STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา - ตอนที่ 27-3 เป็นฝ่ายลองเชิงก่อน (3)
ตอนที่ 27 เป็นฝ่ายลองเชิงก่อน (3)
หลิวหลงไม่พูดเรื่องนี้อีกแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาใหม่ว่า “คุณรีบกลับไป อย่าไปไหนซี้ซั้วอีก!”
สิ้นเสียงเขาก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา
บางทีคงต้องเปลี่ยนแผนหน่อยแล้ว
การออกมาข้างนอกของหลี่ฮ่าวในครั้งนี้ สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องดีเพราะทำให้เขาเข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้น ก่อนหน้านี้ก็เตรียมพร้อมที่จะประชันกับผู้กล้าระดับขั้นพันยุทธ์และสุริยะพรายไว้แล้ว แม้เขาเป็นเพียงขั้นทะลวงร้อย แต่อย่าลืมว่านี่เป็นถิ่นของเขา
เขาถึงขั้นฝังระเบิดจำนวนมากไว้ที่โกดัง
ทว่าเป็นผู้กล้าระดับขั้นพันยุทธ์ที่มองไม่เห็น ทีนี้ก็แย่ล่ะ เขาต้องการเตรียมพร้อมและวางแผนให้สมบูรณ์แบบยิ่งกว่านี้และคิดหาวิธีแก้ไขปัญหานี้ให้ได้
……
ใต้แสงจันทร์
หลี่ฮ่าวกระชับเสื้อ หลิวหลงไม่ได้บอกว่าจะถอดใจ นี่แสดงว่าเขายังคิดหาทางอยู่
นับเป็นเรื่องดีที่หลิวหลงไม่ได้หวาดกลัวจนยอมแพ้
‘พันยุทธ์…ระดับขั้นจิตวิญญาณ!’
พอจำสิ่งเหล่านี้ไว้แล้วหลี่ฮ่าวก็เดินต่อไป คราวนี้เงาโลหิตไม่ได้ปรากฏตัวอีก
ไม่นานก็มาถึงกู่ย่วน
ในตอนนี้หลี่ฮ่าวไม่ได้เดินเข้าประตูใหญ่ เขาเป็นคนคล่องแคล่วว่องไวเลยเลือกที่จะปีนป่ายขึ้นกำแพงข้างๆ แล้วปีนเข้าไปด้านในกำแพงเพื่อเข้าสู่พื้นที่ภายในของกู่ย่วน
หน่วยคุ้มกันของกู่ย่วนยังใช้ได้ เพียงแต่เฉพาะกับคนธรรมดาเท่านั้น อย่างน้อยหลี่ฮ่าวก็เป็นถึงปรมาจารย์นักรบสิบสังหารคนหนึ่ง อยากจะหลีกเลี่ยงหน่วยคุ้มกันก็ใช่ว่าจะเป็นปัญหาใหญ่อะไร
……
นอกลานบ้านเล็ก
หูฮ่าวที่คอยเฝ้าอยู่ในที่มืดขมวดคิ้วน้อยๆ พลางมองไปยังทิศทางหนึ่ง
ข้างกายเขายังมีหลี่เมิ่งที่บาดเจ็บหนักพอสมควร ตอนนี้ใบหน้าซีดเซียวเฝ้าอยู่ตรงนี้ด้วยเช่นกัน ฉับพลันหล่อนก็หันหน้ามองไปทางหลี่ฮ่าวอย่างไม่เข้าใจปนหงุดหงิด กดเสียงถาม “ทำไมเขาถึงมาอีกแล้ว”
มาบ่อยเหลือเกิน!
“ไม่ต้องสนแล้ว!”
หูฮ่าวพูดคำหนึ่ง เมื่อตอนเที่ยงเพิ่งเสียเปรียบไป ตอนนี้ก็อย่าพูดอะไรเลย ไหนๆ ก็มาแล้ว
ระหว่างที่ทั้งคู่สนทนากันอยู่ หลี่ฮ่าวก็เดินตรงเข้าไปในลานบ้าน
ครั้งนี้ไม่มีใครมาขวางทางเขาไว้อีก
……
บ้านตระกูลหยวน
ภายในลานบ้านเล็กเงียบสงบ หยวนซั่วไม่อยู่ตรงลานบ้าน เวลากลางคืนแบบนี้เขาไม่มานั่งอาบแสงจันทร์อยู่ตรงนี้หรอก
ประตูใหญ่เปิดออกอัตโนมัติโดยไม่อาศัยแรงลมใดๆ
กลางห้องนั่งเล่น หยวนซั่วอาจจะเพิ่งฝึกเสร็จ เขาที่เพิ่งเลื่อนขั้นเป็นพันยุทธ์ยังคงเสริมสร้างรากฐานให้มั่นคงอยู่
ผมถูกย้อมเป็นสีขาวไปแล้ว รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าก็ปรากฏอีกครั้งซึ่งไม่ได้ต่างจากก่อนหน้าสักเท่าไร เขาไม่ใช่คุณลุงวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปีอย่างที่หลี่ฮ่าวเห็นก่อนหน้า
“อาจารย์!”
