Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 29 ดอกตูมสีดำ
กู่ฉีผู้เป็นเทพจักรวาลผู้สูงส่งแห่งอากาศอันสับสนอลหม่านและมหาโลกทิพย์ทั้งห้า การตกต่ำของเขาก็ทำให้บรรดาขั้นอลวนเหล่านี้พรั่นพรึง
พวกเขาถึงขนาดได้กลิ่น ‘สงคราม’ ขึ้นมารางๆ
“ผู้อาวุโสกู่ฉีเป็นถึงผู้ท่องอากาศ เชี่ยวชาญการหนีเอาชีวิตรอดเป็นที่สุด เขาก็ยังถูกสังหารได้ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์บ้าคลั่งถึงเพียงนี้ หรือว่าจะก่อให้เกิดสงครามขึ้นอีกครั้งเล่า”
“ชายขอบของห้วงอากาศก็มีฝูงมารผลาญทำลายถือกำเนิดขึ้นมาไม่หยุดหย่อน ต่างก็พูดกันว่าอากาศอันสับสนอลหม่านแห่งนี้ของพวกเราใกล้จะถึงคราวสูญสลายมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว จอมเทพศักดิ์สิทธิ์กำลังหมดความอดทนลงเรื่อยๆ แล้วใช่หรือไม่”
“เจ้าบ้านี่ ล้วนเป็นเขาที่ทำให้เกิดคลื่นลมต่างหากเล่า!”
รวมประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์เข้าไปด้วย ยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนสี่คนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กัน เมื่อเอ่ยถึงจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วต่างก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกันอยู่บ้าง
ถึงแม้ว่านอกจากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ยังมีพญามารคนอื่นๆ อยู่อีกจำนวนหนึ่ง อย่างเช่นจอมมารดา! แต่ว่าการคุกคามของมารตนอื่นๆ นั้นมีขีดจำกัด มีเพียง ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ คนเดียวเท่านั้นที่ถูกระบุได้ว่าเป็นเทพจักรวาลระดับชั้นที่หนึ่ง! เขาเหนือกว่าเทพจักรวาลคนอื่นๆ ทั้งหมด ถ้าหากโลกทิพย์ทั้งสามไม่ร่วมมือกันต่อต้านก็เกรงว่าทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านคงจะถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ยึดครองไปหมดแล้ว
ก่อนหน้านี้เนิ่นนาน
ในยุคสมัยโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ก่อให้เกิดสงครามขึ้นหลายครั้ง ถึงขนาดที่เกือบจะยึดครองโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม แต่ในท้ายที่สุดก็ต่อตีจนโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมแตกสลายไป…
ถึงแม้ว่าเทพจักรวาลจะตายตกกันไปไม่น้อย แต่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงยืนอยู่ที่จุดสูงสุดเช่นเดิม
“ไม่ว่าจะเป็นยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม หรือยุคของอากาศอันสับสนอลหม่าน ถึงแม้ว่าเขา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะเคยก่อให้เกิดสงคราม แต่ก็พ่ายแพ้หมดทุกครั้ง เห็นได้ชัดว่าพลังยุทธ์ในภาพรวมของพวกเรานั้นเหนือกว่า”
ในระหว่างการวิพากษ์วิจารณ์
ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์มองตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านข้าง “ตงป๋อ เจ้ากลับไปก่อนเถิด คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเพิ่งกลับมาถึงเมืองราชันย์มีดก็ต้องมารู้ข่าวร้ายนี้เข้า”
