Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 70 รัฐโบราณบรรพชน
“ผู้อาวุโส” ปาถัวเฉินคุกเข่าพลางมองดูหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวตรงหน้าอย่างวิงวอนแล้วเอ่ยต่อไปว่า “เดิมทีสกุลปาถัวของข้าก็เป็นตระกูลเฟิงอ๋องตระกูลหนึ่งของรัฐถูฮวา เพียงแต่สกุลปาถัวของข้าประสบกับความละโมบของอ๋องเสาค้ำฟ้าหยางสยงผู้นั้น เขาถึงกับผลาญทำลายสกุลปาถัวของข้าเองกับมือ โชคดีที่ตอนนั้นข้ามิได้อยู่ในจวน จึงเคราะห์ดีมีชีวิตอยู่รอดมาได้จนถึงบัดนี้”
“หุบปาก!” หยางสยงที่อยู่ข้างๆ ตะโกนอย่างเดือดดาล “บรรพชนบ้านปาถัวของพวกเจ้าเชื้อเชิญข้าไปพบหน้า แต่กลับหาโอกาสใช้ค่ายกลพิษลอบทำร้ายข้า ด้วยเหตุนี้ข้าจึงลงมืออย่างสุดแรงจนส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนของพวกเจ้า”
“แต่ศิษย์หัวแก้วหัวแหวนที่รอดชีวิตแต่ละคนของบ้านข้าต่างก็ประสบกับการล่าสังหารทั้งสิ้น” ถึงแม้ว่าปาถัวเฉินจะรู้สึกได้ถึงพลังกดดันอันไร้รูปร่าง แต่ก็ยังคงเอ่ยโต้แย้ง “ตอนนี้เกรงว่าคงมีเพียงแค่ข้าคนเดียวเท่านั้นที่มีชีวิตรอด ข้าก็อาศัยเคล็ดวิชาซ่อนเร้นกลิ่นอาย จึงหลบซ่อนตัวมาได้จนถึงบัดนี้”
หยางสยงเอ่ยอย่างเรียบเรื่อย “ข้าจะเห็นการสังหารศิษย์ตระกูลปาถัวของพวกเจ้าที่เหลืออยู่ในสายตาหรืออย่างไร เกรงว่าคนระดับล่างของสกุลหยางของข้าคงรู้สึกว่าต้องถอนรากถอนโคนกระมัง!”
นอกจากนี้การถอนรากถอนโคนก็มิได้มีอันใดมิถูกมิควรเสียหน่อย! เพียงแต่ว่าสยาอินนางโง่เง่าเกินไป ถึงกับกล้าสังหารหมู่ตามอำเภอใจ อีกทั้งยังรุกรานใต้เท้าเสวี่ยอิงด้วย ถึงใต้เท้าเสวี่ยอิงไม่สังหาร ข้าก็จะสังหารเอง”
“เอาล่ะ” ประมุขรัฐถูฮวาที่อยู่ข้างๆ พูด “เรื่องนี้ก็จัดการเช่นนี้ก็แล้วกัน หยางสยง เจ้าก็ปล่อยเจ้าเด็กผู้นี้ไปเสียเถิด”
“ประมุขรัฐเอ่ยปาก ข้าก็ย่อมมิกล้าต่อความยาว สาวความยืดอยู่แล้ว นอกจากนี้ แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่เคยเห็นเจ้าเด็กผู้นี้อยู่ในสายตาอยู่แล้ว” หยางสยงพูด
ความเป็นไปได้ที่จะมีขั้นอลวนชั้นที่สิบถือกำเนิดขึ้นมาสักคนหนึ่งนั้นช่างน้อยนิดเพียงใด
ในประวัติศาสตร์รัฐถูฮวาเพิ่งจะถือกำเนิดขึ้นมาสักกี่คนกัน
ความจริงแล้วหยางสยงก็เคยออกคำสั่งให้ ‘ถอนรากถอนโคน’ มาก่อน แต่ในใจเขากลับไม่เคยแยแสสนใจเลย เขาย่อมไม่คิดว่าการเหลือเด็กไม่กี่คนเอาไว้จะสามารถเกิดเป็นภัยคุกคามการมีชีวิตอยู่ของเขาได้!
