Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ - บทที่ 123 ผู้อาวุโสลําดับเจ็ด
บทที่ 123 ผู้อาวุโสลําดับเจ็ด
“ศิษย์เยี่ยฉวนจึงต้อนรับท่านอาวุโสลําดับเจ็ด”
เยี่ยฉวนเอื้อมมือไปจับไหล่ของปีศาจเพลิงเอาไว้ก่อนจะโค้งคํานับให้ชายในชุดคลุมสีครามเพื่อแสดงความเคารพ เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้พบอีกฝ่าย ไม่น่าเชื่อว่าอาวุโสลําดับเจ็ดผู้ลึกลับเกินคาดเดาและไม่ปรากฏตัวมาเป็นเวลานานก็ยังตื่นตัวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้
จนถึงบัดนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าชายในชุดสีครามที่เรียกตนเองว่าอาวุโสลําดับเจ็ดผู้นี้เป็นใคร ทั้งยังไม่เคยได้ยินว่าบุคคลนี้มีตัวตนในสํานักมาก่อน
ชายผู้อ้างตนว่าเป็นอาวุโสลําดับเจ็ดไม่ได้เอ่ยคําใด เขาเพียงแค่จ้องมองต้นอ่อนเล็กๆ ที่เพิ่งโผล่พ้นผืนดินอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงกล่าวออก “พ่อหนุ่ม บอกข้าได้หรือไม่ว่านี่คือสิ่งใด?”
“สิ่งนี้คือ… ถ้าข้าเดาไม่ผิด มันคือเมล็ดข้าวมังกรสวรรค์”
เยี่ยฉวนลังเลเล็กน้อยก่อนตอบออกไปอย่างใจกล้าพลางลอบสํารวจอาวุโสลําดับเจ็ดตรงหน้าผู้ไม่อาจหยั่งรู้ขั้นการฝึกตน เขาไม่จําเป็นต้องปิดบังสิ่งใด
เยี่ยฉวนไม่อาจสัมผัสถึงเจตนาร้ายใดๆ จากชายชราผู้นี้ต่อให้ไม่ใช่สมาชิกสํานักหมอกเมฆาก็ต้องมีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งถึงได้มาปรากฏตัวที่ภูเขาเบื้องหลังถึงสองครั้งกลางดึกเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นแม้จะไม่รู้ที่มาของเมล็ดข้าวมังกรสวรรค์แต่ชายผู้นี้ย่อมบอกได้ว่าสิ่งนี้ไม่ธรรมดาด้วยประสบการณ์และขั้นการฝึกตนของเขา จึงไม่มีประโยชน์ที่จะปิดบังแม้อีกฝ่ายหมายจะแย่งชิงไปก็ตาม ในทางตรงกันข้าม หากเขาเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาอาจได้รับแรงสนับสนุนจากปรมาจารย์มือฉมังก็เป็นได้!
เมื่อต้นอ่อนเมล็ดข้าวมังกรสวรรค์แตกหน่อขึ้นจากพื้นดินทําให้เกิดการเคลื่อนไหวครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อเจริญเติบโตจะดูดซับปราณแห่งจิตวิญญาณโลกมากขึ้นและก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม เมื่อถึงเวลานั้น ปรมาจารย์จากอีกสองสํานักในเทือกเขาหมอกเมฆาหรือแม้แต่อสุรกายเก่าแก่ที่มีชีวิตอยู่มาหลายพันปีหรือหมื่นๆ ปีย่อมต้องรับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน และเยี่ยฉวนตัวคนเดียวคงไม่อาจหยุดยั้งพวกเขาได้
เมล็ดข้าวมังกรสวรรค์?
ปีศาจเพลิงสับสนุนงงด้วยไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ทว่าสีหน้าของอาวุโสลําดับเจ็ดกลับแปรเปลี่ยนทันใด แววตาลึกล้ำที่ลุกโชติช่วงประหนึ่งคบเพลิงทอดมองต้นอ่อนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมาพินิจเยี่ยฉวน “พ่อหนุ่ม เจ้าแน่ใจหรือ?”
“ไม่ผิดแน่ การคาดเดาของข้าน่าจะถูกต้อง” เยี่ยฉวนพยักหน้า
เยี่ยฉวนเฝ้าดูท่าที่และคําพูดของชายชราชุดครามอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ต้น เขาลอบสังเกตทุกการเปลี่ยนแปลงสีหน้าและทุกรายละเอียดจนมั่นใจ
สัญชาตญาณของเขาถูกต้อง อาวุโสลําดับเจ็ดไม่ใช่ศัตรู แม้จะได้ยินว่ามีเมล็ดข้าวมังกรสวรรค์ฝังอยู่ ณ ที่นี้แต่กลับไม่มีร่องรอยของความละโมบหรือเจตนาร้ายนอกเหนือจากความประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย
เขาคือปรมาจารย์ที่แท้จริง!