ระดับขั้นอลวนคนอื่นๆ อีกสามคนต่างก็พูดว่า
“ผู้อาวุโสตงป๋อ ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า”
“ท่านก็ไม่ต้องเป็นกังวลหรอกนะ เทพจักรวาลคนใดๆ ต่างก็ ไปถึงขั้นสุดยอดในด้านใดด้านหนึ่ง ถึงแม้ว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยากจะสังหารพวกเขาคนใดสักคนก็ล้วนมิใช่เรื่องง่ายเลย”
“ฟ้าถล่มลงมา มีเทพจักรวาลอยู่ เหล่าเทพจักรวาลก็ย่อมสามารถจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้อยู่แล้ว”
ในสายตาของพวกเขา
ท้ายที่สุดแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นเพียงแค่ขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ระยะเวลาในการบำเพ็ญก็ยังสั้นนัก เกรงว่าคงจะเข้าใจในเรื่องการรบราฆ่าฟันของระดับขั้นสูงสุดน้อยนิดยิ่งนัก ดังนั้นจึงได้ปลอบประโลมหลายประโยค ทว่าพวกเขาขั้นอลวนนั้นไม่เหมือนกัน พวกเขาเป็นกลุ่มบุคคลที่เข้าใกล้เทพจักรวาลมากที่สุด ล่วงรู้ความลับของระดับขั้นสูงสุดอยู่ไม่น้อย
“ทุกท่าน เช่นนั้นข้ากลับก่อนล่ะนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงจากไปในทันที ปล่อยให้ขั้นอลวนสี่คนนั้นสนทนากันต่อไป
สวบ
เคลื่อนที่ข้ามเวหา ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เหินทะยานมาถึงหน้าเรือนพักของตนอย่างรวดเร็วแล้วร่อนลงไป
ยามรักษาการณ์สองคนที่หน้าเรือนพักมองเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงมาแล้วต่างก็เอ่ยทักทาย “ผู้อาวุโส”
“อืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในเรือนพักด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ผู้อาวุโสดูคล้ายจะไม่เหมือนในอดีตสักเท่าใดนัก อารมณ์ไม่ดีหรือไร” ยามรักษาการณ์สองคนประสานสายตากันคราหนึ่งพลางลอบกระซิบกระซาบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเข้าไปภายในเรือนพัก บรรดาสาวใช้และเด็กรับใช้ต่างก็พากันทักทายตลอดทาง
“ผู้อาวุโส” สาวใช้คนหนึ่งเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงจากที่ไกลๆ แล้วก็หยุดลงเอ่ยทักทายด้วยความเคารพ
“ข้าจำเป็นต้องปลีกวิเวกสักระยะหนึ่ง หากไม่มีเรื่องสำคัญก็ห้ามรบกวนเด็ดขาด” ตงป๋อเสวี่ยอิงออกคำสั่งเสียงเย็น
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำสั่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงหันหน้าไปแล้วเข้าไปภายในห้องเงียบด้านข้าง
……
ตึง…ประตูห้องเงียบปิดสนิท กำยานเผาไหม้ กลิ่นหอมจางๆ อบอวลอยู่ภายในห้องเงียบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่ง ด้านข้างก็มีเบาะรองนั่งดิ้นเงินอันหนึ่งปรากฏขึ้น เขานั่งลงขัดสมาธิในทันใด ความเย็นของเบาะรองนั่งดิ้นเงินอันไร้รูปร่างแผ่ไปรอบกายในทันที และกลิ่นกำยานภายในห้องเงียบก็ทำให้จิตใจของตนสงบลงเป็นอย่างมาก
“เฮ้อ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงผ่อนลมหายใจยาวออกมาคราหนึ่ง
