พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 955
ล้างเลือดสมาคมวีรชนเหรอ? เจ้าให้เกียรติข้าเกินไปแล้วมั้ง แค่ปกป้องชีวิตข้าได้ก็พอแล้ว!
เหมียวอี้กำลังพึมพำในใจ พบว่าตาแก่คนนี้ชอบพูดจาแปลกๆ ชอบกล สงสัยจะเห็นตนเป็นแขกผู้มีเกียรติสูงสุดที่มารับกุญแจจริงๆ
อยากจะถามให้กระจ่าง แต่ตาแก่นี่ก็ไม่ยอมคายความจริงออกมา และตอนนี้เหมียวอี้ไม่มีอารมณ์มาพัวพันกับประเด็นนี้เหมือนกัน จึงถามว่า “ผู้อาวุโสมีวิธีช่วยเหรอ?”
กิ่งไม้และใบไม้ด้านบนกลับมาคลุมไว้เหมือนเดิมแล้ว ผู้อาวุโสมู่เซินจ้องเขาอย่างไม่ละสายตาครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “เผ่าปีศาจรออยู่ที่นี่เพราะมีภารกิจของตัวเอง ไม่อาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องรบราฆ่าฟันได้ ไม่อย่างนั้นอาศัยแค่กำลังของพวกเรา ก็ยากที่จะอยู่รอดมาได้ถึงวันนี้ และคงอยู่รอท่านไม่ไหวเช่นกัน แต่ข้าไปเชิญคนของปราสาทแมกไม้ได้ สมาคมวีรชนคงจะไม่กล้ากำเริบเสิบสานที่อาณาเขตของปราสาทแมกไม้”
เผ่าปีศาจทำงานรับใช้ปราสาทแมกไม้มาหลายปี รับหน้าที่ดูแลช่องทางรายได้หลักให้ปราสาทแมกไม้อย่างจงรักภักดีมาโดยตลอด ค่าตอบแทนที่ต้องการก็ไม่สูง ขอแค่ใช้ชีวิตอยู่ในป่าอันกว้างใหญ่ของปราสาทแมกไม้อย่างสงบสุข กอปรกับเผ่าปีศาจถนัดเรื่องดูแลรักษาป่า ไม่มีใครเหมาะสมที่จะปลูกกิ่งหยกเหลืองในป่านี้ได้เท่าพวกเขาอีกแล้ว จะไปหาแรงงานชั้นดีขนาดนี้ได้จากไหน ต่อให้ผู้อาวุโสมู่เซินไม่เอ่ยปาก ปราสาทแมกไม้ก็ไม่ให้คนของสมาคมวีรชนมากำเริบเสิบสานในอาณาเขตของตัวเองอยู่ดี
สำนักที่สามารถลงหลักปักฐานในสถานที่ไร้ระเบียบได้ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ถ้าแม้แต่ความน่าเกรงขามนี้ก็ยังไม่มี ในภายหลังก็คงเกิดปัญหาใหญ่แล้ว!
ไม่ว่าจะเป็นแขกผู้มีเกียรติหรือไม่ใช่แขกผู้มีเกียรติ นั่นก็เป็นเรื่องของเผ่าปีศาจ ปราสาทแมกไม้อยู่ร่วมกับเผ่าปีศาจที่ซื่อสัตย์อย่างปรองดองมาตลอด ไม่คิดจะเข้าไปก้าวก่ายประเพณีของเผ่าปีศาจ ดังนั้นปราสาทแมกไม้จึงถามเพียงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แม้แต่หน้าของเหมียวอี้ก็ขี้คร้านจะออกไปพบ จึงส่งกำลังพลออกมาทันที จับคนที่สะกดรอยตามเหมียวอี้ไปที่ประสาทแมกไม้โดยตรง
“กลับไปบอกตาแก่หวงฝู่ พวกเราไม่สนใจเรื่องของสมาคมวีรชน ตราบใดที่ไม่ก่อเรื่องในดาวแมกไม้ พวกเจ้าจะทำอย่างไรก็เรื่องของพวกเจ้า ปราสาทแมกไม้ของพวกเราไม่ใช่ลูกพลับอ่อนที่จะบีบกันง่ายๆ ไสหัวไป!”
