STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา - ตอนที่ 39 สังหารเงาโลหิต (1)
ตอนที่ 39 สังหารเงาโลหิต (1)
สวัสดีครับ
ก่อนเข้าสู่เนื้อหาของวันนี้อิงค์สโตนขอแจ้งให้ทราบว่า ทางทีมงานได้รับทราบฟีดแบ็กเรื่องการแบ่งตอนจากนักอ่านแล้ว จึงอยากขอชี้แจงดังต่อไปนี้ครับ
เนื่องจากผลงานเรื่อง ในแต่ละตอนมีจำนวนตัวอักษรต้นฉบับภาษาจีนมาก ส่งผลให้ราคาขายต่อตอนซึ่งพิจารณาจากจำนวนตัวอักษรต้นฉบับตามเงื่อนไขสัญญาสูงตามไปด้วย โดยราคาเต็มอาจสูงถึง 15-20 บาทต่อตอน และอาจทำให้นักอ่านหลายท่านไม่สะดวกที่จะจ่ายในราคาต่อตอนที่สูงถึงขนาดนั้น ด้วยเหตุนี้ทางทีมงานจึงแบ่งตอนใหญ่ออกเป็นตอนย่อย เพื่อให้ราคาขายไม่สูงจนเกินไป และนักอ่านทุกคนสามารถเข้าถึงได้ครับ
ทางทีมงานขอขอบคุณฟีดแบ็กจากนักอ่านทุกท่าน และขออภัยในความไม่สะดวกด้วยครับ
ทีมงาน InkStone
ณ ด่านทางฝั่งเหนือ
พวกหลี่ฮ่าววิ่งด้วยความเร็วอย่างยิ่งยวด ถึงจะเสียพลังงานไปมากแต่พวกเขาก็ฟื้นพลังกลับมาได้รวดเร็วเช่นกัน
พวกเขาเองก็ได้ยินเสียงปืนในเมืองเช่นกัน
ฝีเท้าของหลิวเยี่ยนชะงักเล็กน้อย เขาหันไปมองเมืองหยินที่อยู่ด้านหลังแล้วเหยียดยิ้มที่ยากจะบอกว่าเป็นรอยยิ้มเยาะหรือโล่งอกกันแน่
ในที่สุดกองตรวจการณ์ก็ออกหน้าเสียที
คนที่มีความสามารถจะเบิกปืนและรวบรวมกำลังพลมากมายขนาดนี้ได้ในเมืองหยินคงมีแค่เจ้าอ้วนของกองตรวจการณ์เท่านั้นแหละ
“ลูกพี่รอดแล้ว!”
หลิวเยี่ยนพูดอย่างรวดเร็ว
เจ้าอ้วนนั่นมีเรื่องให้ต้องคิดหน้าคิดหลังเยอะจนเกินไป บางทีอาจจะไม่ผลีผลามลงมือทำอะไรง่ายๆ แต่อย่างน้อยจุดที่สามารถแน่ใจได้ก็คือหลิวหลงจะไม่ถูกฆ่าภายในเมืองแน่ๆ
“กองตรวจการณ์เหรอ?”
หลี่ฮ่าวเพิ่งได้สติกลับมา เขารู้สึกเหนือคาดอยู่บ้าง
กองตรวจการณ์ยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้แล้วเหรอ?
นี่เป็นเรื่องที่เขาคาดคิดไม่ถึงที่สุด
“อืม คงงั้น!”
หลิวเยี่ยนวิ่งต่อไป ขณะที่วิ่งเขาก็กล่าวโดยกดเสียงต่ำ “เจ้าอ้วนของกองตรวจการณ์นั่นเป็นหัวหน้าของพวกเรา นายระวังเอาไว้หน่อยแล้วกัน อย่าโดนเขาหลอกใช้แล้วไพล่คิดว่าเขาเป็นคนดี เขาไม่ใช่คนดีนักหรอก!”
หลี่ฮ่าวเคยเจอมู่เซินมาก่อน!
