Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 9
เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ทันทีที่ผู้ท่องอากาศก้าวเข้าสู่ขั้นผู้ปกครองแล้ว ก็จะมีพลังรบเทียบเท่ากับผู้ปกครองระดับยอดของระบบอื่นทันที ลำพังแค่การควบคุมอากาศก็สามารถกดดันผู้ปกครองที่อ่อนแอบางคนได้แล้ว!
บัดนี้เรือรบโบราณลำนั้นอยู่ใต้ค่ายกลเสาหยวนเฉิน เนื่องจากอยู่ใกล้ใจกลาง เรือรบบินไป อานุภาพการโจมตีก็ถูกกดดันจนเหลือเพียงสองสามส่วนเท่านั้น หากกล่าวว่าเดิมทีอานุภาพของมันเหนือกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงลิบลับ แต่หลังจากเหลือเพียงสองสามส่วนแล้ว สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิใช่ว่ามิอาจต้านทานได้แล้ว
บริเวณการเข่นฆ่าและการกดดันอากาศ แม้เรือรบจะยังสามารถบินไปได้ด้วยความเร็วสูง แต่กลับช้ากว่าที่แล้วมาเป็นอย่างยิ่ง
“อะไรกัน บินได้ช้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ คลื่นโลหิตนี่มีอานุภาพยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ” บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาแต่ละคนต่างก็ตกใจใหญ่ พวกเขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง
พวกเขาผิดไปแล้ว
เมื่อมองอย่างผิวเผิน ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ซึ่งโดดเด่นสะดุดตาที่สุด อย่างมากก็ทำให้ผู้ปกครองที่อ่อนแอบางคนรู้สึกว่ายุ่งยากอยู่บ้างเท่านั้น แต่มันปะปนอยู่กับการกดดันของอากาศอย่างยากที่จะตรวจสอบได้และมีอานุภาพเป็นหลายเท่าของบริเวณการเข่นฆ่า แน่นอนว่าหาก ‘วิถีเข่นฆ่า’ และ ‘วิถีระลอกคลื่น’ ล้วนสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นผู้ปกครองได้ หลังจากระดับขั้นของวิถีทั้งสองสายข้ามขั้นไปเป็นอย่างมากแล้ว อานุภาพ ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ก็จะมีการบรรลุจากแก่นเลยทีเดียว
“บินช้าถึงเพียงนี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ก็ยังไม่ต่อสู้ประชิดตัวอีก ขอเพียงสำแดงวิถีหอกออกไปก็คงจะสามารถหยุดยั้งเรือทิพย์ซวีมู่เอาไว้ได้อย่างง่ายดาย”
“บางทีวิถีที่เขาบรรลุ อาจจะแค่แข็งแกร่งทางด้านบริเวณเท่านั้น ส่วนการห้ำหั่นตัวต่อตัวอ่อนแอกว่าอยู่บ้าง”
“หยุดเรือทิพย์! แล้วทำการโจมตี สังหารร่างแยกร่างนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงเสีย”
เจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่อาจเสียเวลาได้ เนื่องจากจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกำลังตั้งเสาหยวนเฉินต้นใหม่ พวกเขาต้องจัดการตงป๋อเสวี่ยอิงโดยเร็วที่สุด หากไม่ทำให้เขาพ่ายแพ้ พวกเขาก็มิอาจไปถึงใจกลางเสาหยวนเฉินแล้วทำลายค่ายกลแห่งนี้ได้
“ฟิ้ว…”
หลังจากเรือรบโบราณหยุดลง รากจำนวนนับไม่ถ้วนที่พันเลื้อยอยู่เหนือผิวของมันอย่างแน่นขนัดก็พลันลอยออกไป แล้วล้อมโจมตีไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงจากทุกทิศทุกทาง รากไม้แต่ละอันล้วนเต็มไปด้วยพละกำลังแห่งชีวิต ราวกับแส้จำนวนนับไม่ถ้วนฟาดลงไปพร้อมกัน ความแข็งแกร่งของอานุภาพทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากค้าง เคราะห์ดีที่มีค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าขัดขวางอยู่ ทำให้อานุภาพของมันลดลงเป็นอันมาก บวกกับการกดดันของอากาศและการโจมตีของบริเวณการเข่นฆ่า รากเหล่านี้ก็อ่อนกำลังลงมากทีเดียว ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ผู้ปกครองทั่วไปก็ยังคงยากที่จะป้องกันการล้อมโจมตีที่มากมายถึงเพียงนี้ได้ เกรงว่าคงจะต้องพ่ายแพ้ไปในพริบตา
