พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า - ตอนที่ 881
“ชมทิวทัศน์เหรอ!” พ่อครัวหัวเราะเบาๆ “งั้นก็ค่อยๆ ชมไปนะ”
ยืนคนเดียวรู้สึกเบื่อมาก เหมียวอี้หันกลับมาบอกว่า “พ่อครัว ไม่เจอกันนานแล้ว อย่าเพิ่งรีบไป เรามาคุยกันสักหน่อยสิ”
พ่อครัวโบกมือพลางเดินออกไป “ไม่รบกวนหรอก”
เหมียวอี้พูดไม่ออก เหลียวซ้ายแลขวาอยู่พักหนึ่ง ยืนอยู่ที่นี่สามวันมันทรมานไปนะ!
ผ่านไปครู่เดียว เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็มาแล้ว ทั้งสองยกน้ำชาเดินเข้ามา “นายท่าน!”
เสวี่ยเอ๋อร์ประคองถาด ส่วนเชียนเอ๋อร์ก็ใช่สองมือประคองถ้วยน้ำชายื่นให้ เหมียวอี้รับมาอย่างไม่ใส่ใจ พอดื่มไปอึกหนึ่ง ก็ถ่ายทอดเสียงบอกทั้งสามว่า “ห้ามเอ่ยเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้คนนอกรู้ เข้าใจมั้ย?”
ทั้งสองเข้าใจความหมายของเขา เขาไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าโดนฮูหยินไล่ออกมายืนสำนึกผิด กลัวจะเสียหน้า ทั้งสองแอบกลั้นขำพลางตอบพร้อมกัน “เข้าใจเจ้าค่ะ”
เมื่อดอกไม้พูดได้คู่นี้มาหา เหมียวอี้รู้สึกหายทรมานทันที ยิ้มพร้อมบอกว่า “เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ นึกย้อนไปถึงตอนที่เจอพวกเจ้าครั้งแรก ตอนนั้นพวกเจ้ายังกระดากอาย ผ่านไปชั่วพริบตาเดียว ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว พวกเราไม่ได้คุยเล่นกันมานานมากแล้วนะ เรามาคุยเล่นกันสักหน่อยมั้ย”
เขาอยากจะคุยกับทั้งสองเพื่อแก้เซ็ง แต่ใครจะคิดว่าเสวี่ยเอ๋อร์จะตอบว่า “นายท่าน! ถ้าท่านกระหายน้ำก็ดื่มเยอะๆ เถอะเจ้าค่ะ ก่อนไปฮูหยินกำชับไว้แล้ว บอกว่ายืนสำนึกผิดก็ต้องทำท่าให้เหมือนยืนสำนึกผิด นางอนุญาตให้พวกเรานำน้ำชามาให้แค่วันละครั้งเท่านั้น ไม่ให้อยู่คุยเล่นด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าฮูหยินกลับมา พวกเราคงจะแย่แน่เจ้าค่ะ”
เหมียวอี้หน้าบึ้งทันที “ไม่ดื่มแล้ว กินลมอิ่มแล้ว!”
ทั้งสองคำนับแล้วถอยหลังออกไปช้าๆ เรียกได้ว่าทำสีหน้าเห็นอกเห็นใจ และปวดใจด้วยเช่นกัน แต่จนใจที่ไร้ทางเลือก ถ้าไม่อยากให้นายท่านโชคร้ายไปมากกว่านี้ ก็ต้องให้ความร่วมมือกับฮูหยินแต่โดยดี
บนตึกริมหน้าผาที่อยู่ไกลๆ หยางชิ่งที่จัดการกิจธุระไปบ้างแล้วกำลังเอามือไขว้หลังเดินนำชิงเหมยและชิงจวี๋ออกมาตากลม ชื่นชมทิวทัศน์อันงดงามของที่นี่ นี่คือความเคยชินของหยางชิ่ง ชอบครุ่นคิดเรื่องราวขณะทอดสายตามองทิวเขา
ชิงจวี๋ที่อยู่ข้างๆ พลันโบกมือชี้ไป “นายท่าน คนที่ยืนอยู่นอกตำหนักเหมือนจะเป็นประมุขปราสาทนะ”
หยางชิ่งกับชิงเหมยมองไปทางตำหนักทันที ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง เห็นเหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ตรงนั้นคนเดียวจริงๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
ทั้งสามมองไปตามทิศทางที่เหมียวอี้มอง แต่ก็ไม่เห็นอะไร หลังจากทั้งสองรออยู่ครึ่งชั่วยาม แล้วไม่เห็นเหมียวอี้ออกไป ชิงเหมยก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “นายท่าน ประมุขปราสาทกำลังดูอะไรเจ้าคะ?”