ตอนที่เขาเข้าทำงานได้ไม่กี่วัน มู่เซินเคยมาพบเขาด้วยตัวเองแถมยังเคยชมเชยเขา อีกฝ่ายเป็นคนใจดีไม่เบา ชื่อเสียงของเขาในที่ทำงานก็ถือว่าดีมากทีเดียว
เพียงแต่หลี่ฮ่าวคิดไม่ถึงว่า มู่เซินที่ปกติไม่มีปากมีเสียงอะไร คิดไม่ถึงว่าคืนนี้จะกล้ายื่นมือเข้ามายุ่งในเรื่องของพวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติด้วย
“ผู้อำนวยการเองก็เป็นปรมาจารย์นักรบเหรอ หรือว่าเขาเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติกันแน่ครับ”
“ปรมาจารย์นักรบ”
หลิวเยี่ยนตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเหมือนจะอยู่ในหน่วยของผู้พิทักษ์รัตติกาลแทบทุกคน ปกติแล้วคนที่อยู่ในกองตรวจการณ์จะเป็นแค่คนธรรมดา ผู้อำนวยการส่วนมากจะเป็นปรมาจารย์นักรบแต่ก็มีบางส่วนที่ไม่ใช่ แต่พวกเขาเป็นแค่คนธรรมดาจริงๆ”
หลี่ฮ่าวไม่ได้ถามอะไรต่ออีก
วินาทีนี้ไม่ใช่เวลาจะมาซักไซ้ไล่เลียงอะไรกันมากมาย
ทั้งสามคนตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นานก็ผ่านทุ่งหญ้ารกร้างตรงไปอีกพันกว่าเมตรก็เป็นโกดังขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
เบื้องหน้าเหมือนจะเห็นโครงร่างของภูเขาลางๆ
นั่นมันภูเขาเทียนหวัง!
สถานที่ที่หลิวหลงเลือกในครั้งนี้ก็คือที่นี่ หลี่ฮ่าวเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมต้องมารวมตัวกันที่นี่ แต่ว่าเขาในตอนนี้ทำได้เพียงเชื่อใจหลิวหลง
ใกล้จะถึงแล้ว!
แต่ในเวลานี้เองจู่ๆ หลิวเยี่ยนก็หมอบลงกลางทุ่งหญ้าที่รกร้างแห่งนั้น
เฉินเจียนเองก็หมอบตัวลงอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงเท่านั้นพวกเขาทั้งสองยังดึงหลี่ฮ่าวให้หมอบตัวลงต่ำด้วยเช่นกัน
ไม่มีความเคลื่อนไหวใดเกิดขึ้น!
หลี่ฮ่าวมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นอะไร
ทว่าเขาเชื่อสัญชาตญาณของหลิวเยี่ยน ดังนั้นจึงทำตัวให้เงียบที่สุดแล้วหมอบตัวอยู่กลางดงดอกหญ้าที่สูงประมาณตัวคน เสียงสายฝนที่โปรยปรายช่วยกลบเสียงกรอบแกรบของหญ้าที่พวกเขาเหยียบย่ำได้เป็นอย่างดี
กระทั่งเวลาผ่านไป 30 วินาที ทันใดนั้นเองก็มีเสียงปืนดังแหวกทะลุเสียงสายฝนที่โปรยปรายขึ้นมา!
เสียงสายฝนช่วยกลบเสียงปืนให้เบาลงก็จริง แต่ก็ยังพอจะได้ยินเสียงดังกึกก้องนั้นอยู่
หลิวเยี่ยนไม่พูดไม่จาแต่กลับหมอบตัวลงต่ำกว่าเดิม
เฉินเจียงเอี้ยวตัวหันไปส่งสัญญาณบอกหลี่ฮ่าว ชายหนุ่มเข้าใจทันที คนตัวสูง…อู๋เชา!
พวกอู๋เชามาแล้ว!
อู๋เชาและอวิ๋นเหยาแยกตัวออกไปช่วยลูกพี่แต่พวกเขาก็ไม่ปรากฏตัวสักทีจนหลี่ฮ่าวเริ่มจะกังวลว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเขาหรือเปล่า แต่ตอนนี้ดูแล้วพวกเขาน่าจะยังมีชีวิตรอด เพียงแต่เหมือนจะถูกคนขวางเอาไว้ระหว่างทาง
“โฮ่ง โฮ่ง!”
สุนัขสีดำตัวหนึ่งเห่าเสียงต่ำกลางสายฝนดังลอดเข้ามาในหูของหลี่ฮ่าว
เจ้าเสือดำ!
……
ใบหน้าอู๋เชาในตอนนี้ซีดเผือด และหายใจหอบถี่กระชั้นไม่หยุด
ในตอนนี้เขาอุ้มอวิ๋นเหยาและลากเจ้าเสือดำไม่ไหวแล้ว
ในเวลานี้เองเป็นเจ้าเสือดำยังพอมีแรงอยู่บ้าง มันเห่าคำรามเสียงต่ำเหมือนกำลังกลัวอะไรอยู่
แว่นตาของอวิ๋นเหยาโดนหล่อนโยนทิ้งไปนานแล้ว
ดังนั้นหล่อนจึงมองไม่เห็นเงาโลหิต!