“ก็เป็นเขานั่นแหละที่ทำให้บุตรสาวข้าตาย แล้วยังทำให้ข้าล่วงเกินอิงซานเสวี่ยอิงเข้าอีกด้วย” หยางสยงหงุดหงิด “ปล่อยเขาไปก่อน รอให้เสร็จเรื่องแล้วก็สามารถล้างผลาญเขาอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงได้แล้วล่ะ”
“ผู้อาวุโส สกุลปาถัวของข้า…” ปาถัวเฉินมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงพลางเอ่ยอย่างวิงวอน
“เอาล่ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากพูด “ท่านประมุขรัฐก็ยังบอกว่าเรื่องนี้ให้แล้วกันไป ก็ให้แล้วกันไปเถิด เจ้าก็ไม่เหมาะที่จะรั้งอยู่ในรัฐถูฮวานี้อีกแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าก็จะไปแล้ว เจ้าก็ตามข้าไปพร้อมกันเถิด”
“ขอรับ” ปาถัวเฉินเชื่อมั่นในใจว่าสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้แล้ว
รู้ว่าเมื่อใต้เท้าเสวี่ยอิงผู้นี้จากไป เสาค้ำฟ้าสกุลหยางก็มีวิธีปลิดชีพเขาอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงอยู่แล้ว
“ท่านประมุขรัฐ ข้ายังมีธุระต้องจัดการ ขอตัวก่อนล่ะ ขอบคุณเจตนาดีของท่านประมุขรัฐด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางยิ้มน้อยๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า น้องเสวี่ยอิงมีธุระ ข้าก็ไม่ขวางแล้ว คราวหน้าหากมีเวลาว่างก็ต้องมาพบข้าที่นี่ด้วยล่ะ”
ประมุขรัฐถูฮวาพูดยิ้มๆ “รัฐถูฮวาของข้ามั่งคั่งไม่เท่ารัฐเมฆทักษิณา แต่ก็มีอาหารเลิศรสและสุราชั้นเลิศอันเป็นเอกลักษณ์อยู่มากพอสมควร”
“แน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“เดิมทีคิดว่าจะจัดงานเลี้ยงอีกครั้ง แต่นี่ใต้เท้าเสวี่ยอิงจะไปแล้ว คราวนี้ล่วงเกินเข้าแล้วจริงๆ ใต้เท้าเสวี่ยอิงโปรดอย่าได้ใส่ใจเลย” หยางสยงก็พูดขึ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงแย้มยิ้ม
พรึ่บ
ห้วงมิติด้านข้างบิดเบี้ยว
ตงป๋อเสวี่ยอิงนำตัวปาถัวเฉินผู้นั้นตรงเข้าไปในนั้นแล้วหายลับไป
“ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา” ประมุขรัฐถูฮวาเห็นแล้วก็พูดขึ้น ตัวเขาเป็นถึงประมุขรัฐก็ยังไม่รู้จักวิธีการสำแดงเคล็ดวิชานี้เลย
“เฮ้อ ในที่สุดก็ไปเสียแล้ว” หยางสยงก็ผ่อนลมหายใจเช่นกัน
“บุตรสาวเจ้าจะไปดุร้ายข้างนอกก็ช่างเถิด แต่ในนครหลวงก็เป็นเช่นนี้ได้หรือ ถึงอย่างไรสกุลหยางของพวกเจ้าก็เป็นตระกูลเสาค้ำฟ้าของรัฐถูฮวาของข้านะ” ประมุขรัฐถูฮวาขมวดคิ้วพูด
