Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 23 สายตา
ตงป๋อเสวี่ยอิงออกจากที่พำนักของเจ้าลัทธิภาพจิตกลับมายังคูหาของตน เพิ่งจะนั่งลงแล้วหยิบสุราสะสมชั้นเลิศอันล้ำค่าออกมาไหหนึ่ง ยังไม่ทันได้รินสุรา ทหารรักษาการณ์ก็เข้ามาในลานแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ผู้อาวุโส ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ขอพบขอรับ”
“ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์หรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งแล้วรีบยืดกายขึ้นทันที เพิ่งก้าวออกไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มาถึงนอกประตูจวนแล้ว
“ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์จะมาพบข้า แค่ส่งสารมา ข้าก็ต้องรีบไปทันทีแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเพิ่งพูดออกไปได้ไม่กี่คำ กลับสังเกตเห็นว่าบนใบหน้าสีคล้ำของประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ซึ่งยืนอยู่หน้าประตู ยามนี้ไม่มีรอยยิ้มอยู่เลยสักนิดเดียว เขามองตงป๋อเสวี่ยอิงแวบหนึ่งอย่างสงบด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างใน “พวกเราเข้ามาสนทนากันเถิด”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเล็กน้อย ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์เหมือนจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล
จากนั้นประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็เดินเข้าไปข้างในพร้อมกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงยังพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “การคัดเลือกผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ในงานชุมนุมใหญ่ดวงดารา แม้ภารกิจจะเรียบง่าย แต่ข้ากลับมิกล้ารอช้า เพราะถึงอย่างไรก็ต้องเปิดเผยสู่ภายนอก จะทำอะไรก็ต้องให้งดงามสักหน่อย บัดนี้รายนามถูกกำหนดออกมาแล้ว ข้าก็สบายใจแล้วเพิ่งจะหยิบสุราสะสมชั้นเลิศอันล้ำค่าซึ่งหมักจาก ‘ใบม่ายเฟิง’ ในยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิมออกมาไหหนึ่ง ยังไม่ทันได้ดื่ม ท่านประมุขตำหนักก็มาแล้ว ท่านต้องดื่มเป็นเพื่อนข้าสักหลายจอกนะขอรับ”
“ทำเรื่องได้งดงามนักนี่ เจ้าสบายใจหรือยังล่ะ” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์หยุดลงแล้วหันไปมองตงป๋อเสวี่ยอิง
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง
“เจ้ารู้สึกว่างดงามนักหรือ” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ถามซ้ำอีก
“เนื่องจากปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อีกสี่ท่านส่งรายนามไปก่อน ข้าจะเลือกซ้ำกับพวกเขามิได้ ดังนั้นจึงได้แก้ไขอยู่หลายครั้ง ทว่าผู้ที่เลือกมาก็ใช้ได้มากทีเดียวทั้งนั้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
“ใช้ได้มากทีเดียวทั้งนั้นหรอื”
ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์พยักหน้าน้อยๆ “สิงหั่วสวินอีผู้นั้น เจ้ามองเขาอย่างไร”
“เขาดีมาก ดีมากๆ เลยทีเดียว เป็นคนที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่ข้าเลือกในรายนามครั้งนี้เลยทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นสีหน้าของประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็กระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที เขาพูดพลางหัวเราะว่า “ฮ่าฮ่า ท่านประมุขตำหนักโมโหเพราะข้าเลือกสิงหั่วสวินอีหรือ กังวลว่าข้าจะประจบประแจงจักรพรรดิสิงหั่วโดยไม่รักษาหน้าเลยใช่หรือไม่ ข้าจะเป็นคนพรรค์นั้นได้อย่างไรกัน ประมุขตำหนักวางใจให้เต็มที่เถิด ท่านมิใช่ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ คงจะไม่ทราบว่าความก้าวหน้าของสิงหั่วสวินอีในพันปีนี้น่าตกใจเพียงใด”
“น่าตกใจหรือ” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์สะดุ้ง เขาพอฟังออกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงมั่นอกมั่นใจพอตัว เพลิงโทสะที่มีอยู่แต่เดิมกลับกลายเป็นความสงสัย “เขาจะมีความก้าวหน้าอะไรได้ที่ผ่านมาบำเพ็ญมาห้าแสนกว่าล้านปีก็มีผลสำเร็จเพียงเท่านี้ เขาอยากมีสมบัติล้ำค่ามากเท่าไหร่ก็ได้ อยากมีผู้แกร่งกล้าชี้แนะก็ไม่ขาดคำชี้แนะ ตอนนี้เพียงแค่พันปี จะก้าวหน้าได้สักเท่าใดกันเชียว”
นี่มิใช่แค่ความคิดของประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์เท่านั้น แต่เป็นความคิดของยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนหลายคนหลังจากได้เห็นรายนาม
การบำเพ็ญนั้นต้องค่อยๆ สั่งสม ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงมีพรสวรรค์ไร้เทียมทาน หลังจากบรรลุเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าแล้ว ก็ต้องค่อยๆ สั่งสมเป็นเวลายาวนาน หลังจากดวงจิตบรรลุถึงระดับขั้น ‘จิตข้าคือจิตฟ้า’ แล้วจึงบรรลุถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่หก!
ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เหล่านี้ บำเพ็ญมาอย่างน้อยที่สุดก็หลายหมื่นล้านปี ไปจนถึงหลายล้านล้านปี
วันคืนยาวนานถึงเพียงนี้…เพียงแค่หนึ่งพันปี ช่างไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเลยจริงๆ!
อย่างสิงหั่วสวินอีและบางคนที่มีผู้หนุนหลัง พวกเขามีคุณสมบัติได้รับการชี้แนะ สำหรับพวกเขาแล้ว เวลาพันปีนี้ก็ไม่มีความก้าวหน้าที่ชัดเจนสักเท่าใดนัก
จะมีก็แต่ผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเหล่านั้น ที่ตลอดคืนวันอันยาวนานคลำทางบำเพ็ญด้วยตนเอง มีความฉงนสงสัยมากมายทับถมกัน บัดนี้มีโอกาสได้รับคำแนะนำ และถึงขั้นได้รับคำแนะนำจากสิ่งมีชีวิตผู้สูงส่งเหนือใครทั้งหลายอย่างประมุขวังเจียงฝู่ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งของโลกทิพย์ทั้งสอง คำชี้แนะของเขาก็ล้ำค่ามากเช่นเดียวกัน การชี้แนะนี้ทำให้ความสงสัยต่างๆ ของเหล่าผู้บำเพ็ญไร้สังกัดมลายหายไป พลังก็จะก้าวหน้าขึ้นอย่างพรวดพราด!
เวลาพันปี
มีเพียงผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเท่านั้นที่โดยทั่วไปอาจจะก้าวหน้ามาก
ประมุขวังเจียงฝู่ ประมุขเกาะจื่อถู แม่ทัพเทียนกวงและบรรพชนงูอู่เจ๋อล้วนไม่เชื่อว่าสิงหั่วสวินอีจะก้าวหน้าได้ จะก้าวหน้าต้องมีการสั่งสมจึงจะ ‘เตรียมการแล้วปะทุ’ ออกมาได้ หรือว่าที่ผ่านมาสิงหั่วสวินอีมีข้อสงสัยอยู่จำนวนนับไม่ถ้วนแล้วไม่มีผู้แกร่งกล้าระดับยอดชี้แนะอย่างนั้นหรือ น่าเสียดายที่บิดาของสิงหั่วสวินอีก็คือสิ่งมีชีวิตระดับเจดีย์ดาวชั้นที่เก้า อาศัยสายสัมพันธ์ของบิดาก็สามารถเชิญยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนมากมายให้มาสั่งสอนได้อย่างง่ายดาย เกรงว่าคงจะดีกว่าเชิญห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่มาสั่งสอนเสียอีก
“เขาก้าวหน้าไปมากนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อีกสี่ท่านคงจะทราบกระมัง”
“แม่ทัพเทียนกวงยังได้ส่งสารให้ข้าด้วย พูดเสียน่าฟัง แต่กลับกำลังเสียดสี” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ส่ายหน้า “หากสิงหั่วสวินอีมีความก้าวหน้าอย่างมหาศาลมากจริงๆ แล้ว เกรงว่าคงจะไม่เคยขอเชิญแม่ทัพเทียนกวงมาสอนอย่างแน่นอน”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเล็กน้อย
“รอประเดี๋ยว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรีบส่งสารให้จักรพรรดิสิงหั่วทันที จักรพรรดิสิงหั่วตั้งใจจะผูกสัมพันธ์ด้วย ทั้งสองก็ย่อมทิ้งรอยประทับของกันและกันเอาไว้
“สิงหั่วสวินอีไม่เคยขอให้ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ท่านอื่นมาสอนเลยหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงถาม
“ฮ่าฮ่า ผู้อาวุโสตงป๋อ ข้าเห็นรายนามที่ท่านเลือกแล้ว ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ล้วนมิมีผู้ใดเลือกบุตรชายข้าเลย มีแต่ท่านเท่านั้นที่เลือก ข้ายังถามเจ้าหนุ่มนี่อยู่ เขาก็บอกว่าอีกสี่ท่านล้วนไม่เข้าใจวิถีโลกเทียม ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาด้วย” จักรพรรดิสิงหั่วส่งสารมา สิงหั่วสวินอีมิใช่ผู้บำเพ็ญไร้สังกัดพวกนั้น สายตาของเขาสูงส่งนัก นอกจากนี้เขาก็มิได้รู้สึกว่าการขอเชิญให้ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อีกสี่ท่านมาสอนจะเป็นโอกาสอันหาได้ยากมากมายอะไรนัก เขาจึงคร้านที่จะไป
เขามุ่งมั่นให้กับด้านวิถีโลกเทียม! แต่ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของโลกทิพย์ทั้งห้า ผู้ที่ประสบผลสำเร็จสูงสุดด้านวิถีโลกเทียมก็คือตงป๋อเสวี่ยอิง! เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยวิถีโลกเทียมจนสำเร็จเป็นขั้นอลวน ก็จะกลายเป็นขั้นอลวนด้านวิถีโลกเทียมคนแรกในประวัติศาสตร์
ก็ไม่น่าแปลกใจ
เพราะถึงอย่างไรระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ผู้ที่สำเร็จความเร้นลับของกฎเกณฑ์เป็นขั้นอลวนในประวัติศาสตร์ก็มีทั้งหมดเพียงยี่สิบกว่าคนเท่านั้น วิถีโลกเทียมจัดเป็นแขนงหนึ่งซึ่งหาได้ยาก วิชาจำพวกวิถีเข่นฆ่าต่างหากจึงจะพบเห็นได้บ่อยที่สุด
“ท่านช่วยบุตรชายข้า บุญคุณใหญ่หลวงในครั้งนี้…ฮ่าฮ่า บุญคุณใหญ่หลวงทั้งหมดจะจารึกไว้ในใจ” จักรพรรดิสิงหั่วถ่ายเสียงพูดประโยคหนึ่งแล้วมิได้พูดโดยละเอียดให้มากความอีกต่อไป
เขาพูดถึงขนาดนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าซาบซึ้งในตัวตงป๋อเสวี่ยอิงมากนัก
เพื่อจะช่วยเหลือบุตรชายคนเล็ก เขาเคยขอเชิญให้เทพจักรวาลหลายท่านมาช่วยเหลือ บัดนี้บุตรชายทะยานขึ้นมาอีกครั้ง จักรพรรดิสิงหั่วก็ย่อมเบิกบานใจมากเป็นธรรมดา นอกจากนี้บุตรชายยังพูดแล้วว่าจะคารวะตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอาจารย์ ในภายหน้าความสัมพันธ์กับตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมแน่นแฟ้นขึ้นเป็นธรรมดา
……
เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงและจักรพรรดิสิงหั่วส่งสารกันจบแล้ว ก็ถามประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ว่า “ข้ากับจักรพรรดิสิงหั่วถ่ายเสียงถามกันดูแล้ว ที่แท้แล้วเจ้าหนุ่มสิงหั่วสวินอีผู้นี้ เพียงแค่เคยขอเชิญให้ข้าไปสอนบ้างเท่านั้นและไม่เคยขอเชิญปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ท่านอื่นให้ไปสอนมาก่อนเลย”
“เขาก้าวหน้ามากจริงๆ หรือ” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ถามขึ้นอย่างอดมิได้
“จริงขอรับ หรือว่าข้าจะต้องโกหกแม้แต่เรื่องพวกนี้ด้วยเล่า รอจนหมื่นปีให้หลัง ตอนที่ศึกตัดสินเปิดฉาก สิงหั่วสวินอีก็ต้องออกศึก หากข้าโกหก มิใช่ต้องถูกจ้วงแทงตายหรอกหรือไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
“แต่ว่า แต่ว่าเขาเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร ห้าแสนล้านปีไม่มีความก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวงเลย ไยเพียงครู่เดียวจึงก้าวหน้าอย่างมากมายเช่นที่เจ้าบอกได้เล่า” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็อึดอัดใจ