นี่ก็คือสาเหตุที่ประมุขตำหนักหมื่นเทพและประมุขเกาะกาลมิติสองคนต้องใช้ทั้งหมดสี่ร่างแยกร่วมมือกันจึงสามารถป้องกันเอาไว้ได้
……
“ป้องกันเอาไว้ได้หรือ”
“บริเวณของตงป๋อเสวี่ยอิงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ การต่อสู้ประชิดตัวอาจจะร้ายกาจมากเหมือนกันก็เป็นได้”
“ต้องสกัดกั้นเอาไว้ให้ได้ มีบริเวณกดดันการโจมตีของลัทธิจอมมารดา ต่อให้การต่อสู้ประชิดตัวค่อนข้างอ่อนแออยู่บ้าง ก็มีหวังที่จะสกัดกั้นเอาไว้ได้ เพราะถึงอย่างไรเขาก็มีสองร่างแยก ทั้งยังมีเจ้าแม่กานเหออยู่ ก็สามารถช่วยเหลือได้”
ประมุขหยวนชู ผางอีและบรรพชนหุบเหวลึกต่างก็มองดูด้วยความตื่นเต้น
พวกเขาต่างตั้งตารอคอยที่จะคว้าชัยชนะ
แต่ก็กลัว กลัวว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะเพียงแค่ร้ายกาจทางด้านบริเวณ ส่วนการต่อสู้ประชิดตัวอ่อนแออย่างยิ่ง!
……
“เฮอะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งสูงกว่าร้อยล้านลี้ยืนอยู่ตรงนั้น ผิวกายกลับเปล่งรัศมีสีดำสายแล้วสายเล่าออกมา รัศมีสีดำแต่ละสายล้วนมุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงตามระลอกคลื่นอันแปลกพิสดาร พุ่งตรงไปทางรากแต่ละอัน
เกราะพล!
แม้จะไม่ใช้ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ใดๆ อานุภาพของเกราะพลในตอนนี้ก็น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่งแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมเกราะพลยังสำแดงปรัชญาคลื่นลมบทที่หนึ่งออกมาด้วย เมื่อเทียบกันแล้วบทที่หนึ่งนั้นเรียบง่ายที่สุด ระหว่างถูกล้อมโจมตี ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถแบ่งจิตใจไปควบคุมเกราะพลนับพันให้สำแดงออกมาได้ อย่างบทที่สามหรือบทที่สี่นั้นเขายังไม่สามารถควบคุมเกราะพลนับพันให้สำแดงออกไปพร้อมกันได้
“ตงป๋อเสวี่ยอิง ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว” เจ้าแม่กานเหอก็บินออกจากใจกลางเสาหยวนเฉิน แล้วบินตรงมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างรวดเร็ว
“ปังๆๆ!!!”
ยามนี้ รัศมีสีดำสายแล้วสายเล่าก็ปะทะลงบนรากแต่ละอัน รัศมีสีดำล้วนแฝงไว้ด้วยระลอกคลื่นอันแปลกพิสดาร รากถูกปะทะจนสั่นสะเทือนก่อนจะอ่อนยวบลงไป
เมื่อมองไปแวบหนึ่ง รากซึ่งเดิมทีแน่นขนัดก็ถูกรัศมีจำนวนมากโจมตีจนอ่อนยวบลงไปจนสิ้นในพริบตา ไร้ซึ่งอานุภาพอีกต่อไป
“ทำลายกระบวนท่านี้ลงไปเช่นนี้เองน่ะหรือ” บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาล้วนไม่อยากจะเชื่อ
บริเวณร้ายกาจก็แล้วไปเถิด!
เมื่อเผชิญการล้อมโจมตีก็ยังสามารถแบ่งรัศมีออกมานับพันสายมาสกัดกั้นได้อย่างนั้นหรือ
ข้อสำคัญก็คือ จนถึงตอนนี้ยังไม่เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงสำแดงหอกเลย!