“เป็นเพราะข้ามิได้สั่งสอนให้ดี” หยางสยงพูดต่อ “ข้าจะเก็บกวาดเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ข้าจะจัดเตรียมของกำนัลส่งไปยังเมืองหิมะเหินทันที”
“อืม” ประมุขรัฐถูฮวาพยักหน้าเบาๆ
ช่วยไม่ได้
รัฐประเทศเล็กๆ อย่างพวกเขาเมื่อเผชิญกับขุมอำนาจใหญ่ก็ย่อมมิกล้าล่วงเกินจริงๆ! อิงซานเสวี่ยอิงและประมุขรัฐเมฆทักษิณาผู้อยู่เบื้องหลังเขามีผลคุกคามรัฐถูฮวาอย่างแข็งแกร่งเหลือเกิน ลำพังแค่อิงซานเสวี่ยอิงกลายเป็นเทพจักรวาลก็เกรงว่าคงจะสามารถกวาดรัฐถูฮวาให้เรียบได้แล้ว แต่พวกเขาก็มิได้กังวล สำหรับผู้อ่อนแอแล้ว ภายในรัฐประเทศก็ยังมีกฎหมายให้พูดได้
มาถึงระดับขั้นอย่างประมุขรัฐถูฮวา พวกเขาก็คือผู้ออกกฎ! อาศัยสิ่งใดออกกฎน่ะหรือ ก็ย่อมต้องเป็นพลังยุทธ์อยู่แล้ว! ผู้แกร่งกล้าดังเช่นพวกอิงซานเสวี่ยอิงนี้ก็ย่อมมีพลังยุทธ์เพียงพอที่จะผลาญรัฐสักแห่งหนึ่งได้อยู่แล้ว
……
ปราการเมืองที่อยู่ตรงหน้าแห่งนี้ใหญ่โตมโหฬารเสียจนเหมือนไร้ขอบเขต กลิ่นอายค่ายกลยิ่งใหญ่ แม้กระทั่งตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังกดดัน
“ที่นี่คือที่ใดกันหรือ” ปาถัวเฉินที่อยู่ข้างๆ มองดูปราการเมืองตรงหน้า
“นครหลวงคิมหันตวายุ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ทั่วทั้งดินแดนจิตโลกามีปราการเมืองที่ใหญ่โตอยู่หลายแห่ง นครหลวงแห่งนี้ยังมีผู้คนมากกว่ารัฐเมฆทักษิณาทั้งรัฐเสียอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรัฐถูฮวาอันเล็กจ้อยของพวกเจ้าเลย! ที่นี่มีผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วน เทพจักรวาลก็มีมากมายก่ายกอง สำนักวิชาต่างๆ ก็มีมากมายเป็นอย่างยิ่ง สกุลหยางย่อมมิกล้ามาหาตัวเจ้าที่นี่อยู่แล้ว แล้วก็ยิ่งมิกล้ามากระทำการอุกอาจที่นี่ด้วย”
รัฐโบราณคิมหันตวายุมีกฎเกณฑ์เคร่งครัด
เป็นถึงนครหลวง แม้จะเป็นเจ้าลัทธิสามท่านนั้นของทะเลสาบมารทมิฬก็ล้วนมิกล้ามาที่นี่ ต่อให้พวกเขาก่อความวุ่นวายที่รัฐโบราณคิมหันตวายุ ก็คงเป็นแค่พวกเมืองเล็กๆ บางแห่งเท่านั้น ถึงแม้จะเป็นเมืองเล็กก็ยังต้องระแวดระวัง นี่ก็คืออิทธิพลของรัฐโบราณคิมหันตวายุ!
ปาถัวเฉินมองดูปราการเมืองตรงหน้าแล้วนัยน์ตาก็สาดประกายกล้า
นครหลวงคิมหันตวายุหรือ
ปราการเมืองในตำนาน! ถ้าหากให้เขาเข้ามา ก็จะต้องผ่านค่ายกลส่งตัวมากมายเท่าใด ต้องผ่านนครหลวงมากมายเท่าใด แก้วผลึกจักรวาลมูลค่าสูงลิบลิ่วก็ทำให้เขาสิ้นหวังได้ ที่นครหลวงคิมหันตวายุแห่งนี้เต็มไปด้วยความเป็นไปได้อันไร้ที่สิ้นสุด!