เมื่อเผชิญการกดดันจากนักพรตที่มีพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ นักพรตบงกชทองขั้นสองที่ร้านค้าสมาคมวีรชนของดาวซิงหัวส่งมาก็ตกใจมาก หนีหัวซุกหัวซุนออกจากดาวแมกไม้
ผ่านไปไม่นาน ปีศาจโลหิตที่พาศีลแปดเหาะอยู่บนฟ้าก็ได้รับข่าวจากหวงฝู่จวินโหรว เตือนนางว่าอย่าไปก่อเรื่องที่ดาวแมกไม้ ปราสาทแมกไม้ออกหน้าแล้ว
“ไอ้เวรนี่สมควรตาย หนิวโหย่วเต๋อมีที่มายังไงกันแน่ ปราสาทดำเนินนภาช่วยเขาก็ว่าแย่แล้ว แม้แต่ปราสาทแมกไม้ก็ออกหน้าปกป้องเขาด้วย!” ศีลแปดปีศาจโลหิตที่จูงศีลแปดเหาะอยู่บนฟ้าแค้นจนกัดฟันกรอด
ศีลแปดชำเลืองมองอย่างโล่งอก แต่ภายนอกกลับกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดจึงดันทุรัง เหตุใดไม่รีบหาโอกาสกลับตัว?”
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะหลบอยู่ที่ดาวแมกไม้ไปทั้งชีวิต! ถึงแม้สมาคมวีรชนจะไม่สะดวกสู้กับปราสาทแมกไม้ แต่ในเมื่อลงมือแล้ว หากข้ายังไม่ได้เอาจริง ข้าก็ไม่ยอมรามือหรอก คอยดูเถอะ ข้าจะต้องหาทางกดดันให้เขาออกมาให้ได้!” ปีศาจโลหิตตอบอย่างเคียดแค้น
ทางด้านเผ่าปีศาจ เหมียวอี้ได้ข่าวจากผู้อาวุโสมู่เซินว่าตอนนี้ตัวเองปลอดภัยแล้ว เขายังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าอะไรเป็นอะไร ไม่เห็นว่าปราสาทแมกไม้เคลื่อนไหวอะไรเลย
แต่เหมียวอี้ก็เข้าใจเช่นกัน ปลอดภัยแค่ที่ดาวแมกไม้ ถ้าออกจากดาวแมกไม้เมื่อไรก็ไม่ปลอดภัยแน่นอน
ยังไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ แค่ปลอดภัยชั่วคราวก็พอแล้ว ทำตามเป้าหมายในการมาครั้งนี้สำเร็จก่อน รีบหาทางนำเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานมาไว้นมือให้เร็วที่สุด ยิ่งปล่อยให้เวลายาวนาน อุปสรรคก็ยิ่งมีมาก
พอกลับมาจากผู้อาวุโสมู่เซิน เข้าไปในโพรงใต้ต้นไม้ยักษ์ที่เป็นที่พักชั่วคราว เหมียวอี้ก็นำกระจกทองแดงบานนั้นออกมาร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นอีก
ตรงกลางระหว่างภูเขาสามลูก บนท้องฟ้าสูงหกพันจั้ง ยามตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกัน มองลงเบื้องล่าง เคล็ดวิชาจอมมารไรเทียมทานภาคดิน!’ ตัวอักษรยี่สิบเจ็ดตัวปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“ตรงกลางระหว่างภูเขาสามลูกข้าเจอแล้ว บนท้องฟ้าสูงหกพันจั้งก็เข้าใจง่าย แล้วสองประโยคหลังหมายความว่ายังไง ยามตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกัน มองลงเบื้องล่าง…” เหมียวอี้อุ้มกระจกทองแดงพลางครุ่นคิดพึมพำอยู่พักหนึ่ง
วันต่อมาตอนที่ฟ้ายังไม่สว่างดี เหมียวอี้ออกมาข้างนอกคนเดียว เหาะขวักไขว่อยู่ในป่าอย่างรวดเร็ว บนภูเขาหินที่เคยโดนคนตัดส่วนยอดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เขายืนอยู่บนนั้นพลางมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง จากนั้นก็เหาะขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว
ขณะที่เหาะขึ้นบนฟ้า ในใจเขาคำนวณระดับความสูงที่เหาะขึ้นมาโดยอิงจากความเร็วของตัวเอง ตอนที่เหาะขึ้นมาถึงหกพันจั้ง ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ลอยหยุดอยู่บนฟ้า
เมื่อมองไปรอบๆ ยังพอเห็นแสงจันทร์ที่อยู่ไกลๆ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็มีแสงสีขาวเหมือนพุงปลาโผล่ออกมา ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น พอมองดูที่พื้นดินอีกครั้ง เบื้องล่างก็มืดตึ๊ดตื๋อ มองไม่เห็นเบาะแสอะไร สิ่งนี้ทำให้เขาปวดกบาลมาก ประโยค ‘ยามตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกัน มองลงเบื้องล่าง’ ก็จะเห็นเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานโผล่ออกมาเหรอ?