หยางชิ่งส่ายหน้า “ไม่รู้สิ” ความคิดของเหมียวอี้ เขาไม่กล้าเดาซี้ซั้วจริงๆ
“นายท่าน หลายปีมานี้ประมุขปราสาทไปไหนมาหรือเจ้าคะ?” ชิงจวี๋ถาม
หยางชิ่งส่ายหน้าต่อไป แล้วร่างก็พลันหายไปจากที่เดิม เหาะออกไปเหยียบลงนอกตำหนักแล้ว จากนั้นก็ก้าวขึ้นไปกุมหมัดคารวะเหมียวอี้ “ประมุขปราสาท มาครุ่นคิดอะไรอยู่ตรงนี้ขอรับ?”
เหมียวอี้โบหมือ “กำลังคิดเรื่องอะไรบางอย่าง ให้ข้าอยู่คนเดียวเงียบๆ เถอะ”
เดิมทีคิดจะดึงตัวหยางชิ่งให้อยู่คุยกันก่อน แต่พอนึกถึงคำพูดของเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ หากให้อวิ๋นจือชิวรู้เรื่องนี้ แล้วหาเรื่องทะเลาะอีก เขาก็เสียหน้าแบบนี้ไม่ไหวแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงพูดบอกปัดให้หยางชิ่งออกไป
เมื่อได้ยินดังนั้น หยางชิ่งทำได้เพียงกุมหมัดคารวะ ไม่รบกวนแล้ว ถลันตัวเหาะกลับไปแล้ว
ผ่านไปไม่นาน เหยียนซิวกับหยางเจาชิงก็ปรากฏตัวอยู่บนกำปพงตำหนัก พอมองเห็นเหมียวอี้ยืนอยู่ข้างนอก ทั้งสองก็สบตากันแวบหนึ่ง
เหยียนซิวถอนหายใจ แล้วถ่ายทอดเสียงคุย “นายท่านมุ่งแสวงหาความก้าวหน้าอย่างห้าวหาญเฉียบคมมาตลอด ถึงได้มีความสำเร็จในวันนี้ได้ แต่ช่วยไม่ได้ที่มาเจอดาวข่มอย่างฮูหยิน เหล็กที่ผ่านการหลอมมาร้อยครั้งก็กลายเป็นของอ่อนนุ่มได้เหมือนกัน!”