“บำเพ็ญอยู่ที่นี่ให้ดีๆ เถิด เส้นทางในภายภาคหน้า เจ้าก็ต้องเดินด้วยตัวเองแล้วล่ะนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“ขอบคุณผู้อาวุโส บุญคุณของผู้อาวุโส ผู้น้อยมิกล้าลืมเลือนตลอดกาล” ปาถัวเฉินคุกเข่าลงพลางเอ่ยอย่างซาบซึ้ง มิใช่ญาติมิตรแต่ก็ช่วยเหลือเขา มอบอนาคตให้กับเขา! ในใจเขาก็ซาบซึ้งหาใดเปรียบ
“ผู้น้อยขอทราบนามของผู้อาวุโสได้หรือไม่” ปาถัวเฉินพูด ถึงแม้ว่าพวกประมุขรัฐจะเคยพูดถึงชื่ออิงซานเสวี่ยอิงมาก่อน แต่ก็เก็บงำเสียงเอาไว้ ไม่ให้ผู้บำเพ็ญธรรมดาๆ เหล่านี้ได้ยิน
“ข้าชื่ออิงซานเสวี่ยอิง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด จากนั้นก็ก้าวเข้าไปในห้วงอากาศอันบิดเบี้ยวแล้วหายลับไป
“อิงซานเสวี่ยอิง อิงซานเสวี่ยอิง”
ปาถัวเฉินจดจำชื่อนี้เอาไว้อย่างเงียบๆ
ด้วยหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวที่มีนามว่าอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้…มอบอนาคตให้แก่เขา
“จะต้องมีสักวันที่สามารถสังหารหยางสยงผู้นั้นได้ แล้วยืนอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสอิงซานเสวี่ยอิงอีกครั้ง” ปาถัวเฉินพลันลุกขึ้นแล้วเดินไปทางประตูเมืองของนครหลวงคิมหันตวายุตรงหน้า มหาสมุทรกว้างมัจฉากระโจน นภาสูงปักษาโผบิน! บางทีความหวังอาจเบาบาง แต่ความแค้นผลาญตระกูลอันยิ่งใหญ่นั้นเขามิอาจลืมเลือนได้ จะต้องคว้าโอกาสพากเพียรบำเพ็ญภายในนครหลวงคิมหันตวายุเอาไว้
******
“ฟิ้วๆๆ”
เสียงลมพัดหวีดหวิว
กลางท้องฟ้ามีดวงดาวสุกสกาวอยู่สิบห้าดวง ไม่ว่าจะเป็นราตรีอันมืดมิด หรือยามกลางวัน บนท้องฟ้าของ ‘เมืองนิจรัตติกาล’ แห่งรัฐโบราณบรรพชนก็จะมีดวงดาวสุกสกาวสิบห้าดวงนี้อยู่ตลอดกาล ดวงดาวสุกสกาวสิบห้าดวงแผ่ประกายดาวออกมา ปกคลุมปราการเมืองอันใหญ่โตเบื้องล่าง
“เมืองนิจรัตติกาล” ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์สีขาวตลอดร่างยืนอยู่กลางเวหา
เดิมทีที่รัฐถูฮวาแห่งนั้นมีสมบัติลับล้ำค่าของเขตลวงโลกเทียมอยู่ชิ้นหนึ่ง ทว่าตั้งแต่เขาปรากฏเปิดเผยตัว ก็ไม่เหมาะที่จะไปดูสมบัติลับล้ำค่าชิ้นนั้นในทันทีแล้ว
เพราะเมื่อถึงเวลาที่ถามราคา ผ่าน ‘การต่อรองราคา’ กับร้านรวงและเจ้าของสมบัติลับล้ำค่า เกรงว่าเจ้าของสมบัติลับล้ำค่าก็คงจะสามารถคาดเดาถึงตัวตนของเขาได้แล้ว! ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่อยากให้เรื่องที่ตนซื้อหาสมบัติลับล้ำค่าของเขตลวงโลกเทียมเปิดเผยสู่สาธารณะ! ถึงแม้ว่าจะถูกผู้ดูแลร้านค้าชั้นหนึ่งขนาดใหญ่ล่วงรู้ แต่ร้านค้าของขุมอำนาจระดับบนเช่นนี้ ‘ความไว้วางใจ’ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
ลูกค้าไม่อยากเปิดเผย ร้านค้าก็ย่อมช่วยรักษาความลับอยู่แล้ว
กับ ‘หยางสยง’ ผู้นั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้มีจิตคิดสังหาร เพราะว่าหยางสยงเป็นถึงบรรพชนตระกูลเสาค้ำฟ้าแห่งรัฐถูฮวา เป็นดังเช่นจ้าวดินแดน มีเกาะแก่งหลายหมื่นแห่งที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นหยางสยงก็คุ้มครองเกาะใต้อาณัติอย่างสุดกำลัง การดำรงอยู่ของเขาก็เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชากรใต้อาณัติ
