STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา - ตอนที่ 33 คนดีดวงดี (1)
ตอนที่ 33 คนดีดวงดี (1)
หลี่ฮ่าวรีบสาวเท้าเดินเข้าไปที่ห้องเก็บแฟ้มคดีอย่างรวดเร็ว
อารมณ์ดีไม่หยอกแฮะ
พอเห็นหวังหมิงก็ยิ่งอารมณ์ดีมากขึ้นไปอีก
“เสี่ยวหมิง มาแล้วเหรอ?”
ขณะที่เสี่ยวหมิงกำลังคีย์ข้อมูลแฟ้มคดีอยู่ เมื่อได้ยินสรรพนามที่เป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ก็ตัวแข็งทื่อเล็กน้อย แต่ก็เอ่ยทักทายกลับโดยเร็ว “พี่ฮ่าวมาแล้ว วันนี้ไปหน่วยปฏิบัติการอีกแล้วเหรอ?”
“อือ”
ในขณะที่หลี่ฮ่าวพูดอยู่ก็จงใจโชว์ธงผ้าไหมเกียรติยศในมือ
นี่คือเกียรติยศของผู้ตรวจการณ์คนใหม่เชียวนะ!
ถึงแม้ในวันปกติหลี่ฮ่าวจะตรงไปตรงมาและถ่อมตัว แต่วินาทีนี้กลับอดไม่ได้ที่จะอวดธงผ้าไหมเกียรติยศของเขา
ดูสิ มีคนให้ธงผ้าไหมกับฉันด้วยนะ
สุดท้ายหวังหมิงก็ถูกดึงดูดความสนใจเข้าอย่างจัง เขาถามอย่างใคร่รู้ “ธงผ้าไหม?ให้พี่ฮ่าวอย่างนั้นเหรอ?”
“อือ เรื่องเล็กน้อยน่า แต่ที่สำคัญคือพวกเขาเกรงใจเกินไป ยืนกรานจะให้ธงผ้าไหมฉันท่าเดียว!”
หลี่ฮ่าวทำทีตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็หัวเราะร่าเอ่ยขึ้นว่า “แน่นอน เสี่ยวหมิงนายจะได้มันในไม่ช้าก็เร็วนี้แหละ”
และในเวลานี้ คนอื่นๆ ในห้องแฟ้มคดีก็ถูกดึงดูดความสนใจไปพร้อมกัน พวกเขาต่างพากันจับจ้องไปที่หลี่ฮ่าว
เมื่อเห็นธงอันทรงเกียรติในมือเขาก็พากันซุบซิบกันยกใหญ่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หลี่ฮ่าวตอบอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่มีอะไร ก็แค่ช่วยเขาซ่อมรถเท่านั้น
ทุกอย่างล้วนเป็นความจริง!
ส่วนจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากมอบธงผ้าไหมให้นั้น…ใครจะไปสนใจเล่า?
…
ห้องเก็บแฟ้มคดีคึกคักอยู่พักหนึ่ง
หลังจากหลี่ฮ่าวแขวนธงผ้าไหมเสร็จถึงนั่งลง เขานึกบางอย่างขึ้นได้เลยถามว่า “เสี่ยวหมิง นายบอกว่าวันนี้ที่บ้านมีผู้ใหญ่มาหาเลยจะมาสายหน่อยไม่ใช่เหรอ?”
‘ก่อนหน้านี้ตอนกินข้าวกัน เจ้าหมอนี่บอกว่าวันนี้จะมีผู้ใหญ่มาหานี่นา’
“มาแล้วครับ! ช่วงเช้าผมมาสายไปหนึ่งชั่วโมง พี่ฮ่าวไม่อยู่ พี่ก็เลยไม่รู้”
หลี่ฮ่าวพยักหน้า
‘มาแล้ว’
‘เขาคือผู้พิทักษ์รัตติกาลที่เก่งกาจหรือญาติผู้ใหญ่กันแน่นะ?’