เยี่ยฉวนรู้สึกเคารพนับถือชายชราผู้นี้จากใจจริง
คนประเภทนี้หายากนักแม้แต่ในชาติก่อนยามที่เขายังเป็นนักปราชญ์ผู้ซ่อนเร้นสวรรค์!
บริเวณข้างหุบเขามังกรปีศาจพลันเงียบสงัด
เยี่ยฉวนเอ่ยถึงเมล็ดข้าวมังกรสวรรค์โดยไม่ได้สาธยายให้มากความและชายชราชุดครามก็ไม่ได้ชักใช้มากมายนักเช่นกัน ทั้งสองจึงตกอยู่ในความเงียบ
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่อาวุโสลําดับเจ็ดจึงทําลายความเงียบขึ้น “นับตั้งแต่หว่านเมล็ดพันธุ์จนถึงเก็บเกี่ยวใช้เวลานานเท่าใด?”
“ข้าไม่รู้” เยี่ยฉวนตอบตามตรง
เขาไม่รู้จริงๆ ตํานานมังกรสวรรค์และเมล็ดข้าวมังกรสวรรค์นั้นเก่าแก่เกินไปและมีหลายเรื่องราวในยุคนั้นที่เขาไม่เคยล่วงรู้ในชาติก่อนเขาบังเอิญได้ยินบทสนทนาของนักปราชญ์ที่เตร็ดเตร่ไปมาโดยไม่ได้ตั้งใจทําให้สามารถระบุชื่อของเมล็ดข้าวมังกรสวรรค์ได้ ทว่าเขาไม่รู้เคล็ดวิธีการปลูกและเวลาที่ต้องใช้อย่างแน่ชัด
“มันเป็นสมบัติแห่งจิตวิญญาณโลกจึงต้องใช้ปราณแห่งจิตวิญญาณโลกจํานวนมหาศาลในการเจริญเติบโต ปราณแห่งจิตวิญญาณโลกในที่แห่งนี้จะเพียงพอหรือ?” ชายชุดครามถามขึ้นอีกครั้ง
“ข้าไม่รู้” เยี่ยฉวนสั่นศีรษะอีกครั้ง
เขาพอรู้จักสถานที่ในดินแดนรกร้างที่ปราณแห่งจิตวิญญาณโลกหนาแน่นกว่าสํานักหมอกเมฆาเป็นร้อยเท่าและเหมาะกับการปลูกสมุนไพรจิตวิญญาณอย่างยิ่ง เคราะห์ร้ายที่สถานที่ทั้งหมดอยู่ไกลจากเทือกเขาหมอกเมฆาและบางแห่งก็ไม่ได้อยู่ในทวีปอัคคีสวรรค์เสียด้วยซ้ำ ในชาติที่แล้วเขาสามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ แต่ด้วยสถานะและการฝึกตนในปัจจุบันของเขาต่อให้เดินทางกว่าร้อยปีก็คงไปไม่ถึง
อาวุโสลําดับเจ็ดนิ่งเงียบไปอีกครั้ง
รุ่งอรุณสีเทาค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงเส้นขอบฟ้า เสียงคํารามที่ทําให้ผู้คนสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวดังแว่วจากหุบเขามังกรปีศาจ หมอกโลหิตเดือดพล่านอีกครั้งทว่ารุนแรงกว่าเดิมราวกับจะล้นทะลักออกมาจากหุบเขาและแพร่กระจายไปทั่วสํานักหมอกเมฆา
“นักปราชญ์ไร้หัวใจ โลกและสวรรค์ประทานอาหารแก่สุนัขหิวโหย โลกจึงเกิดโกลาหล..”
ชายชุดครามพึมพํากับตนเองด้วยสีหน้าหม่นหมอง เขาทอดถอนใจแผ่วเบาก่อนจะหันมาทางเยี่ยฉวน “สมบัติที่เจ้าพบย่อมชักนําเหล่ามารร้ายที่แข็งแกร่งให้ลักขโมยและแย่งชิง เจ้าพร้อมแล้วหรือพ่อหนุ่ม?”