“ล้มโจมตีมิได้ อานุภาพของรัศมีสีดำของเขายิ่งใหญ่นัก” บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาไม่รู้เลยว่า นั่นคือเกราะพลซึ่งมีพลังการโจมตีและการทำลายล้างสูงที่สุดของผู้ท่องอากาศ
“เช่นนั้นก็กดดันซึ่งหน้า”
“โจมตี”
บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาต่างก็ร้อนใจขึ้นมา พวกเขารู้สึกว่าไม่ดีเสียแล้ว
……
ขณะยามนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าแม่กานเหอซึ่งกำลังเร่งตรงเข้ามาหมายจะช่วยเหลือตงป๋อเสวี่ยอิง หรือว่าอาจารย์อาห้าวิหคดำผู้นั้น หรือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตซึ่งกำลังวางค่ายกลอยู่ รวมทั้งผู้ปกครองคนอื่นๆ ที่คอยดูอยู่ด้านข้าง เช่นประมุขหยวนชู ผู้ครองชิง ประมุขเกาะกาลมิติและประมุขตำหนักหมื่นเทพต่างก็มองดูด้วยความตื่นเต้น พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าชัยชนะอยู่ตรงหน้าแล้ว! พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงเหนือกว่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้มากมายนัก
พวกเขารู้สึกยินดีจนแทบคลั่ง!
แม้จะเหนือความคาดหมาย แต่กลับเป็นสิ่งที่พวกเขาปรารถนา! อย่างแรกก็คือบริเวณก็มีอานุภาพที่น่าหวาดหวั่นถึงเพียงนั้นแล้ว บัดนี้เมื่อเผชิญกับการล้อมโจมตีก็สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดาย พลังเช่นนี้อาจจะ อาจจะสามารถต้านรับได้อย่างสิ้นเชิงก็เป็นได้
“ฟิ้ว…”
รากที่ยาวที่สุดสองรากตรงหัวเรือรบโบราณลำนั้นพันพาดข้ามขอบฟ้าแหวกอากาศมา บริเวณที่ผ่านไปล้วนมีเงารางดำทะมึนอันแปลกพิสดารสายหนึ่งปรากฏขึ้น มันแหวกอุปสรรคของค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าออกไป และปะทะเข้าใส่การกดดันของอากาศและบริเวณการเข่นฆ่าอย่างเต็มที่ บุกตรงเข้ามาสังหารตงป๋อเสวี่ยอิง
“มาแล้ว” พวกผู้ครองชิงต่างก็ตื่นเต้น
“ต่อให้เป็นข้า อาศัย ‘วิถีแห่งขุนเขา’ ทุ่มเทอย่างสุดกำลังก็แค่ต้านรับได้อย่างพอถูไถเท่านั้น” ผู้ครองชิงพึมพำ เขารู้ดีมากว่าการโจมตีนี้น่าหวาดหวั่นเพียงใด
“นี่คือวิธีการแบบกดดัน สามารถป้องกันได้หรือ”
แต่ละคนต่างก็มองดูด้วยความตื่นเต้น
ขอเพียงสามารถต้านรับกระบวนท่านี้ได้อีก แม้เรือรบลำนั้นจะยังมีลูกไม้อื่นๆ แต่กระบวนท่าก่อนหน้านี้คือการล้อมโจมตีที่รับมือได้ยากยิ่ง และกระบวนท่านี้ก็มีอานุภาพมากที่สุด หากสามารถต้านรับสองกระบวนท่านี้ได้ กระบวนท่าอื่นก็มีภัยคุกคามต่ำมากแล้ว
“ออกหอกแล้ว!”
“ในที่สุดก็สำแดงวิถีหอกออกมาแล้ว!”
บรรดาผู้ปกครองต่างก็มองดูตาไม่กะพริบ
“เป็นวิถีหอกที่พิสดารพันลึกนัก เห็นที คงจะมิใช่วิถีที่สมบูรณ์แบบนิรันดร์กาล! รู้สึกว่าเป็นการผสานกันของการเข่นฆ่าและระลอกคลื่น ทว่าหากพูดถึงระดับความพิสดารแล้วกลับสูงเสียยิ่งกว่าสูง” สายตาของพวกจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตร้อนแรงนัก ส่วนใหญ่ล้วนตัดสินแล้ว
อันที่จริง
ก็เหมือนกับผู้ครองชิงที่ใช้พลังต่อสู้กับผู้ปกครองได้ตั้งแต่อยู่ในขั้นผู้เคารพ แม้ ‘วิถีระลอกคลื่น’ และ‘วิถีเข่นฆ่า’ จะยังไม่สำเร็จเป็นนิรันดร์กาล แต่ก็บรรลุถึงขีดจำกัดแล้ว เมื่อผสานเข้าด้วยกัน หากพูดถึงแค่ความพิสดารของปรัชญาคลื่นลมที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นโดยอาศัยคัมภีร์จำนวนมากของบรรพคีรีมารและการรับรู้ของตนเองเพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอให้สู้กับผู้ปกครองได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าบัดนี้เขาคิดค้นไปจนถึงบทที่สี่แล้วอีกด้วย
และในยามนี้สิ่งที่สำแดงออกมาก็คือบทที่สี่ซึ่งเพิ่งจะคิดค้นขึ้นใหม่นั่นเอง
“ปรัชญาคลื่นลมบทที่สี่ จุดขั้ว!”