ถึงแม้เขาจะเรียนหนังสือมาไม่เยอะ แต่ถึงอย่างไรเหล่าไป่ก็เคยบังคับให้เขาเรียนอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ความหมายที่อยู่บนอักษรยี่สิบเจ็ดตัวนั้น ดูเผินๆ แล้วชัดเจนเข้าใจง่ายมาก ไม่ถึงขั้นอ่านไม่ออก แต่เขาก็ยังสงสัยอีก ว่าทิศทางการตีความหมายของตัวเองผิดพลาดไปหรือปล่า ถ้ายืนอยู่ตรงนี้แล้วสามารถมองเห็นเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน เช่นนั้นคนที่เหาะเข้าเหาะออกดาวแมกไม้ก็ต้องมองเห็นไปตั้งนานแล้วน่ะสิ?
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนั้นก็รอให้ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ส่องแสงพร้อมกัน แล้วค่อยดูอีกทีก็แล้วกัน! เมื่อเจอกับวิธีการซ่อนสมบัติที่เป็นนามธรรมแบบนี้ เหมียวอี้รู้สึกอับจนหนทางมาก
ตอนที่แสงอาทิตย์สายแรกสาดส่องมาถึงเขา บนพื้นดินที่อยู่ไกลๆ ก็มีแสงสีทองลอยขึ้นมา แต่บนพื้นดินด้านล่างยังมืดตึ๊ดตื๋อเหมือนเดิม เหมียวอี้ที่ลอยอยู่บนฟ้ามองไปรอบๆ อย่างเชื่องช้าและระแวดระวัง มองที่พื้นดินเป็นระยะ ในหัวกำลังคิดฟุ้งซ่านอยู่ตลอด พิจารณาอย่างละเอียดว่าตัวเองตีความอักษรยี่สิบเจ็ดตัวนั้นผิดหรือเปล่า
เวลาล่วงเลยผ่านไปทีละนิด ตอนที่แผ่นดินครึ่งหนึ่งโดนอาบด้วยแสงสีทอง ส่วนแผ่นดินอีกครึ่งยังมืดสลัว ใต้เท้าเหมียวอี้ก็เกิดเรื่องปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง กลางคืนอันมืดมิดและกลางวันอันสว่างไสวกำลังก่อตัวเป็นเส้นแบ่งเขตเลือนรางอยู่ใต้เท้าของเขา เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานระหว่างแสงสว่างกับความมืด มีเสน่ห์ไปอีกแบบ
แต่เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อชื่นชมสิ่งนี้ แค่มองดูไม่กี่ครั้งเท่านั้น เขาลอยวนอยู่กลางอากาศ จ้องประเมินสิ่งที่อยู่ข้างหลัง ปากพึมพำประโยคนั้นซ้ำๆ “ยามตะวันและจันทราส่องแสงพร้อมกัน มองลงเบื้องล่าง แม่งเอ๊ย ให้มองอะไรกันแน่…”
มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ขณะที่ปากกำลังพึมพำด่า แววตาที่กำลังกวาดมองไปรอบๆ โดยไม่ได้ตั้งใจก็ชะงัก เขาค่อยๆ หันกลับมามองที่ไหล่ซ้าย มองไปทางพื้นดินอันกว้างใหญ่ที่กำลังโดนแสงสีทองครอบคลุมทีละนิด เขากลั้นลมหายใจ ตาสองข้างค่อยๆ เบิกโพลง ร่างกายหันตามไปอย่างช้าๆ ในแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
เรื่องมหัศจรรย์! เกิดเรื่องมหัศจรรย์ขึ้นแล้ว!
