Special District 9 เขตพิเศษที่ 9 - ตอนที่ 316 ถ้าสําเร็จแล้ว เราค่อยไปด้วยกัน
ตอนที่ 316 ถ้าสําเร็จแล้ว เราค่อยไปด้วยกัน
“ลูกพี่…ลูกพี่ ใครคือชื่อเหมาจ๋อเหรอ?” การ์ดเฝ้าประตูตอบกลับอย่างสันเทา
“ฉันเห็นตอนที่นายคุยกับมันแล้ว นายยังจะตอแหลกับฉันอีกเหรอ?” ต้าฮวงจ้องตาเขม็งพลางควักมีดออกมาจะแทงทันที
“อย่าแทง อย่าแทง!” การ์ดเฝ้าประตูกลื่นน้ําลาย “พวก…พวกเขาทั้งหมดอยู่บนดาดฟ้า”
“ทําอะไรบนดาดฟ้า?” ต้าส่วงเอ่ยปากถาม
“เล่นกับสาวๆ อยู่บนดาดฟ้าน่ะ” การ์ดที่ยืนเฝ้าประตูตอบกลับ
“ผู้หญิงงั้นเหรอ? มาเล่นผู้หญิงอะไรที่นี่ล่ะ? ครูเหรอ? ” ต้าฮ่วงหน้าตามันงง
“มะ..มีสิ ผู้หญิงคนอื่นๆน่ะ” การ์ดเฝ้าประตูตอบกลับพร้อมกับแววตาตื่นตระหนก
ต้าฮ่วงครุ่นคิดสักพัก “ชื่อเหมาจ่อมาที่นี่บ่อยเลยเหรอ?”
“ใช่”
“มันอยู่ในห้องนั้นเป็นประจําเลยเหรอ? แน่ใจนะ?”
“ห้องที่อยู่ในสุดทางฝั่งขวาของทางเดิน เขาอยู่ในนั้นตลอด” การ์ดนึกย้อนสักพักก่อนจะตอบกลับ
ต้าช่วงสํารวจชั้นแรกสักพักพลางถามขณะถีอมีดไว้ในมือ “นอกจากประตูหลักแล้วยังมีบันไดอื่นอีกไหม?”
สิบวินาทีผ่านไป
การ์ดทั้งสองถูกมัดแขนมัดขา อุดปากแล้วยัดเข้าใต้ท้องรถทันที
ต้าฮวงพาเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนเข้าไปทางประตูหลังก่อนจะก้มหน้าพูดกับวิทยุสื่อสาร “ฉันเตรียมจะเข้าไปแล้ว”
“นายระวังด้วยล่ะ” พี่เซียวเอ่ยปากกําชับ
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” ต้าฮวงพูดเสียงเบา “ทําตามแผนที่วางไว้ก็พอ”
“รู้แล้วน่า” พี่เซียวพยักหน้า
ต้าฮ่วงแขวนวิทยุสื่อสารไว้ที่เอวพลางสั่งเพื่อนร่วมทีม “เปิดกระจกหน่อย แล้วส่องเข้าไปซะ!”
ในอพาร์ตเมนต์เขตซ่งเจียง
“เหอะ?” ฉวีหยางมองเป่ยเตอหยง “แกจะไป แล้วเหรอ?”
“ไม่ไปแล้วจะให้ทําอะไรล่ะ?” เป่ยเตอหยงหัวเราะ “มุมมองนี้ในสายตาฉัน ฉันว่าเราสามารถมองดูถูกคนชั้นล่าง แต่คนที่อยู่เหนือกว่าเราก็มองเราแบบนั้นได้เหมือนกัน ฉันไม่มีเบื้องหลังใหญ่โตพอที่จะทําอะไรทําตามใจตัวเองได้ พอฉันเห็นโอกาสฉันเลยเก็บมันทันที นี่สิถึงเรียกว่าฉลาด”
ฉวีหยางได้ยินเป่ยเตอหยงพูดอย่างแน่วแน่กับตัวเองแบบนี้แล้ว จึงไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรต่อ
“เอกสารสองซองที่ฉันให้กับนายคือโฉนดบ้าน ทั้งสองที่ในยุโรป รวมถึงทรัพย์สินตอนนี้ของบริษัทที่ฉันเก็บไว้ด้วย ถึงตัวเลขจะไม่มาก แต่มันก็สามารถทําให้นายไถ่โทษได้แน่นอน” เป่ยเตอหยงตบไหล่ของฉวีหยางพลางพูดอย่างสนิทสนม “ถ้านายร่วมมือกับฉันแสดงหนังแล้วหลอกให้ฉินอวี่ตกหลุมพรางด้วย ฉันก็จะมีปัญญาพอที่จะคุยกับหยวนเค่อได้! และถ้ามันจะแย่ลงอีกครั้ง ฉันก็หาเงินได้ประมาณนึ่งแล้ว จากนั้นก็ให้พวกมันทั้งสองปะทะกันเองละกัน”