หยวนซั่วผงกศีรษะรับ มองเขาแวบหนึ่งแล้วขมวดคิ้วขึ้นทันที พูดเสียงนิ่งว่า “โดนเพ่งเล็งเข้าเหรอ”
“ครับ”
หยวนซั่วขมวดคิ้วมองเขา จากนั้นก็พูดด้วยเสียงขรึมหน่อยๆ ว่า “มีร่องรอยของพลังจิตวิญญาณ…นี่เธอถูกคนล็อกเป้าเข้าแล้วเหรอ!”
“อะไรนะครับ”
หลี่ฮ่าวไม่เข้าใจ
หยวนซั่วอธิบาย “พันยุทธ์ปลุกจิต! ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ฉันคงไม่เห็น แต่ตอนนี้…ฉันรู้สึกได้ เหมือนตัวเธอถูกใครทิ้งร่องรอยของพลังจิตวิญญาณเอาไว้บางส่วน…อีกอย่างเวลาไม่นานด้วย อาจจะเมื่อกี้เอง เธอเจอตัวฆาตกรแล้วเหรอ”
หลี่ฮ่าวพยักหน้ารับ “เจอครับ! หัวหน้าหลิวคอยติดตามอยู่แต่ไม่เห็น เขาก็บอกว่าอาจจะเกี่ยวโยงถึงระดับชั้นพลังจิตวิญญาณเหมือนกัน!”
“ตามรังควานไม่เลิก!”
หยวนซั่วถอนเสียงทีหนึ่ง “ถึงจะเดาได้ตั้งแต่แรก แต่พอมั่นใจว่าใช่จริงๆ ก็ชวนให้ปวดหัวอยู่ไม่น้อยแฮะ!”
หลี่ฮ่าวคิดๆ แล้วก็พูดอีก “มีอีกหนึ่งอย่าง อีกฝ่ายไร้เงาไร้ร่องรอย หัวหน้าหลิวไม่เห็น ล็อกตัวเขาไม่ได้ อาจารย์…”
“ไม่เป็นไร!”
หยวนซั่วส่ายหน้า “ระดับขั้นอย่างเราไม่สนสิ่งที่อยู่ตรงหน้า สิ่งที่เห็นใช่ว่าจะเป็นของจริง! พลังจิตวิญญาณยังอยู่ ต่อให้ใช้วิชาอำพรางตัวก็ไม่สามารถตบตาฉันได้ นอกจากว่าจะแกร่งกว่าฉันมาก”
หลี่ฮ่าวพยักหน้ารับ อาจารย์พูดแบบนี้ย่อมไม่ใช่การพูดโม้อยู่แล้ว
หลี่ฮ่าวมาที่นี่ก็ไม่ได้เพื่อเรื่องนี้เช่นกัน
เขาหยิบหินมีดออกมาวางบนโต๊ะ
หยวนซั่วมองเขาเหมือนจะรู้ดีว่านี่คืออะไร
หลี่ฮ่าวเอ่ยเสียงเบา “ข้างในมีพลังลี้ลับพิเศษบางอย่าง ดูจะมีพลังการโจมตีรุนแรงกว่าพลังลี้ลับทั่วไป ต่างจากกระแสอุ่นของพลังแสงดารา พลังทะลวงสุดยอดมากด้วยครับ!”
