูโกวหง ความว่า จากนี้ไปให้ทุกคนเรียกขานภูเขาลูกนี้ว่า ยอดเขามังกรสวรรค์ และขอมอบให้ศิษย์พี่ใหญ่เยี่ยฉวนแห่งสํานักหมอกเมฆาเป็นผู้ดูแล เขาคือปรมาจารย์รุ่นแรกของยอดเขาแห่งนี้โดยสมบูรณ์ มีอํานาจเต็มที่ในการเคลื่อนย้ายถ่ายโอนทรัพยากรต่างๆ จากสํานักเพื่อตั้งถิ่นฐานใหม่…” ส่วนท้ายของจดหมายฉบับนี้ลงนามอาวุโสสูงสุด ทั้งยังลงนามอาวุโสลําดับสองหนานกงเหรินในฐานะพยานอีกด้วย! ที่น่าตกตะลึงยิ่ง ว่าคือจดหมายฉบับนี้ถูกร่างขึ้นเมื่อคืนวานนี้เอง!
“ท่านปู่กับท่านอาวุโสรองรับรู้เรื่องนี้แล้ว! พวกเขาไม่ห้ามปราม..ทั้งยังให้อํานาจเยี่ยฉวนเคลื่อนย้ายทรัพยากรภายในสํานักโดยชอบเนี่ยนะ?”
จูซือเจียเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อทบทวนเรื่องราวต่างๆ จึงรู้ตัวว่าตนถูกเยี่ยฉวนปิดบังเรื่องสําคัญอีกครั้ง!
ชัดเจนว่าเขาย้ายที่พํานักมายังยอดเขามังกรสวรรค์แห่งนี้ไม่ใช่เพื่อเสียสละพื้นที่ส่วนตัวให้ศิษย์น้องได้ใช้ในการฝึกตนแต่อย่างใด คนอย่างเขาจะย้ายมาอยู่ในสถานที่อันตรายเช่นนี้ได้อย่างไรหากไร้เหตุผลอื่นแอบแฝง!?
“ไอ้สารเลว! ไอ้คนใจร้าย! บ้าที่สุด!”
จูซือเจียกระทืบเท้าเร่าๆ ขณะโยนจดหมายในมือทิ้งไปอย่างไม่ไยดี นางขบกรามแน่นด้วยความโกรธเคืองที่รู้ตัวว่าถูกหลอก ก่อนปาดน้ำตาและหมุนตัวเดินจากไปทันที
เจ้าบ้าเยี่ยฉวนมักมีความลับซ่อนอยู่ร้อยแปดพันอย่างที่แม้แต่นางก็ไม่อาจคาดเดา เขาช่างเลือดเย็นที่หลอกลวงผู้อื่นโดยไม่รู้สึกผิดใดๆ หนําซ้ำยังทําให้นางหลั่งน้ำตาเก้อ เป็นเช่นนี้แล้วจะไม่ให้นางโกรธแค้นอย่างไรได้!?
จูซือเจียเดินกระทืบเท้าปีงปังจากไปแล้ว ห่างจากจุดนั้นประมาณเจ็ดร้อยลี้…เยี่ยฉวนผู้ซ่อนตัวอยู่หลังกอไผ่จึงก้าวออกไปอย่างเงียบเชียบ บนก้อนหินที่ไม่ไกลจากเขามีนกแก้วปากสีแดงสดเกาะอยู่
หลังจากได้รับอนุญาตจากอาวุโสลําดับสูงสุดและอาวุโสลําดับสอง รวมทั้งยังมีสิทธิพิเศษในการขนย้ายทรัพยากรต่างๆ เพื่อสร้างยอดเขามังกรสวรรค์ให้เป็นหลักแหล่งที่สมบูรณ์ เยี่ยฉวนไม่รีบร้อนจัดการกับเรื่องเหล่านั้นแต่กลับเดินลึกเข้าไปในป่าหลังเทือกเขาหมอกเมฆา คราวนี้เป้าหมายของเขาไม่ใช่สัตว์อสูรที่ดุร้ายและทรงพลัง…เป็นเพียงนกนางแอ่น นกฮูก และสัตว์ป่าตัวเล็กๆ ที่พบเจอได้ทั่วไปเท่านั้น
หากมัววุ่นวายอยู่กับการสร้างยอดเขามังกรสวรรค์ เห็นที่จะเป็นการดึงดูดความสนใจจากบรรดาศิษย์ร่วมสํานัก รวมถึงศัตรูที่คอยปองร้ายเขามากกว่า ตอนนี้เขาไม่มีเวลามากพอจะรับมือกับเรื่องเหล่านั้นด้วยตนเอง จึงต้องการรวบรวมสัตว์ตัวเล็กๆ ให้มาเป็นบริวารคอยเป็นหูตาปกป้องยอดเขาแห่งนี้แทนตน เหตุผลที่เขาไม่เลือกสัตว์อสุรกายเพราะศัตรูทั้งหลายคงไม่ระแวงสัตว์ตัวน้อยที่ไร้ความโดดเด่นเหล่านี้อย่างแน่นอน!
