STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา - ตอนที่ 3- 3 กระบี่ตระกูลหลี่ (3)
ขณะที่พูดหล่อนก็หยิบกระดาษข้างกายขึ้นมา “ฉันติดนิสัยชอบเขียนๆ วาดๆ เมื่อกี้ดูเอกสารในคดีไป ฉันเลยเขียนชื่อผู้ตายในเหตุการณ์เหล่านั้นออกมา”
หลี่ฮ่าวมองแวบหนึ่งแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
ผู้ตายในเหตุการณ์ทั้งหกคน!
ชื่อของพวกเขาเหล่านี้ หลี่ฮ่าวท่องจำได้อย่างขึ้นใจ แล้วช่วยให้เจออะไรอย่างนั้นเหรอ?
คนละชื่อ คนละแซ่ บางชื่อสองพยางค์ บางชื่อสามพยางค์ พูดง่ายๆ คือไม่เกี่ยวข้องอะไรกันเลย
ครั้นเฉินน่าเห็นหลี่ฮ่าวให้ความสนใจเลยเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “โจวชิ่ง หงเจียว หวังฮ่าวหมิง หลิวอวิ๋นเซิง จ้าวซื่อหาว นี่เป็นชื่อของพวกเขาทั้งหกคนใช่ไหม?”
หลี่ฮ่าวพยักหน้าน้อยๆ
เฉินน่ามองชื่อบนกระดาษอีกครั้ง จู่ๆ ก็รู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมาแล้ว หล่อนกลัวว่าถ้าตนพูดไปหลี่ฮ่าวจะว่าโกหกเขาหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นคงจะไม่ดีแน่
เฉินน่ากระแอมเสียงเบาๆ อย่างกระอักกระอ่วนใจแล้วเอ่ย “ช่างเถอะ ถือว่าฉันไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน ฉันดูอย่างละเอียดอีกรอบแล้วแต่เหมือนว่าจะแปลกๆ ไปหน่อยเพราะขาดไปอีกสองอัน”
“อะไรเหรอ?”
หลี่ฮ่าวชะงักไปครู่หนึ่ง “ขาดอะไรไปอีกสองอัน?”
เฉินน่าอึดอัดใจยิ่งกว่าเดิม “ถ้ามีคนแซ่เจิ้งและแซ่หลี่เพิ่มขึ้นมาอีกคน อย่างนั้นก็ถูกแล้ว แต่ตอนนี้ไม่มี…แค่กๆ ฉันพูดไปแบบนั้น นายก็อย่าถือเอาจริงเอาจังอะไรล่ะ”
หล่อนไม่อยากพูดต่อแล้วเพราะมันน่ากระอักกระอ่วนใจจริงๆ เลย!
ทว่าหลี่ฮ่าวกลับตะลึงแน่นิ่งไป
ทำไมต้องเพิ่มมาอีกสองแซ่ถึงจะถูกล่ะ?
แซ่หลี่…ก็เขาไง!
ขาดคนแซ่เจิ้งไปอีกหนึ่งคน ขาดอีกหนึ่งคน…หลี่ฮ่าวคงทำได้แค่สืบหาจากคดีสิบปีก่อนหน้านี้แล้ว เพราะคดีที่เกินสิบปีและคดีที่ไม่มีปมน่าสงสัยอะไร เอกสารที่ใช้ในคดีจะถูกทำลาย เพราะคดีอุบัติเหตุมีมาก พอคดีมีมากเกินไปห้องเก็บแฟ้มคดีคงไม่เก็บรักษาไว้ทั้งหมด
เวลานี้หลี่ฮ่าวตกตะลึงแน่นิ่งไปแต่สีหน้ากลับไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด เขายิ้มเอ่ย “พี่น่า มีอะไรก็ว่ามาเถอะครับ มีอะไรก็ลองพูดออกมาดูถือว่าแลกเปลี่ยนกันก็ได้ ทำมพี่ถึงบอกว่าต้องมีอีกสองแซ่ล่ะครับ?”