คนผู้นี้มิใช่พญามารที่ทำการสังหาตามอำเภอใจ ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมมิอาจลงมือได้อยู่แล้ว
จับตามองดินแดนจิตโลกา
ผู้แกร่งกล้าคนใดบ้างเล่าที่ไม่ร้ายกาจ ขอเพียงแค่มิใช่มารที่เที่ยวสังหารตามอำเภอใจ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถทนได้อยู่แล้ว เพราะว่าผู้แกร่งกล้าที่มีจิตใจเมตตาต่อผู้บำเพ็ญระดับล่างจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นมีอยู่น้อยนิดยิ่งนัก ในทางกลับกันระดับที่เห็นได้บ่อยอย่างหยางสยงและประมุขรัฐถูฮวา หรือแม้กระทั่ง ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ ท่านอาจารย์ของตน ถึงแม่ว่าจะให้ความสำคัญกับประชาชนเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็มิอาจนับได้ว่ามีเมตตาต่อผู้อ่อนแแอ
อ้างอิงจากข้อมูลที่ตนล่วงรู้ ท่านอาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็มีด้านที่โหดเหี้ยมอำมหิตเช่นเดียวกัน!
ประเภทนี้ยังสามารถทนได้! มีเพียงแค่มารที่เที่ยวสังหารตามอำเภอใจเหล่านั้นเท่านั้น พวกเขาถึงขนาดที่สามารถทำการบูชาโลหิตสังหารหมู่สิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิตได้ กับมารประเภทนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสังหารได้อย่างเดียวเท่านั้น ย่อมไม่มีทางออมมืออยู่แล้ว
“ข้าลงมือที่รัฐถูฮวาไปแล้วครั้งหนึ่ง เช่นนั้นก็ไปดูสมบัติลับล้ำค่าที่วางขายอยู่ที่นครหลวงรัฐถูฮวาชิ้นนั้นเป็นสิ่งสุดท้ายเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินก้าวยาวๆ ไปทางเมืองนิจรัตติกาลตรงหน้า “ดูชิ้นที่วางขายที่เมืองนิจรัตติกาลนี้ก่อนก็แล้วกัน”
รัฐโบราณบรรพชนมี ‘บรรพชน’ อยู่สองท่าน ล้วนเป็นบุคคลที่ไปถึงระดับขั้นไร้เทียมทานกันแล้วทั้งสิ้น
ท่านหนึ่งถูกเรียกว่า ‘บรรพชนราตรีนิรันดร์’ ส่วนอีกท่านหนึ่งคือ ‘บรรพชนนิจรัตติกาล’
บรรพชนราตรีนิรันดร์…ขึ้นชื่อในเรื่องความเชี่ยวชาญในการหลอมมารรับใช้ ความสำเร็จในการหลอมมารรับใช้ของเขานั้นแข็งแกร่งที่สุดในดินแดนจิตโลกาอย่างไร้ข้อโต้แย้ง! มารรับใช้ขั้นอลวนกลุ่มใหญ่ก็แล้วไปเถิด นี่ก็สามารถเห็นได้บ่อยๆ ในรัฐโบราณคิมหันตวายุ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือบรรพชนราตรีนิรันดร์ยังสามารถหลอม ‘มารรับใช้’ ที่มีพลังรบระดับเทพจักรวาลออกมาได้ด้วย เขาหลอมมารรับใช้ระดับเทพจักรวาลออกมาได้ทั้งสิ้นเก้าตน ซึ่งก็ถูกเรียกว่า ‘เก้าผู้ท่องราตรีนิรันดร์’
ผู้ท่องทุกคนต่างก็สวามิภักดิ์ต่อบรรพชนราตรีนิรันดร์อย่างสิ้นเชิง เป็นตัวแทนความปรารถนาของบรรพชนราตรีนิรันดร์ พวกเขาเก้าคนมีทั้งพลังยุทธ์แข็งแกร่งและอ่อนแอ ทว่าผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังแข็งแกร่งกว่าประมุขรัฐถูฮวาเสียอีก ส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นก็มีพลังยุทธ์ระดับเดียวกับบรรพชนราตรีนิรันดร์ เกรงว่าน่าจะสามารถเทียบเคียงได้กับประมุขรัฐเมฆทักษิณาเลยทีเดียว!