เยี่ยฉวนสูดลมหายใจลึกพร้อมกระโดดเข้าไปใกล้นกแก้วตัวนั้นอย่างไร้อุ้มเสียงโดยไม่ให้มันไหวตัวทัน
ถึงกระนั้นนกแก้วปากแดงที่เกาะอยู่บนโขดหินที่มีประสาทสัมผัสไวก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว มันแผดเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกพร้อมกระพือปีกเตรียมทะยานขึ้นไปบนอากาศ!
ฝ่ามือของเยี่ยฉวนก็รวดเร็วเช่นกัน เพราะเอื้อมไปจับขาของมันได้ทันท่วงที่!
ด้วยความเร็วที่พุ่งกระฉูดของเยี่ยฉวนทําให้นกตัวนั้นบินหนีไม่สําเร็จ เขาโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์พลางหยดโลหิตบริสุทธิ์ลงไปบนตัวมันทันที ขณะนั้นเองแสงสีฟ้าสว่างวาบพลันปรากฏขึ้น! นกแก้วที่เขาผูกพันธะโลหิตสําเร็จลอยเข้าไปในโคมบงกชสีคราม ชายหนุ่มยกยิ้มอย่างพึงใจพลางพักผ่อนอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นจึงเดินลัดเลาะเข้าไปในป่าลึกอีกครั้งเพื่อค้นหาเป้าหมายต่อไป..
มีผู้คนมากมายในดินแดนรกร้างกว้างใหญ่บังคับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหลอมรวมร่างกายกับสัตว์อสุรกาย จนรูปลักษณ์ภายนอกแปรเปลี่ยนคล้ายอสุรกายเหล่านั้น ผู้เป็นนายที่สร้างพันธะเช่นนี้มักปฏิบัติต่อพวกมันราวเป็นบริวารรับใช้ทรงพลังที่พร้อมจะต่อสู้แทนตน ทว่าเยี่ยฉวนกลับต่างออกไป…เขาใช้เคล็ดวิชาขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์ในการฝึกฝนสัตว์ร้ายที่ได้มาให้เชื่องและมีสติปัญญา ไม่เพียงต้องการให้พวกมันกลายเป็นผู้ช่วยในสนามรบหรือเป็นหูตาคอยสอดส่องภัยอันตรายเท่านั้น เขายังต้องการให้พวกมันกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายและควบคุมได้อย่างอิสระราวเป็นแขนขาของตนเอง!
ภพชาติที่แล้วเยี่ยฉวนอาศัยทักษะการฝึกตนที่สูงส่งรวมถึงความมุ่งมั่นห้าวหาญเพื่อบดขยี้และสังหารเหล่าศัตรูจนพ่ายแพ้ราบคาบ ทั้งยังสามารถควบคุมทุกสิ่งในยุทธภพโดยใช้เพียงฝ่ามือเดียว..
ภพชาตินี้ เขามีเคล็ดวิชาที่ทรงอานุภาพยิ่งกว่าเคล็ดวิชาซ่อนเร้นสวรรค์ หากรวบรวมสัตว์อสุรกายจํานวนมากเพื่อสร้างกองทัพอันแข็งแกร่งและทรงพลังที่สุดในใต้หล้า แน่นอนว่าเขาจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดและกลับมายิ่งใหญ่อย่างไร้ข้อกังขา!
เยี่ยฉวนมุ่งหน้าเข้าไปยังส่วนลึกของเทือกเขาหมอกเมฆาด้วยฝีเท้าอันหนักแน่นมั่นคง หากขั้นการฝึกตนก้าวหน้าเพียงใดศัตรูรอบกายย่อมแข็งแกร่งกว่าและเพิ่มจํานวนเป็นเท่าทวี ทว่าความจริงข้อนี้ไม่ทําให้เขาหวั่นเกรงใดๆ แม้แต่น้อย! หนําซ้ำยังเป็นแรงผลักดันให้เขาคาดหวังกับอนาคตมากยิ่งขึ้น!