เขานับว่าเป็นลูกน้องที่ติดตามเหมียวอี้มานานที่สุด ติดตามมาตั้งแต่ตอนเหมียวอี้มีตำแหน่งเล็กๆ ช่วงนี้ได้ติดต่อใกล้ชิดกับอวิ๋นจือชิวอยู่เสมอ ต่อให้ก่อนหน้านี้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์จะไม่ได้บอก แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่าทำไมเหมียวอี้มายืนอยู่ตรงนี้
“นายท่านไม่ใช่คนขี้ขลาด ขนาดนภาอู๋เลี่ยงยังกล้ามีเรื่องด้วย ยอมหมอบราบคาบแก้วต่อฮูหยินขนาดนี้ ท่านว่านายท่านทำเรื่องอะไรแล้วรู้สึกผิดมารึเปล่า?” หยางเจาชิงถ่ายทอดเสียง
“นี่คือสิ่งที่พวกเราควรพูดเหรอ? พวกเราได้แค่คิดไปในทางที่นี่เท่านั้น เพราะในใจของนายท่านมีฮูหยิน ถึงได้ยอมศิโรราบขนาดนี้…สรุปว่านี่เป็นเรื่องระหว่างสามีภรรยา พวกเราอย่าเดามั่วเลย ไปกันเถอะ เดี๋ยวนายท่านหันมาเห็นแล้วจะลำบากใจ พวกเราแกล้งทำเป็นไม่รู้ก็พอ” เหยียนซิวบอก ทั้งสองปรากฏตัวเงียบๆ แล้วก็ออกไปเงียบๆ
ยืนอยู่แบบนี้ค่อนข้างเบื่อเซ็ง เหมียวอี้นึกถึงวิธีการผ่านความทรมานสามวันนี้ออกแล้ว นำยาแก่นเซียนเม็ดหนึ่งตบเข้าปากอย่างแนบเนียน เริ่มหลับตาฝึกฝน ถ้าทำแบบนี้ เวลาสามวันก็จะผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก
วันต่อมา ท้องฟ้ามีเมฆครึ้มก่อตัว เหมียวอี้มองไปบนฟ้าอย่างกังวล มารดาเจ้าเถอะ ฝนคงไม่ตกใช่มั้ย ถ้าฝนตกแล้วยังยืนอยู่ตรงนี้ ตนก็จะดูไม่ดีแล้ว
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เดินมาอีก ยังคงยกน้ำชามาให้ เหมียวอี้กระดกดื่มไปไม่กี่ถ้วย แล้วแอบเตือนทั้งสอง บอกทั้งสองว่าต่อไปไม่ต้องนำน้ำชามาให้แล้ว เขากลัวว่าคนอื่นจะสงสัย
ทั้งสองเพิ่งจะออกไปได้ไม่นาน บัณฑิตกับพ่อครัวก็มาด้วยกัน ในมือถือถาดอาหารและเครื่องดื่มมาด้วย กลิ่นสัตว์ป่าย่างกรอบนอกนุ่มใน ทั้งยังมีผลไม้ป่าที่ล้างและหั่นเรียบร้อยแล้ว สีสันและรสชาติครบครัน ถือประคองอยู่ในมือ กินไปพลางเดินไปพลาง
ทั้งสองต่างคนต่างยืนข้างกายเหมียวอี้ เหมียวอี้เหลือบซ้ายเหลือบขวาแวบหนึ่ง แล้วก็หลับตาเหมือนเดิม
พ่อครัวเคี้ยวอาหารเสียงดัง พลางถามเหมือนแปลกใจว่า “เมื่อวานนายท่านยังชมทิวทัศน์ไม่พออีกเหรอ? วันนี้ออกมาชมทิวทัศน์อีกแล้ว?”
เหมียวอี้หลับตาพลางกล่าวเสียงเรียบ “ประมุขตำหนักผู้นี้กำลังคิดเรื่องบางอย่าง พวกเจ้าสองคนให้ข้าอยู่เงียบๆ ได้มั้ย?”