ผู้ท่องทั้งเก้าใต้อาณัติ…
ทำให้บรรพชนราตรีนิรันดร์มีพลังเหนือกว่าผู้ใต้ปกครองอย่างแข็งแกร่งที่สุด
ส่วน ‘บรรพชนนิจรัตติกาล’ นั้น ว่ากันว่าร่างเดิมคือทะเลโลหิตแห่งหนึ่งในดินแดนจิตโลกา ให้กำเนิดวิญญาณ บำเพ็ญมาจนถึงระดับขั้นในปัจจุบัน การศึกษาทางด้านหยาดโลหิตของเขาก็เรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในดินแดนจิตโลกา
‘โลหิตธาตุ’ หยดเดียวของเขาสามารถทำให้ผู้บำเพ็ญแปรเปลี่ยนและเกิดใหม่ได้ ทำให้พลังยุทธ์เพิ่มพูนอย่างมหาศาล! อย่างเช่นผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนชั้นที่สิบดูดซับโลหิตธาตุหยดหนึ่งเข้าไป ความหวังในการบรรลุเป็นเทพจักรวาลก็เพิ่มพูนขี้นเป็นอย่างมาก เมื่อใดที่ดูดซับโลหิตธาตุของเขา ก็ย่อมต้องสวามิภักดิ์ต่อเขา มิอาจทรยศได้เลยแม้แต่น้อย ผู้ที่ดูดซับโลหิตธาตุของเขาเหล่านี้ แต่ละคนต่างก็เคารพยกย่องเขาเป็น ‘บรรพชน’ ทั้งสิ้น
ดังนั้น
ในบรรดาหกรัฐโบราณ รัฐโบราณบรรพชนนั้นก็เรียกได้ว่าโดดเด่นเป็นที่สุด พลังในการรวบรวมก็แกร่งที่สุด แน่นอนว่าพูดถึงพลังยุทธ์ รัฐโบราณบรรพชนก็สามารถจัดได้เป็นระดับกลางในหกรัฐโบราณ
“หืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่เมืองนิจรัตติกาลอันหรูหราอลังการ ที่นี่ผู้แกร่งกล้าเหลือล้น “ได้ยินว่าผู้ที่สำเร็จเป็นเทพจักรวาลใต้อาณัติของบรรพชนนิจรัตติกาลที่ดูดซับหยาดโลหิตของเขา ก็มีอยู่ถึง ‘สิบห้าคน’! พร้อมกันนั้นก็ยังมีเหล่าเทพจักรวาลคนอื่นๆ อยู่อีกจำนวนหนึ่งที่ไปเข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเพื่อร้องขอโลหิตธาตุของบรรพชนนิจรัตติกาลไปทำการศึกษา ทำให้จำนวนเทพจักรวาลใต้บังคับบัญชาของเขามีอยู่มากมายเป็นที่สุด”
โลหิตธาตุหยดหนึ่งของบรรพชนนิจรัตติกาล นอกจากจะดูดซับเข้าไปโดยตรงแล้วก็ยังมีประโยชน์อื่นๆ อยู่อีกมากมาย อย่างเช่นการเพาะเลี้ยงแมลงอสูร และการเปลี่ยนแปลงร่างกายของตนเอง เป็นต้น ราคาที่ซื้อขายกันข้างนอกล้วนเป็นหมื่นล้านแก้วผลึกจักรวาล แพงจนน่ากลัว
“ถึงแล้วล่ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูอาคารสีทองอันระยิบระยับจับตาตรงหน้าแห่งนี้ บนอาคารสีทองมีดวงดาวสิบห้าดวงสลักอยู่ นี่มิได้ด้อยไปกว่า ‘วังนิจรัตติกาล’ ของร้านค้าสกุลฝานเลย
……………………………………………….