หลี่ฮ่าวคลี่ยิ้มจริงใจ “หลังเลิกงานเราไปเยี่ยมหาท่านหน่อยไหม? ญาติผู้ใหญ่ของนายจะได้รู้ว่ามีพวกเราดูแลนายอยู่ที่นี่ รับรองว่านายไปได้ไกลแน่นอน”
“ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอกครับ”
หวังหมิงปฏิเสธและเอ่ยติดเกรงใจ “ญาติผู้ใหญ่ของผมท่านไม่ชอบสุงสิงกับใคร ท่านเป็นคนแปลก ๆหน่อยครับ”
เข้าใจแล้ว!
ต้องเป็นผู้พิทักษ์รัตติกาลแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่เอาแต่พูดว่าญาติผู้ใหญ่หรอก ไม่อย่างนั้นหากเป็นพ่อก็คงบอกว่าเป็นพ่อ เป็นแม่ก็บอกว่าเป็นแม่แล้วสิ
หลี่ฮ่าวไม่หยั่งเชิงเขาอีก พูดมากไปจะถูกสงสัยได้ง่าย
แต่หวังหมิงกลับต้องการคุยกับหลี่ฮ่าวมากกว่านี้ เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “พี่ฮ่าว อีกสองวันดูเหมือนว่าเมืองหยินจะฝนตก พวกเราหยุดงานกันพอดี พี่มีแพลนอะไรไหมครับ?”
วันนี้วันที่16 วันที่18 เมืองหยินจะฝนตก
และวันที่ 18 กับ 19 สองวันนี้เป็นวันหยุดของพวกหลี่ฮ่าว
“นายมีแพลนอะไรงั้นเหรอ?”
หลี่ฮ่าวเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “นายเพิ่งมาก็รู้แล้วเหรอว่าเมืองหยินมีที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง หรือนายลองพูดมาสักที่หนึ่งสิ ฉันรอดูอีกทีว่าจะไปได้หรือเปล่า”
“ไปปีนเขากันไหมครับ”
หวังหมิงพูดด้วยสีหน้าคาดหวัง “ในเขตชานเมืองของเมืองหยินมีภูเขาลูกหนึ่งที่ชื่อว่าเทียนหวังไม่ใช่เหรอ? ได้ยินมาว่ามันสูงตระหง่านสวยงามมาก…พวกเราไปเที่ยวบนเขากันไหมครับ”
‘ปีนเขา!’
‘ชานเมือง!’
หลี่ฮ่าวกำลังครุ่นคิด เฉินน่าที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้นด้วยความไม่ชอบใจนัก “ปีนเขามันน่าสนุกตรงไหนกัน ทั้งลำบาก ฝนก็ตกอีก ที่หลบฝนก็ไม่มี ไปกินข้าวร้องเพลงกันดีกว่ามั้ง?”
หวังหมิงหัวเราะแห้ง “พี่น่า ผู้ชายอย่างพวกเราไม่ชอบร้องเพลงกันหรอก ปีนเขาถือเป็นการออกกำลังกายด้วย! อีกอย่างบนเขาก็มีที่พักเหมือนกัน ถ้าตอนเย็นเหนื่อยไม่ไหวก็ค้างบนเขาเลย ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วย ภูเขาเทียนหวังตอนฝนตกอาจจะสวยกว่าก็ได้!”
เฉินน่ายอมแพ้แต่โดยดี!
ช่างเถอะ เธอไม่อยากปีนเขา เหนื่อยไม่พอ แถมไม่เห็นน่าสนุกตรงไหนเลย
ส่วนหลี่ฮ่าวครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว
หวังหมิงให้เราไปปีนเขา หรือเขาเองกำลังอยากหาผู้พิทักษ์รัตติกาลที่เหมาะสมรอจังหวะจู่โจมด้วย
คนบนภูเขาเทียนหวังน้อยมาก ยิ่งฝนตกก็ยิ่งไม่มีใครสัญจรไปที่นั่น คงสมใจผู้พิทักษ์รัตติกาลน่าดู เปิดศึกกับฝ่ายเงาโลหิตที่นั่นคงไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อเมืองหยิน
อย่างน้อยก็เป็นองค์กรของทางการ องค์กรผดุงความยุติธรรม แม้ว่าผู้พิทักษ์รัตติกาลจะมีปัญหามากมาย แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนข้อเท็จจริงที่ว่าผู้พิทักษ์รัตติกาลเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในการปกป้องคุ้มครองคนธรรมดาแล้ว
ดังนั้นผู้พิทักษ์รัตติกาลและทีมล่าปีศาจจึงอยากกำหนดสถานที่ต่อสู้แถบเขตชานเมืองมากกว่าในเมือง
เมื่อผู้มีพลังเหนือธรรมชาติสู้กัน หากคนใดคนหนึ่งไม่ระวังก็อาจทำให้คนธรรมดาจำนวนมหาศาลตายได้
ภูเขาเทียนหวัง…
หลี่ฮ่าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ‘สถานที่ที่ทีมล่าปีศาจกำหนดไว้ไม่ใช่ที่นั่น แม้ว่าจะเป็นเขตชานเมืองเหมือนกัน แต่ทีมล่าปีศาจต้องอาศัยอาวุธร้อนจำพวกปืนเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเป็นพื้นที่ราบไม่ใช่บนภูเขา บนภูเขาไม่สะดวกในการฝังระเบิดต่างๆ’
“รอดูก่อนละกัน!”