บัณฑิตตอบว่า “นายท่าน ดูท้องฟ้าสิ คาดว่าฝนคงใกล้จะตกแล้ว ฮูหยินไม่อยู่ ไม่มีใครมารบกวนท่านด้วย”
“ประมุขตำหนักผู้นี้กำลังคิดเรื่องสำคัญ อย่ามารวบกวนความคิดของข้า!” เหมียวอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
บัณฑิตกับพ่อครัวแทบจะพ่นของที่กินอยู่ในปากออกมา กลั้นขำไม่หยุด พวกเขาติดตามรับใช้เถ้าแก่เนี้ยมาไม่ใช่แค่ปีสองปี วิธีการทำโทษของเถ้าแก่เนี้ย พวกเขาคุ้นเคยดีที่สุดแล้ว เปลี่ยนเรื่องตลกจริงๆ ที่พวกเขามาเสแสร้งแกล้งไม่รู้ต่อหน้าเหมียวอี้
“อ้าว! ฝนตกแล้วจริงๆ!” พ่อครัวพลันยื่นมืออกไปรับน้ำฝน
พอเหมียวอี้ลืมตามอง ก็พบว่าท้องฟ้ามีละอองฝนโปรยลงมาจริงๆ เขามองซ้ายมองขวา พบว่าเจ้าสองคนที่น่ารำคาญเดินออกไปแล้ว
พ่อครัวที่เดินเข้ามาในตำหนักส่ายหน้าทันที “เถ้าแก่เนี้ยไม่เกรงใจสามีตัวเองเลย แต่งงานกับเถ้าแก่เนี้ยแล้ว เจ้าบ้าหนิวเอ้อร์นั่นได้ทรมานไปทั้งชีวิตแน่”
บัณฑิตส่ายหน้าพลางเดาะลิ้น “น่าเสียดายที่ช่างไม้กับช่างหินไปหามเกี้ยว ไม่รู้ว่ากลับมาแล้วจะมีโอกาสได้เห็นหรือเปล่า”
“เดี๋ยวกลับมาค่อยบอกพวกเขาสองคนก็สิ้นเรื่องแล้ว” พ่อครัวกล่าว
ฝนตกแรงขึ้นเรื่อยๆ นักพรตที่เฝ้าประตูตำหนักไม่รู้ว่านายท่านประมุขปราสาทยืนคิดเรื่องอะไรอยู่ตรงนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะตากฝนไม่ยอมไปไหน แต่ก็ช่วยไม่ได้ ถ้าไม่ถูกเรียกก็ไม่กล้าเข้าไปรบกวนง่ายๆ
ถึงแม้ฝนจะตกหนัก แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว สิ่งนี้ย่อมไม่ส่งผลกระทบอะไร ก็แค่ฝนที่ตกหนัก มีหรือที่จะเข้าใกล้ร่างกายของเขาได้
ท่ามกลางฝนตก อินทรีเทพตัวหนึ่งบินฝ่าเข้ามา เกาะอยู่บนชั้นตึกของกลุ่มสิ่งปลูกสร้างบนยอดหน้าผาไกลๆ
ชิงจวี๋นำแผ่นหยกออกมา แล้วส่งต่อให้หยางชิ่งอ่าน แต่ชิงเหมยที่อยู่ข้างๆ กลับไปยืนตรงหน้าต่างที่ขมุกขมัว แล้วหันกลับมาบอกว่า “นายท่าน ฝนตกหนักขนาดนี้ ประมุขปราสาทยังอยู่นอกตำหนักอยู่เลย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่”
หยางชิ่งได้ยินแล้วอึ้งทันที รีบหย่อนเท้าลงจากเตียงแล้วเดินไปตรงหน้าต่าง ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปยังยอดเขาสูงสุดที่มีหมู่ขุนเขาล้อมพิทักษ์ เห็นเหมียวอี้ยังยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนจริงๆ เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ดวงตาตาฉายแววครุ่นคิดอะไรบางอย่าง และไม่นานก็คลายคิ้วที่ขมวดมุ่น อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าหัวเราะเบาๆ แล้วสั่งว่า “ปิดหน้าต่างไว้ เดี๋ยวประมุขปราสาทมาเห็นเข้าจะเก้อเขิน”
ชิงเหมยได้ยินแล้วปิดหน้าต่าง จากนั้นก็หันมาถามว่า “บ่าวไม่เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งของนายท่านเจ้าค่ะ”
หยางชิ่งถือแผ่นหยกเดินอ้อมมานั่งหลังโต๊ะยาว แล้วพูดกลั้วหัวเราะ “ฮูหยินไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ ประมุขปราสาทเพิ่งจะแต่งงานได้ไม่นานก็หนีไปข้างนอกแล้ว ไปรอบนี้ใช้เวลาหลายร้อยปี ถ้าฮูหยินไม่จัดการประมุขปราสาทสักหน่อย ก็จะดูเป็นเรื่องแปลกด้วยซ้ำ เรื่องนี้พวกเจ้าแค่รู้ไว้ก็พอ ถ้าข่าวแพร่ออกไปจะทำลายศักดิ์ศรีหน้าตาของประมุขปราสาท ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่ประมุขปราสาทที่จะอับอายจนโมโห ฮูหยินเองก็ไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่ พวกเราดูเอาสนุกก็พอ ไม่ต้องปล่อยข่าวซี้ซั้ว”
ชิงจวี๋ถามอย่างตกตะลึง “นายท่านหมายความว่า ประมุขปราสาทกำลังโดนฮูหยินสั่งให้ยืนสำนึกผิดเหรอ?”