เขายื่นมือซ้ายออกมา กลางฝ่ามือซ้ายก็มีตราประทับทองอันหนึ่งปรากฏขึ้น มองดูตราประทับทองอันนี้แล้วหว่างคิ้วของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีแววอาฆาตปรากฏชัดเป็นอย่างยิ่ง
“น่าขันนัก”
“เดือดดาลกว่านี้แล้วอย่างไร ข้าอยู่ต่อหน้าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่มดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเก็บเอาตราประทับทองขึ้นมา พยายามทำให้ระดับจิตใจระดับจิตใจของตนค่อยๆ สงบลง ด้วยการบำเพ็ญระดับขั้นจิตใจของเขา ถึงแม้ว่าจะสามารถทำให้ตนเองค่อยๆฟื้นฟูความสงบเย็นได้ แต่ความเดือดดาลและแววอาฆาตอันเต็มเปี่ยมนั้นก็ย่อมไม่มีทางเลือนหายไปได้ในคราวเดียวอยู่แล้ว ได้แต่ฝืนกดดันเอาไว้เท่านั้น
เก็บกดเอาไว้ เก็บกดเอาไว้อีก! เก็บกดเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ เพราะการคิดอยากจะแก้แค้นให้ท่านอาจารย์นั้นยังเป็นเรื่องที่ห่างไกลยิ่งนัก
“ท่านอาจารย์ ข้าคือลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของท่าน ความแค้นของท่าน หากข้าไม่ล้างแค้นให้แล้วผู้ใดจะทำให้เล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ
ท่านบรรพชน ‘บรรพชนห้วงอากาศ’ นั้นก็เกรงว่าคงจะเดือดดาลมากเช่นเดียวกัน แต่ถึงอย่างไรบรรพชนห้วงอากาศก็เป็นเพียงแค่เทพจักรวาลระดับขั้นที่สามเท่านั้น ปกป้องตนเองได้อย่างทุลักทุเล! ไม่มีพลังยุทธ์ระดับขั้นที่สอง… ก็ย่อมไม่มีทางเป็นอริกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ซึ่งๆ หน้าได้เลย
“แม้หนทางจะยาวไกล ก็ค่อยๆ เดินไปทีละย่างก้าว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสงบลงเรื่อยๆ
และหลังจากนั้นพอเริ่มต้นบำเพ็ญขึ้นมา การตายของกู่ฉีก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจว่าจะมัวเกียจคร้านมิได้ ถึงแม้ว่าจะห่างจากการสิ้นสุดของงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราอีกเป็นระยะเวลาเพียงแค่หมื่นปีเท่านั้น เขาก็เตรียมตัวจะเหลือเวลาหลายร้อยปีสุดท้ายเอาไว้สำหรับชี้แนะผู้บำเพ็ญรุ่นหลังเหล่านั้น เวลาอื่นๆ ตนเองก็ยังหยั่งรู้บำเพ็ญอย่างสุดกำลัง! เขาทุ่มเทจิตใจทั้งหมดไปกับการหยั่งรู้เคล็ดวิชาที่หลอมรวมระหว่าง ‘วิถีโลกเทียม’ และ ‘วิถีเข่นฆ่า’ อย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย จะต้องเหยียบย่างเข้าสู่ชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวให้ได้
คิดอยากจะประมือกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ คุกคามจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นก็จำเป็นต้องโหดร้ายกับตัวเองเสียบ้าง
ถึงแม้ว่าวิถีโลกเทียมของตนใกล้จะไปถึง ‘ขั้นอลวน’ เป็นอย่างมากแล้ว หยั่งรู้อีกระยะเวลาหนึ่ง เกรงว่าก็จะทำได้สำเร็จแล้ว! แต่ก็จะเหยียบย่างเข้าสู่ชั้นที่เจ็ดตอนยังเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่ง แล้วค่อยไปถึงขั้นอลวน การขัดเกลาเช่นนี้มีส่วนช่วยเหลือการหยั่งรู้ในด้านต่างๆ ของตน ความหวังที่จะบรรลุไปถึงระดับขั้นเทพจักรวาลในอนาคตก็คาดว่าจะสามารถเพิ่มขึ้นได้ไม่น้อยเลยทีเดียว!