เฉินน่ามองหลี่ฮ่าวแล้วเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “นายไม่ใช่คนเมืองหยินเหรอ?”
“ใช่สิครับ”
“อย่างนั้น…”
ขณะที่พูดเฉินน่าก็คิดบางอย่างออกเลยพยักหน้าเอ่ยถามต่อว่า “เข้าใจแล้ว ครอบครัวนาย…ไม่มีคนอายุมากหรือคนแก่เลยใช่ไหม?”
“คุณปู่คุณย่าของผมจากไปเร็ว”
หลี่ฮ่าวแปลกใจยิ่งกว่าเดิม ทำไมโยงไปหาคนแก่ได้ล่ะ?
ครั้นเฉินน่าเห็นว่าเขาให้ความสนใจจึงไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ จึงกล่าวต่อ “ถ้าในครอบครัวมีคนแก่ คนแก่บางคนจะชอบพูดภาษาถิ่นที่นิยมใช้กัน เมื่อก่อนตอนเด็กๆ คุณย่าของฉันพูดอยู่บ่อยๆ”
เฉินน่าขบคิดเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำแล้วเอ่ยต่อ “เมื่อก่อนฉันใช้ชีวิตอยู่กับคุณย่า คุณย่าชอบร้องเพลงพื้นบ้านของเมืองหยินให้ฟัง ฉันจำได้ว่ามีเพลงพื้นบ้านเพลงหนึ่งร้องแบบนี้…”
เฉินน่าลอกเลียนแบบคุณย่าในอดีต กระแอมเสียงในลำคอแล้วร้องเสียงเล็กแหลมว่า “กระบี่ของตระกูลหลี่ มีดของตระกูลจาง หมัดของตระกูลจ้าว ขาของตระกูลหลิว…นายท่านของตระกูลเจิ้งเป็นตัวถ่วง!”
พอร้องไปได้ท่อนหนึ่งเฉินน่าก็รู้สึกขัดเขินเล็กน้อยจึงยิ้มแหยๆ ก่อนจะกล่าว “ใช้ภาษากลางร้องอาจไม่ค่อยเพราะเท่าไหร่ ความจริงเมื่อก่อนคุณย่าใช้ภาษาถิ่นร้องเพราะมากเลยนะ แน่นอนว่าเป็นเพลงที่คนในท้องถิ่นคิดขึ้นเอง หากไม่เคยได้ยินมาก่อนอาจจะรู้สึกว่ามันเชยไปบ้าง”
เวลานี้แววตาหลี่ฮ่าวกลับเป็นประกายแวววับ
เพลงพื้นบ้าน!
กระบี่ของตระกูลหลี่ มีดของตระกูลจาง…
ในเพลงพื้นบ้านนี้มีทั้งหมดแปดตระกูล!
หลี่ จาง จ้าว หลิว หวัง หง โจว เจิ้ง!
เขาแย่งกระดาษในมือของเฉินน่ามาอย่างไม่คิดเกรงใจสักนิด ชั่ววินาทีนั้นสายตาก็จับจ้องไปยังชื่อแรก โจวชิ่ง
นี่เป็นผู้ตายเมื่อสิบปีก่อน!
และเป็นผู้ตายในคดีไฟคลอกคนแรกที่หลี่ฮ่าวค้นเจอ
จากนั้นก็เป็นหงเจียวพนักงานขาย แล้วก็หวังฮ่าวหมิง…
หากว่าคนแรกที่ตายไม่ใช่โจวชิ่งแต่เป็นคนหนึ่งที่แซ่เจิ้ง เช่นนั้นโจวชิ่งก็เป็นคนที่สอง หงเจียวเป็นคนที่สาม หวังฮ่าวหมิงเป็นคนที่สี่…
หากไล่นับตามทั้งแปดตระกูลในเพลงพื้นบ้านของเมืองหยินแล้ว ลำดับจะสอดคล้องกับเวลาการตายของพวกเขา
คนสุดท้ายที่ตายคือจางหย่วน สอดคล้องกับมีดของตระกูลจางพอดี
นั่นก็หมายความว่า…ยังมีอีกหนึ่ง!