ทว่าหล่อนสามารถรับรู้ได้ว่าเงาโลหิตอยู่ที่ไหน เพราะทิศทางที่เจ้าเสือดำเห่าก็จะเท่ากับตำแหน่งที่เงาโลหิตอยู่นั่นเอง
อวิ๋นเหยาตัวไม่สูง ตอนนี้ยังคงแบกกล่องยาของตนเองอยู่เหมือนเคย
เมื่อมองอู๋เชาปราดเดียวก็พบว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บหนัก!
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเอาแต่ไล่ตามพวกเขา!
ทว่าคนส่วนใหญ่โดนหัวหน้าล่อไปหมดแล้ว ผู้มีพลังธรรมชาติสองคนที่ไล่ตามพวกเขาตายในเมืองไปแล้วหนึ่งคน แต่ตอนนี้ยังมีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอีกคนหนึ่งที่ไล่ตามฆ่าพวกเขาอยู่
“นายไปที่จุดรวมตัวสิ…”
อู๋เชาร่างผอมบอบบาง ใบหน้าซับสีเลือดเล็กน้อย สายฝนที่ไหลลงจากศีรษะถูกย้อมกลายเป็นสีแดงฉาน
นั่นคือสีของเลือด!
มือของเขาได้รับบาดเจ็บหนักทีเดียว
ส่วนผู้มีพลังธรรมชาติที่ตามอยู่ด้านหลังรวดเร็วพอๆ กับเขา อันที่จริงทั้งสองฝ่ายก็ยังทิ้งระยะห่างกันอยู่ แต่พอไล่ตามกันนานเข้า ต่อให้มีเจ้าเสือดำคอยนำทาง แต่พวกเขาก็ยังถูกเงาโลหิตพุ่งทะลุเข้ากัดกร่อนร่างอยู่หลายครั้ง
อู๋เชาไม่ใช่หลิวหลง เขาไม่สามารถทำเหมือนหลิวหลงที่ใช้พลังภายในสร้างแรงเดือดพวยพุ่งให้เลือดเพื่อบีบเงาโลหิตให้ถอยออกไปได้
เขาถูกเงาโลหิตแผดเผาอวัยวะภายในจนบาดเจ็บ กระทั่งส่วนศีรษะก็ยังถูกอีกฝ่ายเผาไหม้
สายฝนโปรยปรายอาบชำระเลือด
อวิ๋นเหยาไม่พูดไม่จา เจ้าตัวเปิดกล่องปฐมพยาบาลแล้วหยิบเอาลูกแก้วผลึกใสขนาดเล็กออกมายัดมันใส่ปากเขาอย่างรวดเร็ว อู๋เชาเองก็ไม่ได้พูดอะไรแต่กลืนลงไปในทันที แล้วในวินาทีต่อมาสีหน้าก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
ไม่เพียงเท่านั้นเลือดลมในร่างกายของเขาก็เริ่มปั่นป่วน เพียงแต่ผิวหนังบนร่างกายโดนฉีกขาด เลือดไหลขึ้นเร็วกว่าเดิม
อวิ๋นเหยาเองก็ช่วยเขาจัดการบาดแผลอย่างรวดเร็ว ในมือปรากฏระลอกพลังน้อยๆ ขึ้นแล้วฝืนดันกลุ่มพลังนั้นให้รักษาบาดแผล กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “ไป รีบไปที่จุดนัดพบก่อน ผลที่ตามมาเป็นยังไงตัวนายเองรู้ดีนะ!”
ผลที่ตามมาอะไร?
ผลที่ตามมาจากการกลืนลูกแก้วผลึกใสนั้นลงไปอย่างไรล่ะ!
อู๋เชายิ้ม รอยยิ้มของเขานั้นดูเย็นชา
เขาย่อมรู้ผลลัพธ์ที่จะตามมาเป็นอย่างดี ลูกแก้วผลึกใสนี้เป็นยาพิษ แต่ก็เป็นยารักษาที่มีสรรพคุณยอดเยี่ยมด้วย มันจะช่วยกระตุ้นพลังที่แฝงอยู่ภายใน แต่หากนานไปคนที่กินเข้าไปจะพิการ
แต่ว่า..ในตอนนี้ใครจะยังมีแก่ใจมาสนใจเรื่องนี้กัน?