จุดประสงค์ของตนนั้นมิใช่ขั้นอลวน หากแต่เป็นเทพจักรวาลที่สุดยอดที่สุด! เพียงพอที่จะคุกคามบุคคลอย่างจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ แน่นอนว่า ‘การสำเร็จกฎเกณฑ์สูงสุด’ ก็คือจุดหมายสุดท้ายของระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้แต่จำภาพอันเลือนรางว่างเปล่านั้นเอาไว้ภายในใจเท่านั้น มิกล้าคิดอะไรมากเป็นการชั่วคราว
เพียงแค่เดินมุ่งหน้าไปตามเส้นทางใต้ฝ่าเท้า บางทีอาจต้องไปถึงระดับขั้นเทพจักรวาล จึงจะสามารถเข้าใจกฎเกณฑ์สูงสุดได้มากยิ่งขึ้น
“ปัง…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิ ความคิดจิตใจทั้งหมดล้วนอยู่กับเคล็ดวิชาการสำรวจของตน
ลำพังแค่วิถีโลกเทียมหรือวิถีเข่นฆ่าเพียงอย่างเดียว ยกระดับไปถึงชั้นที่หกของเจดีย์ดาว ก็คือจุดสูงสุดของตนแล้ว มีเพียงการหลอมรวมทั้งสองวิถีเข้าด้วยกันเท่านั้นจึงจะสามารถทำให้พลานุภาพยกระดับขึ้นได้อีก
“อืม เส้นทางของประมุขโลกอนธการใช้ไม่ได้”
“ควรจะอ้างอิงจากวิธีการที่ข้าตระหนักรู้ในคราวก่อน ควรจะแยกหนึ่งค่ายสังหารผลาญทำลายออกเป็นสาม”
ในห้วงสมองของตงป๋อเสวี่ยอิงมีความคิดต่างๆ นานาพรั่งพรู
การค้นคว้าของเขาในเคล็ดวิชานี้ไปถึงระดับขั้นสูงสุดอยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่ยังบกพร่องอยู่เล็กน้อยมาโดยตลอด มิได้สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริงเลย! ก็เหมือนกับ ‘ใบมีดสวรรค์ลงทัณฑ์’ ในตอนนั้น ถ้าหากไม่มีระดับจิตใจ ‘จิตข้าคือจิตฟ้า’ ก็ย่อมไม่มีทางสำแดงเคล็ดวิชานี้ออกมาได้เลย เฉกเช่นเดียวกัน อยากจะคิดค้นเคล็ดวิชาชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวอันล้ำเลิศในขั้นรวมเป็นหนึ่ง ถึงแม้ว่าในอดีตจะค้นคว้าและสั่งสมมาอย่างเพียงพอ แต่ก็จำเป็นต้องไปถึงก้าวที่สมบูรณ์แบบจึงจะสามารถสำแดงออกมาได้ บกพร่องแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่ได้เลย!
“บางทีควรจะต้องเป็นเช่นนี้”
ยามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงทดลองดูอีกครั้ง ขณะนี้ความอาฆาตที่เก็บกดเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ ทำให้เขาปรับแก้กระบวนท่านี้ไปเล็กน้อย ทำให้ค่ายสังหารกระบวนท่านี้ดียิ่งขึ้น แต่ก็เพิ่มความอดทนอดกลั้นมากยิ่งขึ้นด้วย
ก็เหมือนกับจิตรกรผู้ล้ำเลิศคนหนึ่งที่วาดผลงานชิ้นเอกสักชิ้นออกมาให้เป็นที่ประจักษ์แก่โลกในสภาวะจิตใจหนึ่ง
สภาวะจิตใจของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ทำให้เขาปรับแก้กระบวนท่านี้เล็กน้อยโดยสัญชาตญาณ ก็เป็นความเล็กน้อยนี้เองที่ทำให้กระบวนท่านี้ไปถึงก้าวที่สมบูรณ์แบบอีกอย่างหนึ่งในทันที การคิดค้นเคล็ดวิชาอันล้ำเลิศเช่นนี้ นอกจากการหยั่งรู้สั่งสมแล้วก็ยังจำเป็นต้องอาศัยโอกาสส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน! เห็นได้ชัดว่าสภาวะจิตใจของตงป๋อเสวี่ยอิงในขณะนี้ ถึงแม้ว่าจะมีความอาฆาตเต็มเปี่ยมแต่กลับกดเอาไว้ในจิตใจ ยามบำเพ็ญก็ยังสงบเย็นอย่างที่สุด…
สภาวะจิตใจเช่นนี้ทำให้เขารังสรรค์กระบวนท่านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
พรึ่บ!