ปรากฏเรื่องมหัศจรรย์ขึ้นบนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ที่ตะวันและจันทราแย่งกันสาดแสงลงมา ไม่น่าเชื่อว่าบนพื้นดินที่สูงต่ำเป็นระลอกจะสลักรูปผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้ เป็นผู้หญิงหน้าคุ้นคนหนึ่งที่เขาเคยเห็นมาก่อน ผู้หญิงที่อยู่บนหินสลักในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งและแผนที่ซ่อนสมบัติ! สิ่งเดียวที่ต่างกันก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้จะได้เห็นภาพนางจากพื้นดินอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา การได้เห็นนางบนพื้นดินที่มีบริเวณกว้างใหญ่ขนาดนี้ทำให้เขาตกตะลึงมาก ครั้งนี้ได้เห็นนางในแบบที่ยิ่งใหญ่มาก!
ถึงแม้จะไม่ได้ดูชัดเจนมีชีวิตชีวาสมจริงเหมือนบนแผนที่ซ่อนสมบัติและแท่นหินในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง แต่ก็มีเค้าโครงที่ชัดเจนมาก ทั้งยังแจ่มชัด มีชีวิตชีวา สดใส บางทีอาจเป็นเพราะผลกระทบจากแสงอาทิตย์ ยังอยู่ในสภาพกางแขนสองข้างทะยานขึ้นฟ้าอย่างอ่อนช้อย เป็นภาพที่เหมือนระลอกคลื่นซัดสาดจริงๆ
นี่คือปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่มีทางมองเห็นหากไม่สังเกตให้ดี! ถ้าไม่เคยเห็นภาพสตรีทะยานฟ้ามาก่อน คงไม่มีภาพติดอยู่ในความทรงจำ จะต้องมองข้ามไปอย่างแน่นอน!
เมื่อภาพนี้ปรากฏขึ้น ก็หมายความว่าตัวอักษรบนกระจกทองแดงไม่ได้โกหก หมายความว่ามีสมบัติซ่อนอยู่ที่นี่จริงๆ ทว่าปัญหาใหญ่ก็คือ เมื่อดูจากรูปภาพนี้แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะเจอที่ซ่อนสมบัติ
เหมียวอี้ที่กำลังตกตะลึงรีบสงบสติอารมณ์ หลังจากใจเย็นลงแล้ว ก็รีบใช้สายตากวาดมองม้วนภาพขนาดมหึมาบนพื้นดิน
มาถึงขั้นนี้แล้ว คำตอบที่คนซ่อนสมบัติให้ไว้เหมือนจะชัดเจนมาก เพียงแต่ถ้าใช้ความคิดมากขึ้นหน่อย ก็จะพบว่าสตรีทะยานฟ้าที่อยู่บนพื้นได้เปิดเผยคำตอบของปริศนาแล้ว สตรีทะยานฟ้าที่กำลังกางแขนอย่างอ่อนช้อยกำลังช้อนถือแสงสีทองระยิบระยับบนไว้ฝ่ามือ ราวกับถือลูกแก้วอัญมณีสีทองอร่ามเอาไว้ลูกหนึ่ง
เหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์จ้องมอง มันย่อมไม่ใช่ลูกแก้วอัญมณีอะไรอยู่แล้ว เขาพบว่าแท้จริงแล้วลูกแก้วอัญมณีลูกนั้นก็คือทะเลสาบรูปวงรี เป็นปรากฏการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นยามอยู่ภายใต้การสะท้อนหักเหของแสงอาทิตย์ เพียงแต่เมื่อเชื่อมต่อภาพนั้นแล้ว ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเห็นสตรีทะยานฟ้ากำลังมอบสมบัติให้
ไม่ต้องพูดแล้ว ถ้าหากมีสมบัติอะไรจริงๆ ก็น่าจะอยู่ในทะเลสาบนั่นแล้วล่ะ เหมียวอี้รู้สึกเร่าร้อนในใจ ตื่นเต้นเร้าใจไม่หยุด ในที่สุดก็หาเจอแล้ว! ทุ่มเทความพยายามไปเต็มที่ ในที่สุดก็หาเจอแล้ว!