“เจ้าคิดว่าประมุขปราสาทกำลังชมทิวทัศน์จริงเหรอ? มีใครเขายืนอยู่ที่เดิมทั้งวันโดยไม่เบื่อบ้าง? มิหนำซ้ำ ฝนตกหนักขนาดนี้จะมองเห็นอะไรชัด?” หยางชิ่งพูดหยอกล้อ
ชิงจวี๋ถามอีกว่า “ฮูหยินทำแบบนี้เกินไปหน่อยรึเปล่า ถึงอย่างไรประมุขปราสาทก็เป็นเจ้านายของปราสาทนี้ จะทำลายความสัมพันธ์ของสามีภรรยาหรือเปล่าเจ้าคะ?”
หยางชิ่งส่ายหน้า “จะทำลายความสัมพันธ์อะไรได้? ประมุขปราสาทกลับมาแล้ว ถ้าฮูหยินทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นก็แสดงว่าทั้งสองมีปัญหากันแล้วจริงๆ คนหนึ่งอยากทำโทษ อีกคนยอมโดนทำโทษ ก็แสดงว่าทั้งสองไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมาก ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยอย่างประมุขปราสาท มีหรือที่จะยอมให้คนมาเห็นภาพนี้”
ชิงเหมยที่ไม่ค่อยหัวเราะ ตอนนี้หัวเราะออกมาแล้ว “นายท่านกำลังบอกว่า นึกไม่ถึงว่าคนนิสัยชอบก่อเรื่องอย่างประมุขปราสาทจะเจอกับดาวข่มเข้าแล้ว”
หยางชิ่งถอนหายใจ “นี่เป็นเรื่องดีนะ! ประมุขปราสาทชอบก่อเรื่อง ส่วนฮูหยินก็เป็นคนแก้ปัญหาเก่ง ฮูหยินควบคุมประมุขปราสาทได้ ประมุขปราสาทจะได้ก่อเรื่องน้อยๆ ลงหน่อย เป็นผลดีกับทุกคน ดีกว่าให้ประมุขปราสาทก่อเรื่องจนทุกคนหวาดระแวงเช้ายันค่ำหรอกน่า ยิ่งไปกว่านั้น ฮูหยินก็ดูแลข้าดีมาก นางสามารถให้เคล็ดวิชาฝึกตนที่ดีขนาดนั้นกับเวยเวยได้ ข้าหยางชิ่งก็นับว่าติดหนี้น้ำใจฮูหยินอย่างใหญ่หลวงแล้ว”
ชิงเหมย ชิงจวี๋ก้มหน้าฟังเงียบๆ ที่ฮูหยินให้เคล็ดวิชาฝึกตนกับฉินเวยเวย ชัดเจนว่าเห็นแก่หน้าหยางชิ่ง…
จู่ๆ พายุฝนก็ซาลง แต่พอตกกลางคืน ฝนพรำก็กระหน่ำแรงอีกครั้ง เช้าวันต่อมาฝนถึงหยุด พอตอนเย็นฝนก็เดี๋ยวตกเดี๋ยวหยุด เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา
เหมียวอี้คิดในใจว่าดีแล้ว ทางที่ดีให้ฝนตกจนกว่าอวิ๋นจือชิวจะกลับมา ให้นางได้รู้ว่าตัวเองทำเกินไปขนาดไหน
ใครจะไปคิดว่าฟ้าฝนจะไม่เป็นใจ เหมือนเป็นผลกรรมตามสนองใครบางคนที่ทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ ทนมาจนถึงวันสุดท้ายแล้ว แต่ฝนเจ้ากรรมดันหยุดเสียได้ บนฟ้าไร้เมฆครึ้ม ฟ้าสดใสราวกับโดนชะล้าง พระอาทิตยขึ้นแล้ว เหมียวอี้สูดหายใจลึกหนึ่งที ทำสีหน้าเคียดแค้น!