ฉวีหยางเงียบไป
“หยวนเค่อเอาฉันไว้เป็นเกราะป้องกัน เหอะๆ พอรู้ว่าฉันไม่มีปัญญาและเห็นแก่เงิน มันเลยคิดอยากจะให้ฉันถ่วงฉินอวี่อยู่ที่รัฐพื้นทมิฬ” เป๊ยเตอหยงหัวเราะ “ขอแค่ได้ราคาที่สมเหตุสมผล ฉันก็เป็นเกราะป้องกันให้มันได้แล้ว”
ฉวีหยางก้มหน้าดูเอกสารในมือและไม่พูดไม่จาอยู่เหมือนเดิม
“ฉันรู้ดีว่านายรู้สึกว่าหยางหนานกับนิ่วเจินเป็นพี่น้องเป็นเพื่อนที่อยู่ข้างฉันมาตั้งหลายปี แต่พอพวกเขาเข้าไปแล้วพวกเขาก็ตาย ฉันกลับไม่รู้สึกอะไรและเย็นชาสุดๆ” เป๊ยเตอหยงถอนหายใจ “จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่แบบนั้น ฉันก็อยากจะให้พวกเขาสบายดีทั้งนั้น แต่ทุกคนแสดงบทบาทที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจุดจบก็ต้องไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ถ้าพูดน่าเกลียดหน่อยน่ะเหรอ? ถ้าหนิวเจนพลิกกระดานหมากของคนร้ายได้ แล้วทําไมมันถึงให้ฉันได้โบนัสเยอะที่สุดด้วยล่ะ? ส่วนหนานหยางน่ะ ถ้าสามารถอยู่ในสังคมได้ด้วยตัวเอง แล้วทําไมมันถึงให้งานฉันอย่างเต็มใจให้ฉันเป็นนักฆ่าล่ะ? ฉะนั้น บางเรื่องก็ใช่ว่าฉันจะไม่รู้สึกอะไร แต่ฉันเห็นจุดจบตั้งแต่แรกแล้ว ถึงขั้นรู้ได้ว่าหนิวเจนกับหนานหยางต้องมีจุดจบแบบนี้แน่นอน”
“แล้วจุดจบของฉันล่ะ จะเป็นยังไง?”
“นายไปกับฉัน” เป่ยเตอหนงตบไหล่ของฉวีหยางเบาๆ “เรามากําจัดฉินอวี่ด้วยกัน ใช้เวลากินกําไรทางสายแค่ปีเดียวเท่านั้นแล้วเราค่อยหนีไป”
ฉวีหยางเงยหน้ามองเป่ยเตอหยง “นายมีแผนการอะไรในใจแล้วหรือยัง?”
“เหอะๆ แน่นอน!” เป่ยเตอหยงหัวเราะ “นายอย่ารีบไปเลย ขอแค่คืนนี้คนที่อยู่ชั้นล่างของเราบุกเข้าไป ฉินอวี่ก็จะไม่สงสัยนายอีกต่อไป…ขอแค่นายให้ฉันได้ปูทาง มันก็จะไม่มีโอกาสได้เอาคืนแม้แต่ครั้งเดียว”
“พี่เป้ย ที่ฉันรับปากพี่เรื่องหลอกฉินอวี่ก็เพราะว่าฉันอยากจะตอบแทนบุญคุณของพี่หรอกนะ” ฉวีหยางถือเอกสารสองซองไว้ในมือพลางมองหน้าเปยเตอหยงด้วยใบหน้าที่จริงจัง “ฉันจะตามพี่เป็นครั้งสุดท้ายว่าเรื่องที่เว่ยจือตาย เป็นเหตุสุดวิสัยจริงเหรอ?”
เป่ยเตอหยงมองฉวีหยางพร้อมกับใบหน้าจริงจังพลางพยักหน้า “เป็นเหตุสุดวิสัย คําพูดเมื่อกี้ที่ฉันพูดกับนาย ไม่มีคําไหนที่ไม่จริงเลยสักคํา!”
“ได้ ฉันจะไม่ถามมันอีก” ฉวีหยางพยักหน้า “งั้นฉันขอตัวก่อนล่ะ”
“โอเค” เป่ยเตอหยงพยักหน้า
หลายนาทีผ่านไป
ฉวีหยางออกจากอพาร์ตเมนต์และนั่งสูบบุหรี่อยู่ในรถของตัวเอง ก้มหน้ามองความดีของเปยเตอหยง
เขาเห็นตัวเลขของเงินสดในเอกสารแล้วจึงอึ้งไปทันที
“กริ้ง!”
เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น ฉวีหยางตื่นขึ้นจากความคิดของตัวเอง จากนั้นก็ก้มหน้ารับโทรศัพท์ “ฮัลโหล!? ”
“ที่รัก เมื่อกี้ภรรยาของพี่เปียโทรมาน่ะ”
“เธอไปที่บ้านเหรอ?” ฉวีหยางขมวดคิ้ว
“ใช่”
“แล้วเธอพูดอะไรบ้าง?” ฉวีหยางถามด้วยความตื่นเต้น
“ก็คุยเรื่อยเปื่อยสักพักน่ะ” ภรรยาตอบกลับ เสียงเบา “เธอบอกฉันว่า พี่เป้ยก็ไม่อยากจะทํางานในฮ่งเจียงแล้ว น่าจะรออีกสักครึ่งปีแล้วค่อยไป เธอบอกให้ฉันมาขอร้องคุณว่าถ้าถึงตอนนั้นให้เราไปด้วยกัน อีกอย่างเธอยังบอกฉันอีกด้วยว่า..เธอจะทําเรื่องส่งลูกของเราไปเรียนเมืองนอกให้ด้วย”
ฉวีหยางได้ยินแบบนี้ จึงรู้สึกแปลกๆขึ้นทันที
ในสถานรับเลี้ยงเด็กกําพร้าย่านช่างจีต้าช่วงรอคนแง้มหน้าต่างให้ จากนั้นก็แอบย่อง เข้าไปในตึกหลัก ทางเดินมืดสลัว อีกอย่างก็มีก็เป็นพื้นที่ปูกระเบื้องด้วย ขยับนิดเดียวก็เสียงดังแล้ว ดังนั้นการเคลื่อนไหวของทั้งสามจึงเชื่องช้าสุดๆ
ต้าฮวงยื่นมือผลักประตูห้องตรงบันไดที่ปิดอยู่ออกก่อนจะพูดเสียงเบา “ให้ตายเถอะ ในสถานรับเลี้ยงเด็กกําพร้านี่ไม่มีการ์ดแม้แต่คนเดียวเลยเหรอ!”
“เป็นสถานรับเลี้ยงเถื่อน จะมีการ์ดได้ยังไงล่ะ? !” ลูกน้องที่อยู่ด้านหลังเอ่ยปาก “ถ้าเป็นฉัน คงไม่ต้องเสียเวลาขนาดนั้น บุกเข้าไปก็สิ้นเรื่องแล้ว ยังไงชื่อเหมาจ่อก็อยู่ข้างในนี้ มันหนีไม่ไหนไม่ได้อยู่แล้ว”
“อย่าๆ รอบคอบไว้หน่อยดีแล้ว!” ต้าช่วงโบกมือ
ในห้องหนึ่งบนดาดฟ้า
เด็กสาวคนหนึ่งคุกเข่าก้มหัวอยู่บนพื้นอย่างสั่นเทา
“เงยหน้าขึ้นมาหน่อยซิ ฉันขอดูหน้าหน่อย!” ชื่อเหมาจ่อตะโกนพลางจดกระดุมกางเกงขณะนั่งอยู่บนโซฟา
สาวน้อยลังเลสักพักก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้น
ชื่อเหมาจ่อมองหน้าอีกฝ่าย แล้วยื่นมือชี้ไปที่ตู้ ข้างโทรทัศน์พลางตะโกน “จะไปไหน เอาแซ่ออกมา!”
“อา…อา…ฉัน!” สาวน้อยกลัวจนน้ําตาไหลพรากทันที
LLLL
ชื่อเหมาจ่อเห็นอีกฝ่ายร้องไห้สะอึกสะอื้นก็โบกมือทันที “แกจะกลัวหาแม่แกเหรอ? ฉันบอกให้แกเอาแซ่มาดีฉัน!”
“หะ?” สาวน้อยนิ่งไป
“รีบไป ตรงนั้นมีชุดคลุมอยู่ไปเอามาสวมซะ” ชื่อเหมาจ่อลุกขึ้นนั่งด้วยความตื่นเต้น
“ตึงๆๆ!”
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น ชื่อเหมาคือนิ่งไป “ใคร?” “ฉันเอง เกิดเรื่องแล้ว” คนข้างนอกพูดด้วยน้ําเสียงรีบร้อน
“เดี๋ยวก่อน” ชื่อเหมาจ่อตอบกลับด้วยสีหน้ารำคาญ ก่อนจะลุกขึ้นและเดินไปเปิดประตู “มีอะไร? คนแก่พวกนั้นก่อเรื่องอะไรอีกล่ะ?”
“ไม่ใช่!” ชายร่างบึกบินคนหนึ่งส่ายหน้าก่อนจะขยับเข้ามากระซิบข้างหูของซื้อเหมาจ่อ
ชื่อเหมารือได้ยินจึงนิ่งไปและสีหน้าเปลี่ยนทันที “จริงเหรอ?”