ตงป๋อเสวี่ยอิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
เรื่องเศร้าโศกเสียใจ…
ก็นับว่าเป็นเรื่องขายหน้า ก่อนหน้านี้จักรพรรดิสิงหั่วขอให้ตนช่วยเหลือ ก็ให้ตนเก็บความลับ มิอาจเผยแพร่ออกไปภายนอกได้
เพราะถึงอย่างไรการผูกสัมพันธ์กับสตรีนางหนึ่งในโลกเขตลวงจนกลายเป็นสหายร่วมวิถี ท้ายที่สุดยังต้องเจ็บปวดใจก็ช่างทำให้เสียหน้าโดยแท้! ก่อนหน้านี้ในรายงานที่ตนได้รับมา ก็มิได้มีบันทึกว่าสิงหั่วสวินอี ‘เจ็บปวดใจ’ แต่อย่างใด
ไม่ต้องสงสัยเลย
แม้จักรพรรดิสิงหั่วจะเคยเชิญยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนและเทพจักรวาลที่เชี่ยวชาญทางด้านเขตลวงหลายท่านให้ช่วยเหลือมาก่อน แต่ก็น่าจะขอให้พวกเขาช่วยเก็บเป็นความลับด้วย! แต่ละท่านมีสถานะระดับใดกัน คงจะไม่ถึงกับแพร่เรื่องนี้ออกไปสู่โลกภายนอก
“มีเหตุผลเล็กน้อยน่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้พูดให้ละเอียด เขาพูดยิ้มๆ ว่า “ทว่าตอนนี้เขาก้าวหน้าอย่างยิ่งจริงๆ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์สามารถตรวจดูภาพที่เขามาขอให้ข้าสอนเมื่อหลายสิบปีก่อนหน้านี้ดูได้”
“อ้อ”
ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์พยักหน้าน้อยๆ
แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะพูดอย่างจริงใจ ทั้งยังดูแล้วน่าจะไม่ใช่เรื่องเท็จ เพราะถึงระดับนี้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องโกหกอีกต่อไป แต่ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ก็ยังคงไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี สิงหั่วสวินอีมีสถานะและเบื้องหลังระดับนี้ ห้าแสนล้านปีก็ยังมีพลังน้อยนิดเท่านั้น เหตุใดจึงก้าวหน้ามหาศาลในระยะเวลาพันปีได้เล่า
ดวงตาทั้งสองของประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์มองไปเบื้องหน้า นัยน์ตาปล่อยลำแสงออกมา ภาพตรงหน้าบิดเบี้ยวไป
สวบ
ไม่นานนักก็หมุนไปถึงหลายสิบปีก่อนหน้านี้ เป็นภาพขณะที่สิงหั่วสวินอีขอให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสอนครั้งล่าสุด
เมื่อประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ได้เห็นภาพนั้นก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“วิถีโลกเทียมหรือ” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์พูดอย่างตกใจ “เขา เขายกระดับวิถีโลกเทียมขึ้นไปจนถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้วหรือ นอกจากนี้พลังของเขายังบรรลุถึงเจดีย์ดาวชั้นที่สี่ด้วยอย่างนั้นหรือ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ
เก้าร้อยกว่าปี ภายใต้ความช่วยเหลืออย่างสุดกำลังของจักรพรรดิสิงหั่ว ภายในเมืองราชันย์มีด ด้านใน ‘เจดีย์กาลเวลา ซึ่งเร่งเวลาหมื่นเท่า แม้ขั้นรวมเป็นหนึ่งจะไปฝึกฝน หากร้อยล้านปีก็ต้องใช้ศิลาปฐมโลกาถึงสองแสนก้อน เทพจักรวาลก็ยังมิอาจฟุ่มเฟือยถึงเพียงนี้ได้ แต่เนื่องจากต้องการระยะเวลาสั้นๆ เพียงพันปี ภายใต้การเร่งเวลาหมื่นเท่า ก็ต้องการศิลาปฐมโลกาเพียงสองก้อนเท่านั้นเอง