โลกมายาที่ดูคล้ายมีคล้ายไม่มี ตรงกลางของโลกมายาแห่งนี้มีดอกตูมสีดำอยู่ดอกหนึ่ง มันดูเหมือนจะยังอ่อนวัยอย่างยิ่ง ยังมีใบไม้อยู่สามใบ บนใบไม้ยังมีหยาดน้ำเกาะอยู่ ยามที่ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้ความคิดรังสรรค์โลกมายาแล้วบ่มเพาะดอกตูมสีดำออกมานั้น ดอกตูมดอกนี้ก็มิได้พังทลาย หากแต่แผ่ความคิดที่เป็นนามธรรมอันไร้ชื่อเรียกออกมาโดยธรรมชาติ…
ถึงแม้ว่ามันจะยังมิได้เปลี่ยนจากภาพลวงออกมาเป็นความจริง เพียงแค่ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกมายา กฎเกณฑ์อันไร้รูปร่างก็เริ่มแผ่ออกมาโดยธรรมชาติ แผ่มาจนถึงโลกความจริง
ภายในห้องเงียบ การหมุนเวียนของกฎเกณฑ์โลกทิพย์แต่เดิมเมื่ออยู่ต่อหน้ามันก็ถูกกดดันให้ร่นถอยไป
เหมือนเคล็ดวิชาของเหล่าเทพจักรวาลซึ่งถึงขนาดที่สามารถทำให้โลกทิพย์แตกสลาย ระดับขั้นของเคล็ดวิชาของเหล่ายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนนั้นถึงแม้ว่าจะไม่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้กฎเกณฑ์โลกทิพย์ในวงแคบๆ โดยรอบถอยร่นไปได้! ที่นี่ ข้าคือเจ้าของ กฎเกณฑ์โลกทิพย์ต่างก็ต้องถอยร่นไป และเห็นได้ชัดเจนถึงความน่าหวาดหวั่นของ ‘ดอกตูมสีดำ’ ดอกนี้ที่สามารถทำถึงขนาดนี้ได้
“กลายเป็นความจริง” สายตาตงป๋อเสวี่ยอิงทอประกายวูบหนึ่ง
ดอกตูมสีดำเปลี่ยนจากมายากลายเป็นความจริง นอกจากนี้ภายใต้การควบคุมของตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ยังดูดกลืนพลังฟ้าดินอย่างช้าๆ ถึงอย่างไรเขาก็กำลังทดลองเคล็ดวิชาอีกทั้งยังไม่ต้องต่อสู้ ถ้าหากต่อสู้แล้วดูดกลืนพลังฟ้าดินอย่างฉับพลันก็อาจทำให้บริเวณโดยรอบเรือนพักของตนเกิดพายุหมุนอันบ้าคลั่งขึ้นมาได้ เช่นนั้น ความเคลื่อนไหวก็จะใหญ่โตเกินไปแล้ว
มันค่อยๆ กลายเป็นความจริงตามการดูดกลืนพลังฟ้าดินอย่างช้าๆ ของมัน ใบทั้งสามของมัน หยาดน้ำที่กลิ้งอยู่บนพื้นผิวของดอกตูมและใบไม้ก็ดูเป็นความจริงอย่างยิ่ง นนอกจากนี้อุณหภูมิโดยรอบก็ยังลดต่ำลงอย่างฉับพลัน อุณหภูมิภายในห้องเงียบก็ลดต่ำลงในทันทีจนถึงขนาดที่ทำให้ใจคนสั่นสะท้าน ความหนาวเหน็บเช่นนี้เกรงว่าขั้นรวมเป็นหนึ่งสามัญธรรมดาก็อาจจะถูกแช่แข็งตายได้ หนาว หนาวเหน็บอย่างแท้จริง…
นี่ยังเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนเป็นความจริงของมันเท่านั้น พลานุภาพอันแท้จริงยังมิได้ระเบิดออกมาเลยแม้แต่น้อย
……………………………………….