“มีดกับกระบี่ประโยชน์ต่างกันเหรอ”
หยวนซั่วทำท่าเหมือนกำลังครุ่นคิด “กระบี่ตระกูลหลี่ มีดตระกูลจาง อันหนึ่งอบอุ่นดูแลร่างกาย อันหนึ่งแหลมคมถนัดบุก ในแปดตระกูลใหญ่ ยังมีหมัดตระกูลจ้าว เท้าตระกูลหลิว ตระกูลหวังเลี้ยงเต่ายักษ์ไว้ตัวหนึ่งด้วย ค้อนตระกูลหง หอกตระกูลโจว คุณชายตระกูลเจิ้งเป็นตัวถ่วง…”
“ถ้าดูจากความหมายตัวหนังสือพวกนี้ หมัด เท้า ตระกูลหวังและตระกูลเจิ้งอาจจะไม่มีอาวุธ แต่ทุกอย่างก็พูดยาก หมัดเท้าก็ใช่ว่าจะไม่มีอาวุธเลย ส่วนเต่าตัวนั้นบางทีอาจจะสื่อถึงของจำพวกป้องกันตัวอย่างโล่อะไรทำนองนั้น”
หยวนซั่วเล่าถึงเรื่องมีดอย่างไม่รีบร้อนแล้ววิเคราะห์กล่าว “ถ้าอาวุธของอีกหกตระกูลถูกเอาไปหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นอีกฝ่ายก็คงดูดซับพลังจากในนั้นไปแล้ว หอก ค้อนถนัดการโจมตี กระดองเต่าถนัดป้องกันตัว หมัดเท้าคือความคล่องแคล่วแม่นยำ…”
เขายังรู้สึกหนักอึ้งอยู่บ้างเล็กน้อย “งั้นก็ต่อกรไม่ง่ายเลยจริงๆ ประเด็นคือเราไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายดูดซับไปเท่าไร ทั้งหมดหรือแค่ส่วนหนึ่ง หรืออาวุธอื่นๆ ไม่มีพลังกักเก็บอยู่ข้างในเหมือนกระบี่และมีด อีกฝ่ายไม่กล้ามาแย่งโดยตรงหรือจับตัวเธอไปอาจจะเพราะยังระแวงผู้พิทักษ์รัตติกาลอยู่ งั้นแสดงว่าคงไม่เกินกว่าที่คาดเดาเอาไว้กว่านี้นัก”
เรื่องออกจะน่าปวดหัวอยู่หน่อยๆ ไม่นานเขาก็พูดว่า “มีด ฉันเก็บไว้ก่อน แต่ฉันไม่แน่ใจว่าจะใช้มันได้ไหม! หลักๆ เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะมีเวลากับพลังในนี้เพียงพอหรือเปล่า แต่เธอวางใจได้ ต่อให้อยู่ระดับขั้นเกินสุริยะพราย ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีรับมือ!”
หลี่ฮ่าวพยักหน้ารับ “อาจารย์มีแผนในใจก็พอ ถ้าเกิดปัญหาจริงๆ…หนีก็จบ! สู้ไม่ไหวก็หนี อาจารย์พาผมหนีได้ใช่ไหมครับ อย่างมากเราก็แค่หนีไปที่กองบัญชาการใหญ่ของผู้พิทักษ์รัตติกาล พวกเขาคงไม่ใจร้ายถึงขั้นไม่ยอมช่วยหรอกมั้ง”
หยวนซั่วหัวเราะ ท่าทีเช่นนี้คล้ายฉันอยู่ไม่น้อย
เพียงแต่เรื่องนี้พูดยาก อีกอย่างก็หนีไม่สะดวก เพราะมันไกลเกินไป
เมืองหยินเล็กเกินไป!
ระยะทางจากเมืองไป๋เยวี่ยก็ไกลเกินไป
ถ้าจะให้หนีไปตอนนี้หลี่ฮ่าวก็ไม่ยอม หยวนซั่วก็ไม่ยอมเช่นกัน อีกอย่างหนีไปตอนนี้ก็มีแต่จะทำให้อีกฝ่ายลงมือก่อนกำหนดกลับจะทำให้แย่ลงเสียเปล่า หลายวันนี้หยวนซั่วอาจจะมีหวังเลื่อนขั้นได้บ้าง
ครั้งนี้สองอาจารย์ลูกศิษย์ไม่ได้พล่ามอะไรมากนัก
หยวนซั่วไม่คิดจะปฏิเสธแต่เลือกรับหินมีดเก็บไว้
ยามคับขันแบบนี้ ความเกรงใจเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเลย
ส่วนหลี่ฮ่าวก็ไม่อยู่นาน พอจบเรื่องเขาก็ออกไปจากลานบ้านเล็ก
……
พอหลี่ฮ่าวไปหยวนซั่วก็ลองดูดซับดู
ก่อนจะไปหลี่ฮ่าวยังเตือนไว้ประโยคหนึ่งว่ามันเจ็บปวดมาก
หยวนซั่วไม่ได้เก็บมาคิดสักเท่าไร
แต่พอลองดูดซับพลังจากมีดดูเล็กน้อย หยวนซั่วก็เจ็บระบมไปทั้งปาก ให้ตายเถอะ เจ็บจริงๆ!