หอกยาววาดผ่านไปก่อให้เกิดเป็นร่องรอยอันแปลกพิสดาร ระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนรายล้อมหอกยาวแล้วรวมตัวกันที่ปลายหอกอย่างไม่ขาดสาย ปลายหอกราวกับมี ‘จุด’ ที่มองไม่เห็นอยู่จุดหนึ่ง ระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันที่จุดนี้ในท้ายที่สุด
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตั้งชื่อให้หอกนี้ว่า ‘จุดขั้ว’
“ปัง!!!”
ปลายหอกแทงออกไปบนรากที่แหวกทุกสิ่งจนฉีกขาดนั้น
รากโบราณอันแข็งแกร่งทนทานพลันสั่นสะเทือน พละกำลังภายในถูกระลอกคลื่นอันแปลกประหลาดกระเทือนเสียจนสลายตัวไปหมด รากก็อ่อนยวบลงไป
ภาพฉากนี้ทำให้บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดารู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมา
พูดถึงพละกำลังเพียงอย่างเดียว…
เกรงว่าบรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาที่เชี่ยวชาญทางด้านพละกำลังส่วนใหญ่ก็คงจะสู้ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้! หากพูดถึงความพิสดารแล้วก็ยิ่งสู้ไม่ได้เข้าไปใหญ่
“แพ้แล้ว”
“พลังของเขาแข็งแกร่งเกินไปแล้ว”
“สกัดเขาเอาไว้ไม่ได้”
บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาต่างก็เข้าใจในข้อนี้ดี แม้เรือทิพย์ซวีมู่จะยังมีลูกไม้อื่นอีก แต่พวกเขาก็เข้าใจดีว่ามิอาจสกัดกั้นตงป๋อเสวี่ยอิงได้ สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกขมขื่นที่สุดก็คือ…ตั้งแต่ต้นจนจบ ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้เพียงแค่ร่างเดียวในการต่อสู้เท่านั้น ร่างแยกอีกร่างหนึ่งของเขามิได้ปรากฏกายขึ้นมาเลย!
“เหมือนกับผู้ครองชิง ประมุขหยวนชูและผู้ปกครองนรกโลกันตร์สามคนนั่้นเลย ร่างแยกเพียงแค่ร่างเดียวก็สามารถพิทักษ์เอาไว้ได้แล้ว” บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาเหล่านี้ต่างรู้สึกหนาวเหน็บใจ “เขายังมีร่างแยกอีกร่างหนึ่ง ยังสามารถพิทักษ์เสาหยวนเฉินอีกต้นหนึ่งต่อไปได้!”