เหมียวอี้มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ถ้าเหาะไปที่นั่นโดยตรง เป้าหมายก็จะชัดเจนเกินไป เพื่อให้มั่นใจขึ้นหน่อย เขาตัดสินใจกลับไปบนพื้นดิน แล้วค้นหาสมบัติโดยอาศัยป่าภูเขาช่วยพรางตัว
เขาอดใจรอไม่ไหวแล้ว ไม่มีความลังเลใดๆ ทว่าตอนที่ร่างกำลังจะเหยียบลงพื้นแล้วมอง ‘รูปภาพ’ ด้านล่าง ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ พบว่าภาพสตรีทะยานฟ้าหายไปแล้ว ข้างล่างกลายเป็นภูเขาและแม่น้ำธรรมดาทั่วไป
มันเรื่องอะไรกัน? เขาเหาะขึ้นไปข้างบนอีกครั้ง ภาพสตรีทะยานฟ้าที่เห็นก่อนหน้านี้ปรากฏชัดเจนอีกครั้ง
กระทั่งเขาเหาะถึงระดับที่สูงเกิน ก็พบว่าภาพสตรีทะยานฟ้าเปลี่ยนเป็นเลือนรางอีกแล้ว ค่อยๆ กลายเป็นภูเขาและแม่น้ำธรรมดาทั่วไป
ภายใต้การทดลองซ้ำๆ เหมียวอี้อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นด้วยความอัศจรรย์ใจ ในที่สุดเขาก็คลี่คลายความคลุมเครือของภาพที่อยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่นี้ได้แล้ว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคนที่เหาะผ่านไปผ่านมาหลายปีจึงไม่สังเกตเห็น สาเหตุก็ไม่ได้ซับซ้อน ภาพนี้ปรากฏขึ้นโดยอาศัยผลจากแสงสว่างกับเงามืดรวมทั้งสภาพพื้นดินที่สูงต่ำไม่เสมอกัน ถ้าไม่มีการทำงานร่วมกันของสองสิ่งนี้ก็จะมองไม่เห็น ถ้าเบี่ยงออกจากมุมนี้ก็จะมองไม่เห็นเหมือนกัน ต้องอยู่ในมุมที่เหมาะสมภายใต้สถานการณ์สองอย่างนี้เท่านั้น ถึงจะสามารถมองเห็นได้ และมุมที่สามารถชมภาพได้ดีที่สุด ก็อยู่ในรัศมีซ้ายขวาบนล่างประมาณสามสิบจั้งจากตำแหน่งที่เขาลอยอยู่ตอนนี้
เมื่อมีเงื่อนไขสามข้อนี้ครบแล้ว ภาพทิวทัศน์ธรรมชาติ ภาพอันน่าตกตะลึงที่มีแม่น้ำเป็นเหมือนผ้าคาดเอวสตรีถึงจะปรากฏอยู่ตรงหน้า
การสร้างภาพแบบนี้ก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน มันไม่เหมือนภาพสลักทั่วไป ภาพที่วาดไว้บนกระดาษหรือแผ่นหยก บทจะถูกทำลายก็ถูกทำลายทิ้งไปเลย แต่ขนาดพื้นที่ของภาพนี้ใหญ่เกินไป ต่อให้สภาพพื้นที่เปลี่ยนแปลงไปจุดเดียว ก็ยังไม่ทำลายความรู้สึกเวลามองเห็นภาพรวม สามารถรักษาไว้ได้ยาวนาน
จะไม่ให้เหมียวอี้แอบทึ่งก็คงไม่ได้ พบว่าผู้ที่ปูเรื่องไว้ช่างเป็นคนที่ไม่ธรรมดาจริงๆ คนที่ได้แผนที่ซ่อนสมบัติไปนึกว่าสมบัติซ่อนอยู่ระหว่างภูเขาสามลูก แต่ความจริงสิ่งที่เรียกว่าที่ซ่อนสมบัติเป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง เป็นเพียงสถานที่ทดสอบผู้ที่จะมารับสมบัติใครจะไปจินตนาการออก ว่าแท้จริงแล้วสมบัติกลับซ่อนอยู่ในทะเลสาบที่ไกลออกไปหลายร้อยลี้ ต่อให้ผู้อาวุโสมู่เซินทรยศปณิธานของเจ้าของสมบัติเดิม แต่ก็นำสมบัติไปไม่ได้อยู่ดี ไม่แปลกใจเลย ขนาดปราสาทดำเนินนภาได้แผนที่ซ่อนสมบัติมาแล้วแต่ก็ยังกลับไปมือเปล่า ทำงานเสียแรงเปล่าไปหลายปี
…………………………