ท่านอาวุโสโปรดวางใจ นับจากนาทีนี้ไปอี้เหยียนจื่อผู้ติดตามของข้าจะอยู่อารักขามันเสมอ” เยี่ยฉวนตอบพร้อมผายมือไปทางปีศาจเพลิง
หลังจากที่เมล็ดข้าวมังกรสวรรค์ถูกฝังกลบก็เกิดความเคลื่อนไหวขึ้น เขาจึงยิ่งระมัดระวังโดยให้ปีศาจเพลิงอยู่ที่นี่เพื่อทําหน้าที่คุ้มกัน คนธรรมดาคงไม่กล้ากล้ำกรายปีศาจเพลิงผู้อยู่ขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋าระดับห้าเป็นแน่
“นั่นไม่เพียงพอหรอก ขั้นการฝึกตนของเขายังต่ำเกินไป เห็นแก่ที่โชคชะตากําหนดไว้ให้เจ้าแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าวางแผนสร้างแนวป้องกันเอง”
ชายชรากล่าวคําเบาก่อนจะหยิบไม้บรรทัดหยกครามความยาวสามฟุตออกมา
แสงสีครามส่องประกายไปทั่วทั้งภูเขาเบื้องหลัง ก้อนผลึกนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากไม้บรรทัดหยกครามเพื่อล้อมรอบบริเวณที่ปลูกเมล็ดข้าวมังกรสวรรค์ไว้ ก่อนจะหลอมรวมกับพื้นดินและเปลี่ยนทั้งยอดเขาให้กลายเป็นลานผลึกแก้วอันราบเรียบขนาดมหึมา แสงสีครามจากไม้วัดผลึกครามพลันส่องสว่างขึ้นเป็นอักขระโบราณ จากนั้นรูปปั้นแกะสลักหินแปดชิ้นสูงกว่าสามเมตรจึงร่วงหล่นจากเบื้องบนลงบนลานผลึกแก้ว ทั้งหมดถือหอก ดาบหนักอึ้ง หม้อขนาดใหญ่ และอาวุธสังหารอื่นๆ ล้อมรอบเมล็ดข้าวมังกรสวรรค์ราวกับยักษ์แปดตนที่พร้อมปกป้องจากอันตราย
กระแสพลังงานและแรงสั่นสะเทือนจนแผ่นดินแทบสะท้านแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมจิตสังหารเย็นเยียบราวน้ำแข็ง!
เสียงคํารามก้องใต้หุบเขามังกรปีศาจพลันหายไปอีกทั้งปราณและโลหิตที่เดือดพล่านก็สงบลง จิตสังหารแรงกล้าทําให้สรรพสิ่งใต้หล้าสั่นสะเทือน ภูเขาเบื้องหลังที่เคยรกร้างในกาลก่อนได้แปรเปลี่ยนเป็นค่ายกลสังหาร ทุกสิ่งที่เข้าใกล้สถานที่แห่งนี้จะต้องเผชิญกับการโจมตีจากยักษ์อารักขาทั้งแปด พลังปราณและจิตสังหารของพวกมันทําให้ปีศาจเพลิงสั่นเทิ้มไปทั้งกาย
แสงสีครามสว่างวาบขึ้นอีกครั้งก่อนยักษ์อารักขาทั้งแปดจมลงไปใต้ผืนดินพร้อมลานผลึกแก้ว สภาพแวดล้อมข้างหุบเขามังกรปีศาจกลับสู่สภาพเดิม แม้แต่จิตสังหารเย็นยะเยือกก็หายไปและถูกแทนที่ด้วยกระแสพลังงานบางเบาไม่ชัดเจนค่ายกลมายา
ผู้อาวุโสลําดับเจ็ดได้ห่อหุ้มค่ายกลสังหารอันน่าเกรงขามไว้ในค่ายกลมายาอันทรงพลัง แม้แต่ปีศาจเพลิงยังมึนงงกับความจริงความลวงที่ผสมปนเปกัน เขายื่นมือออกไปแตะพื้นดินใต้ฝ่าเท้าโดยไม่รู้ตัวแต่กลับมองไม่ออกว่าเป็นภาพลวงหรือไม่
“นี่คือค่ายกลขจัดมารอย่างง่าย พ่อหนุ่มน้อย จงใช้หัตถ์ขจัดมารทั้งสิบสองให้เป็นประโยชน์ ฝึกตนให้ดี ข้าคงช่วยได้เท่านี้”
ชายชราเก็บไม้บรรทัดหยกครามก่อนบินจากไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา ทิ้งไว้เพียงสุ่มเสียงแผ่วเบา ทันใดนั้นเคล็ดวิชาเร้นลับก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของเยี่ยฉวน
ค่ายกลขจัดมาร… หัตถ์ขจัดมาร… หรือเขาคือ…
จิตใจของเยี่ยฉวนวูบไหวทันใด ในชาติที่แล้วเขาคุ้นเคยกับสํานักและพลังทั้งหมดในดินแดนรกร้างเป็นอย่างดี มีเพียงสํานักเดียวที่ไม่คุ้นเคยนั่นคือสํานักพุทธที่สาบสูญไปนานแสนนานแล้ว