******
บรรดาเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาต่างก็รู้สึกหนาวเหน็บใจและไม่ยินยอม ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญกลับยินดีจนแทบคลั่งขึ้นมาจริงๆ ความยินดีมาเยือนอย่างกะทันหันเกินไป พวกเขาออกจะปรับตัวไม่ทันอยู่บ้าง
“ร่างแยกเพียงร่างเดียวก็สามารถต้านรับได้แล้วหรือ”
“ต้านทานเอาไว้ได้ซึ่งหน้าอย่างนั้นหรือ”
ทุกคนล้วนรู้สึกงงงันไปหมดรวมทั้งจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตด้วย
ประมุขหยวนชูกลับพูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า “พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงลึกล้ำเกินหยั่งเสียจริง พูดถึงเรื่องพลังอาจจะเหนือกว่าข้าเสียด้วยซ้ำไป! ผู้ครองชิง นรกโลกันตร์ พวกเจ้าสองคนรู้สึกอย่างไรบ้างเล่า”
“คงจะเทียบเท่ากับพวกข้าทั้งสองได้” ผู้ครองชิงเอ่ย
“ใช่แล้ว การต่อสู้ซึ่งหน้าของเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเสียอีก” ผู้ปกครองนรกโลกันตร์กล่าว “ความเร้นลับของกฎเกณฑ์บกพร่องไปบ้าง ทว่าพลังโดยรวมก็อยู่ในระดับเดียวกับพวกเราโดยแท้”
เมื่อผ่านวันคืนของสงคราม
ทุกคนล้วนรู้จักพลังของกันและกันเป็นอย่างดี
ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ข้อได้เปรียบของเขาชัดเจนเป็นอันมาก! โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมีวิหคดำคอยช่วยเหลือก็ยิ่งแกร่งกล้าขึ้นไปอีก
รองลงมาก็คือผู้ปกครองนรกโลกันตร์และผู้ครองชิงแล้ว
พวกประมุขหยวนชูและผางอีนั้นก็ลดหลั่นลงมาอีก ทว่าประมุขหยวนชูมีชีวิตอยู่มานาน กลเม็ดก็แพรวพราวอย่างยิ่ง บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงแรกเผยพลังออกมา ก็เทียบเคียงได้กับระดับผู้ปกครองนรกโลกันตร์และผู้ครองชิงแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องร้ายกาจกว่าข้ามากแน่ ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้ร่างแยกเพียงร่างเดียวก็สามารถพิทักษ์เสาหยวนเฉินเอาไว้ได้แล้ว เขายังมีร่างแยกอีกร่างหนึ่ง! ยังสามารถพิทักษ์เสาได้อีกต้น ฮ่าฮ่าฮ่า สามารถติดตั้งเสาหยวนเฉินทั้งสิบสองต้นได้สำเร็จแล้ว” ประมุขตำหนักหมื่นเทพเบิกบานใจเป็นอย่างมาก
“อื้ม อีกประเดี๋ยวข้าก็จะตั้งเสาหยวนเฉินต้นนี้ได้สำเร็จแล้วล่ะ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็ตื่นเต้นขึ้นมา
“ในที่สุดก็จะติดตั้งเสาหยวนเฉินทั้งสิบสองสำเร็จแล้ว”
……
เรือรบของลัทธิจอมมารดาพยายามกระเสือกกระสนโจมตีอีกสิบกว่าครั้ง แต่ท้ายที่สุดก็ล้มเลิกแล้วเริ่มล่าถอยไป
ส่วนทางฝ่ายผู้บำเพ็ญแต่ละคนกลับเบิกบานใจเป็นอย่างมาก อีกไม่นานจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็จะตั้งเสาหยวนเฉินได้สำเร็จ
“สวบ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์แดงเคลื่อนที่ในอากาศเร่งตรงไปยังอากาศบริเวณที่ท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกำลังวางค่ายกลอยู่อย่างรวดเร็ว
“ท่านอาจารย์” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์แดงมาถึงที่นี่
“เสวี่ยอิง” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเพิ่งจะติดตั้งสำเร็จ เมื่อมองเห็นศิษย์ขอองตนก็เบิกบานใจนัก
“เสาหยวนเฉินต้นนี้มอบให้ข้าดูแลเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์แดงเอ่ย
“ดี” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตหัวเราะฮ่าฮ่า “ข้าก็ทนไม่ไหวแล้ว จึงตั้งเสาหยวนเฉินต้นสุดท้ายให้เสร็จสิ้นไปเลยในรวดเดียว! ข้ารอคอยมานานเกินไปแล้ว คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าวันนี้จะสามารถตั้งเสาหยวนเฉินทั้งสิบสองต้นได้สำเร็จ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์แดงร่อนลงบนยอดเสาหยวนเฉินต้นนั้น
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองดูศิษย์ของตน จากนั้นก็มองไปยังอากาศโดยรอบ สายตาของเขามองออกไปไกลอย่างไร้ที่สิ้นสุด มองดูดวงดาราจำนวนนับไม่ถ้วน มองดูผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน
บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มประดับเอาไว้ ความเหนื่อยล้าภายในใจพลันมลายหายไป “สงครามครั้งนี้อาจจะใกล้ยุติลงแล้วก็เป็นได้!”