หลี่ฮ่าวไม่รีบร้อนที่จะปฏิเสธ เขาลองถามพวกหลิวหลงก่อนค่อยว่ากัน
หวังหมิงยังอยากจะพูดต่อ แต่พอเห็นหลี่ฮ่าวก้มหน้าก้มตาทำงานจึงไม่ได้รบเร้าอีก
แต่เขากลับร้อนรนใจเหลือเกิน
หลี่ฮ่าวจะอยู่แต่ในเมืองตลอดไม่ได้!
เจ้าหมอนี้เป็นเป้าหมายคนต่อไปของอีกฝ่าย ผู้พิทักษ์รัตติกาลที่มาครั้งนี้คือผู้อาวุโสชั้นสูงท่านหนึ่ง เขาค่อนข้างให้ความสำคัญกับทั้งแปดตระกูลใหญ่แห่งเมืองหยินมาก หวังหมิงรู้อะไรไม่มากนัก เขารู้เพียงบางอย่างในระดับผิวเผินเท่านั้น
เมื่อก่อนคนให้ความสำคัญแปดตระกูลใหญ่แห่งเมืองหยินค่อนข้างน้อย แต่ช่วงนี้เหมือนว่าขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติจะเกิดอะไรบางอย่างขึ้น อาจจะเกี่ยวข้องกับแปดตระกูลใหญ่นิรนามเหล่านี้
ดังนั้นการมาเยือนของผู้พิทักษ์รัตติกาลท่านนี้ก็เพื่อช่วยแก้ไขปัญหา อีกทั้งหวังว่าจะได้เห็นกระบี่ของตระกูลหลี่ว่ามีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร
แน่นอนเขาย่อมรู้อยู่ว่าหลี่ฮ่าวกับทีมล่าปีศาจร่วมมือกัน
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตระหนักได้ว่าบางทีหลี่ฮ่าวอาจยังต้องฟังคำสั่งของทีมล่าปีศาจก็ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้คงต้องให้ผู้อาวุโสท่านนี้คิดหาวิธีจัดการแล้วล่ะ
…
บรรยากาศของห้องเก็บแฟ้มคดีในช่วงเช้าถือว่าเงียบมาก
นอกจากเรื่องที่หลี่ฮ่าวได้รับธงผ้าไหมจนทำให้ทุกคนต่างพากันคึกคักกระตือรือร้น ทว่าไม่นานคนที่คุยก็คุยไป คนบางส่วนก็ดื่มชา อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่มีใครสนใจความเคลื่อนไหวของพวกโจวเฮ่อสองคนนั้นเลย
ในความคิดของทุกคนคือหลังจากมอบธงผ้าไหมเสร็จ แน่นอนว่าพวกเขาก็คงต้องกลับไปแล้ว
…
แต่ในขณะเดียว
ด้านนอกของกองตรวจการณ์
ชายชราคนหนึ่งเดินตรงไปข้างหน้าผ่านประตูกองตรวจการณ์ไปอย่างช้าๆ ราวกับไม่ได้ใส่ใจอะไร หลังจากเดินไปสักพักก็เห็นรถสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ตรงนั้น
หยิน 7219
ชายชราเหลือบมองเข้าไปในรถแวบหนึ่งราวกับไม่ได้ตั้งใจ
แต่ในไม่ช้าก็เดินออกไปจากตรงนั้น
ในรถไม่มีคน!