พอใกล้จะถึงตอนเที่ยง เกี้ยวหลังหนึ่งก็เหาะลงมาจากฟ้า เหมียวอี้หันกลับไปมอง พบว่านอกจากช่างไม้กับช่างหินที่หามเกี้ยว ยังมีอีกคนหนึ่งตามมาด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นฉินเวยเวย
เหมียวอี้ตกตะลึงอยู่บ้าง ทั้งยังประหลาดใจนิดหน่อย เวลาสั้นๆ เพียงสามร้อยปี ไม่น่าเชื่อว่าฉินเวยเวยจะบรรลุระดับบงกชแดงแล้ว?
ผ่านไปประเดี๋ยวเดียว ฉินเวยเวยที่สวมชุดกระโปรงสีขาวราวหิมะก็เดินออกมาจากตำหนัก พอเห็นเหมียวอี้ที่หันตัวมายิ้มให้ ดวงตานางก็ฉายแววสับสน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พอได้เห็นเขา ก็มักจะนึกถึงภาพที่เขากระอักเลือดใส่หน้านาง ภาพตอนที่อุ้มนางขี่อาชามังกรหนีเอาชีวิตรอดทุกที
นางใจลอยเพียงครู่เดียว จากนั้นก็รีบเดินเข้ามาคำนับ “ข้าน้อยคำนับประมุขปราสาท”
ทั้งสองคุยกันได้สองสามคำ เชียนเอ๋อร์ก็เหาะออกจากตำหนักมาแล้ว “นายท่าน ฮูหยินเชิญเข้าพบเจ้าค่ะ!”
เหมียวอี้บอกลาฉินเวยเวยแล้วเดินสาวเท้าออกไป ทิ้งฉินเวยเวยที่สวมชุดกระโปรงสีขาวดุจหิมะไว้คนเดียว นางมองตามหลังเขาไป มองจนกระทั่งหายลับ ตัวเองถึงได้หันหน้ากลับมาช้าๆ แล้วออกไปจากตรงนั้น
พอกลับมาถึงตำหนักหลัง แล้วไม่เห็นเงาของอวิ๋นจือชิว เหมียวอี้ก็ทำหน้าบึ้งทันที “ฮูหยินล่ะ?”
“ฮูหยินเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล ไปปอาบน้ำแล้วเจ้าค่ะ” เชียนเอ๋อร์ตอบ
เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพล มุ่งตรงไปที่ห้องอาบน้ำทันที แต่ปรากฏว่าเสวี่ยเอ๋อร์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูขวางไว้ “นายท่านเข้าไปไม่ได้เจ้าค่ะ ตอนฮูหยินอาบน้ำจะไม่ให้ใครรบกวน”
“ตลกแล้ว! ข้าเป็นผู้ชายของนาง เป็นสามีที่เคยคำนับฟ้าดินและเข้าห้องหอกับนางแล้ว ตอนนางอาบน้ำก็ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็น ทั้งโลกนี้ไม่มีใครมีสิทธิ์เข้าไป ยกเว้นข้า หลีกไป!” เหมียวอี้กล่าวอย่างหงุดหงิด พลางผลักเสวี่ยเอ๋อร์ให้หลีกทาง แล้วบุกเข้าไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง
…………………………