อู๋เชาในตอนนี้เหมือนจะฟื้นคืนสู่สภาวะที่สมบูรณ์แล้ว ทั้งพลังและความเร็วก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม มือข้างหนึ่งของเขาคว้าอวิ๋นเหยา อีกข้างคว้าเจ้าเสือดำแล้วทะยานพุ่งไปยังโกดังเก็บของที่อยู่ไกลออกไปอย่างรวดเร็ว
ความเร็วของเขาฟื้นกลับไปอยู่ในสภาวะสุดยอดอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เงาร่างหนึ่งก็ผ่านมา เหมือนจะมีแสงสีน้ำเงินฉายแสงออกมาจากร่างกายของอีกฝ่ายรางๆ
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ใส่หน้ากากผีตามมาจนทัน
เขาไล่ตามมาจากในเมืองจนถึงตรงนี้ คิดไม่ถึงว่าจะไล่ตามคนในขั้นสิบสังหารไม่ทัน…ถึงแม้เจ้าหมอนั่นจะเร็วไปสักหน่อย แต่หนีมาได้นานขนาดนี้ก็ออกจะเหนือความคาดหมายของหน้ากากผีมากทีเดียว
“หมาตัวนั้น…”
เดิมทีเขาไม่ได้สนใจสุนัขตัวนั้น แต่ในวินาทีนี้เอง หน้ากากผีสีน้ำเงินก็เกิดคลางแคลงใจขึ้นมา
เขารู้สึกว่าสุนัขตัวนั้นมีความพิเศษอย่างมาก เหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามจะสามารถมองเห็นเงาโลหิตที่คนทั่วไปมองไม่เห็น
เงาโลหิตไล่ล่าพวกเขามาหลายครั้ง พอเข้าใกล้อีกฝ่าย ผลคือพวกเขากลับหลบหลีกได้ทุกครั้งไป แต่ทำร้ายอู๋เชาได้ครั้งหนึ่ง
ตามหลักการแล้วสิบสังหารไม่ควรหลบเงาโลหิตได้
กระทั่งหลิวหลงยังไม่สามารถหลบหลีกได้ ทำได้เพียงทนรับมือไป!
แต่เจ้าสุนัขดำตัวนั้น…น่าสนใจจริงๆ
“สุนัขดำที่กลายเป็นภูตแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
“หรือจะบอกว่าเดิมทีเจ้าสุขดำตัวนี้มีความพิเศษอยู่แล้ว?”
หน้ากากผีสีน้ำเงินเผยสีหน้างุนงง เพราะตัวของเงาโลหิตเองก็พิเศษอย่างมาก ความจริงแล้วพวกหน้ากากผีอย่างเขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก ถึงแม้เขาจะมีเงาโลหิตร่างหนึ่งในครอบครอง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะรู้ไปหมดทุกเรื่อง
ในวินาทีนี้บนร่างเขาก็มีระลอกพลังลี้ลับกระเพื่อมขึ้นมาน้อยๆ ในวินาทีต่อมาเงาโลหิตก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วลอยพุ่งไปด้านหน้า
……
ในทุ่งหญ้ารกร้าง
หลิวเยี่ยนปิดปากเงียบไม่ส่งเสียง ต่อให้พวกอู๋เชาบินผ่านหน้าไป หล่อนก็ไม่มีทางส่งเสียง
หล่อนในตอนนี้เหมือนว่าจะมีความกล้ามากกว่าที่ผ่านมา
ในวินาทีนี้กระทั่งลมหายใจ หญิงสาวยังไม่กล้าปล่อยออกมาด้วยซ้ำ
ทันทีที่เห็นท่าทางหญิงสาวเช่นนี้ หลี่ฮ่าวเองก็รู้ได้เลยว่าหลิวเยี่ยนอยากจะลอบสังหารผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ
เหตุที่เขาแน่ใจว่าเป็นผู้มีพลังเหลือธรรมชาติ…เพราะว่าหลี่ฮ่าวมองเห็น!
นั่นสิ ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายเช่นนี้
ชักจะเห็นชัดเกินไปแล้ว
ในความมืดมิดนี้มีแสงสว่างเลือนรางราวแสงจันทร์ส่องแสงสว่างอยู่ไกลๆ ผู้มีพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติคนนั้นมีพลังในขั้นจันทราทมิฬ!
หลี่ฮ่าวสามารถมองเห็นผู้มีพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติได้ ซึ่งในจุดนี้คนอื่นยังไม่รู้
“ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ!”
ครั้งนี้ไม่ใช่ปรมาจารย์นักรบ แต่คนที่ตามไล่ล่าพวกอู๋เชาเป็นผู้มีพลังธรรมชาติคนหนึ่ง และแน่นอนว่าเป็นคนในขั้นจันทราทมิฬคนหนึ่งเท่านั้น
อาจจะจัดการยากพอๆ กับคนในขั้นทะลวงร้อย หรืออาจจะยากกว่านั้นไปมาก
หลิวเยี่ยนอยู่ในขั้นสิบสังหาร แต่คิดจะลอบสังหารอีกฝ่าย
นับว่ายากมากพอตัว!
ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติรับมือได้ยากกว่าคนในขั้นทะลวงร้อยเสียอีก!
………………………………………………………