บำเพ็ญเก้าล้านกว่าปี ภายใต้เงื่อนไขการบำเพ็ญที่ดีที่สุด ทั้งสมบัติล้ำค่าที่ช่วยในการบำเพ็ญ บวกกับการสั่งสมของตนเอง ก็สามารถมาขอให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสอนได้ สิงหั่วสวินอีทำให้วิถีโลกเทียมบรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่งได้จริงๆ
ตอนนั้นหลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงบรรลุขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว ไม่นานนักก็เข้าถึง ‘ฟองอากาศอนธการ’ และพลังก็บรรลุถึงระดับเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าทันที!
แต่ทว่า…
แม้สิงหั่วสวินอีจะร้ายกาจ แต่เห็นได้ชัดว่าพรสวรรค์และการรับรู้ด้านวิถีโลกเทียมยังคงด้อยกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่บ้าง ทว่าก็เข้าถึง ‘ฟองแตกสลาย’ กระบวนท่าที่สองของศาสตร์ลับโลกเทียมที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นได้
ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์มองดูภาพตรงหน้าที่สิงหั่วสวินอีขอให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสอน ยิ่งดูก็ยิ่งเบิกบานใจ
“หากข้าจำไม่ผิด ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรกของเจดีย์ดาวที่บุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่สี่ได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์กล่าว “ตอนนี้สิงหั่วสวินอีก็มีพลังเช่นนี้ หรือกล่าวได้ว่า พลังของเขาน่าจะจัดอยู่ในสามอันดับแรกได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าพลางพูดยิ้มๆ “ข้าบอกแล้วว่า เขาคือหนึ่งในคนที่ดีที่สุดในรายนามของข้าครั้งนี้ ในเมื่อเขาไม่เคยขอให้ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่อีกสี่ท่านชี้แนะมาก่อน เช่นนั้นคาดว่าโลกภายนอกก็คงจะค่อยๆ มีข่าวลือที่ไม่น่าฟังสักเท่าใดนัก หรือว่าจะบอกปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่คนอื่นๆ เสียหน่อยเล่า”
“อย่าได้บอกพวกเขาเด็ดขาด”
ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ส่ายหน้า สีหน้าฉายแววได้ใจเล็กน้อย “แม่ทัพเทียนกวงผู้นั้นจงใจส่งสารซึ่งแฝงแววถากถางเอาไว้มาหาข้า เฮอะๆ จะลือก็ลือกันไปเถิด ปล่อยให้พวกเขาแพร่ข่าวออกไป! เพียงแค่หมื่นปีให้หลัง ก็จะมีศึกตัดสินที่เปิดเผยต่อโลกภายนอกแล้ว ถึงตอนนั้นสิงหั่วสวินอีก็จะโดดเด่นหาใดเปรียบ! ข้ารอคอยจะได้เห็นสีหน้าตะลึงลานของพวกเขาแต่ละคนนัก นอกจากนี้ ถึงตอนนั้นเหล่าผู้บำเพ็ญที่จับตามองงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราก็จะล่วงรู้กันหมดว่าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ที่ส่งออกไปจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ‘วังทวีสูญ’ ทางสายความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของเรา มีสายตาในการคัดเลือกผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่สูงส่งที่สุด!”
…………………………