แต่รถคันนี้กลับจอดอยู่ตรงนี้หลายชั่วโมงแล้ว
ผ่านไปสักพักชายชราก็เดินเข้าไปในตรอกเล็กๆ ช่วงเวลาทำงานไม่มีใครออกมาเดินเตร็ดเตร่มากนัก ภายในตรอกเล็กๆ นี้จึงเงียบสงัดมาก
ชายชราเดินพลางเอ่ยเสียงเนือยๆ “คนหายไปแล้ว หลังจากเข้าไปก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดอีก”
จากนั้นหูฟังที่แอบอยู่ภายใต้ผมหงอกก็มีเสียงผู้ชายเย็นชาดังแว่วผ่านข้างหูของชายชรามาว่า “คุณกลับมาก่อน โจวเฮ่อไม่มีทางผลีผลามเข้าไปแน่นอน หลังจากเข้าไปแล้วก็เหมือนหายตัวไปเลย…ทางด้านกองตรวจการณ์ก็ไม่ได้รายงานข้อมูลอะไรสักอย่าง! เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่หนีไปแล้ว หรือไม่ก็คง…ถูกจับตัวไว้อย่างลับๆ และคนที่จับตัวพวกมันไว้ก็คงเป็นทีมล่าปีศาจ!”
ไม่ใช่กองตรวจการณ์
ไม่อย่างนั้นคงมีข่าวเล็ดลอดมาบ้าง
ส่วนโจวเฮ่อเข้าไปทำอะไรนั้น…เขาได้ยินมาว่าเพื่อมอบธงผ้าไหมให้แก่หลี่ฮ่าว…ช่างดวงซวยจริง ๆเลย
แต่จะเกี่ยวอะไรกับหลี่ฮ่าวหรือไม่นั้น
คงไม่น่าจะเกี่ยว!
เพราะจากข้อมูลรายงาน หลี่ฮ่าวยังถือธงไปอวดที่ห้องเก็บแฟ้มคดีอย่างมีความสุขอยู่เลย
ผู้ตรวจการณ์ใหม่คนหนึ่งจะใจเด็ดขนาดนั้นได้อย่างไร แถมยังถือธงผ้าไหมไปโอ้อวดใครต่อใครด้วย ดังนั้นพอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นฝ่ายตรงข้ามจึงตัดหลี่ฮ่าวออกจากผู้ต้องสงสัยในทันที
เป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะถูกพวกหลิวหลงสังเกตเห็นเข้าและจับตัวพวกโจวเฮ่อไปอย่างลับๆ
“โจวเฮ่อเจ้าโง่เอ้ย!”
แกว่างมากนักหรืออย่างไรนะ
วิ่งแจ้นเอาธงผ้าไหมไปให้หลี่ฮ่าว…นี่มันเป็นการส่งแกะเข้าถ้ำเสือชัด ๆไม่ใช่เหรอ
คิดว่าพวกหลิวลงจะไม่ลงมือทำอะไรอย่างนั้นเหรอ
“ช่างเถอะ จับไปแล้วก็จับไปแล้ว…ไอ้สองตัวนั้นก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรมาก แต่น่าเสียดาย… เดิมทีหากภารกิจนี้สำเร็จ เจ้าโจวเฮ่อจะถูกเรียกตัวกลับมาเข้าร่วมพิธีดึงพลังเข้าร่าง มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ!”
องค์กรพลังเหนือธรรมชาติใหญ่ๆ แต่ละองค์กรย่อมให้ความสนใจกับสิบสังหารอยู่แล้ว
ภารกิจที่มอบหมายให้โจวเฮ่อในครั้งนี้ไม่ยาก แค่ให้เขาทำคุณประโยชน์ พอทำคุณประโยชน์สำเร็จ ถึงจะมีคุณงามความดีและเหตุผลเข้าร่วมพิธีดึงพลังเข้าสู่ร่างเพื่อเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ และคาดหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นจันทราทมิฬด้วย
ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกลับหายไปในพริบตา!
ตอนนี้คงพูดได้เพียงว่าโจวเฮ่อรนหาที่ตายเอง
……………………………………………………………….