พลังนี้…รุนแรงเกินไปแล้ว!
วินาทีถัดไปดวงตาของหยวนซั่วก็เป็นประกายแพรวพราว ของดีเลยนี่นา
อาวุธสืบทอดของแปดตระกูลใหญ่ล้วนเป็นสมบัติชั้นดีตามคาด หินมีดที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ คิดไม่ถึงว่าจะอัดแน่นไปด้วยพลังการโจมตีที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้
“แปดตระกูลใหญ่แห่งเมืองหยิน ยิ่งรู้มากเท่าไรก็ยิ่งลึกลับ!”
พอคิดถึงตรงนี้ เขาก็พานนึกถึงเรื่องที่ต้องไปสำรวจตามรอยอารยธรรมโบราณช่วงสิ้นเดือนอีกแล้ว
หยวนซั่วตกอยู่ในห้วงความคิด
“ร่องรอยนั่น…จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับแปดตระกูลใหญ่ไหมนะ”
เดิมทีสองเรื่องนี้ไม่ได้มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย อย่างหนึ่งอยู่เมืองหยิน อีกอย่างหนึ่งแทบจะไม่ออกนอกมณฑลหยินเยวี่ย ส่วนอีกอย่างเป็นหนึ่งสถานที่เล็กๆ เกี่ยวกับตำแหน่งร่องรอยแหล่งอารยธรรมโบราณ
แต่จู่ๆ ตอนนี้เขาก็คิดว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกันอยู่บ้างจริงๆ
“ฉันจำได้ว่าในซากโบราณนั่น ตรงประตูหน้ามีรอยสลักรูปเต่า…ก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดอะไรมาก หรือว่า…มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลหวังในแปดตระกูลใหญ่กัน”
ณ ตอนนี้หยวนซั่วได้จมอยู่ในห้วงความคิด
ซากโบราณนั่นเป็นซากโบราณที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยค้นพบมาตลอดหลายปีนี้ และเป็นซากโบราณที่เก็บรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด และเป็นซากโบราณที่อันตรายมากที่สุดเช่นกัน
เหตุที่เขาบาดเจ็บเมื่อสามปีก่อนก็ได้มาจากที่นั่นแหละ
ครั้งนั้นทำให้คนเสียชีวิตไปไม่น้อย ดังนั้นผู้พิทักษ์รัตติกาลถึงได้ล้มเลิกการสำรวจและปิดตายที่นั่นมาตลอด
ช่วงนี้กำลังจะเปิดการสำรวจใหม่ ทั้งได้ยินข่าวว่าไม่ใช่แค่ผู้พิทักษ์รัตติกาลฝ่ายเดียว แต่เป็นการสำรวจจากการร่วมมือขององค์กรผู้มีพลังเหนือธรรมชาติหลายองค์กร เห็นได้ชัดว่าผู้พิทักษ์รัตติกาลก็กังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์ทำให้คนบาดเจ็บเสียชีวิตอีกครั้งเหมือนกัน
ต่อให้จำเป็นต้องแบ่งผลประโยชน์ก็คงต้องทำใจ คนมากพลังก็มีมาก ถ้าเสียหายมากแล้วทุกคนช่วยกันรับผิดชอบก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
“แปดตระกูลใหญ่…ซากโบราณ…ฆาตกรคดีไฟคลอก…”
ถ้าฆาตกรคดีไฟคลอกรู้เรื่องราวของแปดตระกูลใหญ่สักนิด ไม่ว่าจะแค่คาดเดาหรือรู้ว่าซากโบราณนั่นมีส่วนเกี่ยวข้องกับแปดตระกูลใหญ่ แล้วต่อจากนี้จะเข้าร่วมด้วยหรือเปล่า
เช่นนั้นหากอีกฝ่ายเป็นหนึ่งองค์กร พวกเขาจะไปรวบรวมพลังมหาศาลไว้ตรงนั้นหรือเปล่า
เช่นนี้ฝั่งเมืองหยินก็จะปลอดภัยกว่าหน่อย
“ยังไม่คิดเรื่องนี้แล้วกัน!”
หยวนซั่วสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เรื่องด่วนตอนนี้ต้องรีบแก้ปัญหาของหลี่ฮ่าวก่อน
ส่วนเรื่องซากโบราณไว้ค่อยว่ากัน
……………………………………………………………………