ยังมีอีกคนหนึ่งที่ต้องตายและแซ่หลี่ด้วย ลำดับแรกในเพลงก็คือกระบี่ของตระกูลหลี่!
หลี่ฮ่าวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขารีบมองไปที่เฉินน่าด้วยความตกใจและตื่นเต้นอย่างปิดไว้ไม่อยู่ เสียงที่เปล่งออกมาแหบพร่าเล็กน้อย “เพลงนี้…เริ่มเป็นที่นิยมตั้งแต่เมื่อไหร่ ใครเป็นคนเผยแพร่เหรอครับ…”
เฉินน่าตกใจในแววตาของเขาแต่ไม่นานก็สงบสติลงได้ “อย่าเพิ่งรีบร้อน หลี่ฮ่าว เพลงนี้มีคนแก่ไม่น้อยที่เคยได้ยินมาก่อน แต่คนวัยหนุ่มสาวน้อยนักที่จะเคยได้ยินเพราะอย่างนั้นนายถึงไม่รู้ ถ้านายสนใจ พวกเราค่อยๆ สืบกันก็ได้ นายอย่าเพิ่งใจร้อน!”
หลี่ฮ่าวสูดหายใจเข้าลึกแล้วสะกดอารมณ์บุ่มบ่ามในใจเอาไว้
จะใจร้อนไม่ได้!
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าแค่เอาให้เฉินน่าดูแวบเดียว อีกฝ่ายจะให้เบาะแสสำคัญได้ขนาดนี้ หลี่ฮ่าวไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อนและไม่เคยร้องมาก่อนด้วย น่าจะไม่ได้เป็นที่นิยมมานานหลายปีแล้ว
เพราะด้วยภาษาทางการ เพลงพื้นบ้านเหล่านี้จึงถูกกลืนหายไปกลับคนแก่รุ่นก่อนแล้วจนค่อยๆ หายไป
คุณปู่ของหลี่ฮ่าวตายเร็ว หลี่ฮ่าวเลยไม่เคยเจอเขามาก่อน แน่นอนว่าไม่มีใครเคยร้องให้เขาฟังด้วยเช่นกัน
‘สงบสติอารมณ์หน่อย!’
หลี่ฮ่าวตะโกนในใจ รีบร้อนอะไรกัน มีเบาะแสแล้ว นี่ถึงจะสำคัญกว่าสิ ไม่ต้องใจร้อนไปหรอก
ตอนนี้สิ่งที่สำคัญก็คือต้องยืนยันว่าคนแรกที่ตายใช่คนแซ่เจิ้งหรือเปล่า
เอกสารคดีเมื่อสิบปีก่อน ห้องเก็บแฟ้มคดีทำลายไปแล้วบางส่วนและไม่มีที่ให้ไปตามสืบหาด้วย อีกอย่างตัวเขาเองไม่จำเป็นต้องหาโดยละเอียดนัก เขาแค่ต้องการหาเอกสารคดีเมื่อสิบห้าปีก่อนถึงสิบปีก่อนว่ามีคนแซ่เจิ้งถูกไฟครอกตายหรือไม่ก็พอ
หลี่ฮ่าวในเวลานี้ทั้งตื่นเต้นทั้งหวาดกลัว
หากมันสอดคล้องกันพอดี อย่างนั้นคนต่อไป…ก็คงเป็นเขาแล้ว!
เสี่ยวหย่วนต้องเห็นอะไรแน่นอน ได้ยินอะไรมาแน่นอน ดังนั้นถึงบอกให้ตนรีบหนีไป
“กระบี่ของตระกูลหลี่…”
“กระบี่ของตระกูลหลี่!”
หลี่ฮ่าวคิดขึ้นมาในใจ ฉับพลันดวงตาก็เบิกกว้าง กระบี่…ของตระกูลหลี่!”