Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 16 ขั้นอลวนที่น่าสงสาร
ตงป๋อเสวี่ยอิงสนใจงานประมูลสมบัติล้ำค่าของหอทะเลสัตตดารามากทีเดียว
วันคืนต่อจากนั้น เขากลับอยู่ภายในจวนตลอดเวลา ภายในจวน หากมิได้รับรู้และบำเพ็ญอยู่ในห้องเงียบ เขาก็จะไปยังโถงตำหนักสำหรับฝึกแสดงพลังโดยเฉพาะ แล้วทดลองกระบวนท่าต่างๆ ท่ามกลางความไม่รีบร้อน เขาก็ค่อยๆ รับรู้สิบสามกระบี่ผลาญโลกาและแผนภาพคลื่นจานได้ลึกล้ำขึ้น ส่วนกระบี่ที่สี่ผลาญโลกาก็รู้สึกว่ามีหวังแล้ว สาเหตุหลักก็คือตอนนั้นเมื่ออยู่ในวังทวีสูญ หลังสำเร็จเป็นเทพอากาศแล้ว ก็บำเพ็ญภายในตำหนักกาลเวลามากว่าเจ็ดพันล้านปี!
เจ็ดพันล้านปีนี้ ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงมีพื้นฐานแน่นหนามากทีเดียว ถึงขั้นทำให้กระบี่ที่สามผลาญโลกาแปรเป็น ‘มังกรมัจฉาปลิดชีพ’ ที่ง่ายขึ้น ซึ่งการที่สามารถทำให้ง่ายขึ้นได้นี้ แสดงให้เห็นถึงระดับขั้นของตงป๋อเสวี่ยอิง
บัดนี้ทำลายฐานที่มั่นของลัทธิทิพย์โบราณลงไปได้ เขาจึงอารมณ์ดียิ่ง ภายใต้การผ่อนคลายก็ยังมีความก้าวหน้า เขารู้จัก ‘กระบี่ที่สี่ผลาญโลกา’ ค่อนข้างชัดเจนขึ้น ขอเพียงใช้เวลาให้มากหน่อย ก็เชื่อว่าจะสามารถรับรู้ได้
“อืม รอให้งานประมูลของหอทะเลสัตตดารายุติลงก่อน ข้าก็จะกลับไปยังวังทวีสูญสักครา แล้วไปเก็บตัวยังตำหนักกาลเวลาเพื่อรับรู้กระบี่ที่สี่ผลาญโลกา” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ลอบรำพึง
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังบำเพ็ญอย่างสบายใจ แต่กลับทำให้คนผู้หนึ่งลำบากขึ้นมา
“คนที่ชื่อตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นอยู่แต่ภายในจวนโดยมิได้ออกมาตลอดเลยอย่างนั้นหรือ” บุรุษร่างอ้วนเตี้ยที่เรียกหาอาหารเลิศรสเต็มโต๊ะในหอสุราแห่งหนึ่งดื่มสุราไปพลางกินอาหารไปพลาง เขาขมวดคิ้วขึ้นมา เขาปราดตามองไกลออกไปนอกหน้าต่างหอสุราแวบหนึ่ง แม้ระยะห่างกว่าหมื่นลี้ แต่เขากลับยังคงสามารถมองเห็นจวนแห่งนั้นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
นั่นคือจวนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่!
บุรุษร่างอ้วนเตี้ยสวมอาภรณ์ธรรมดาสามัญ บนใบหน้ามีลวดลายสีดำ นัยน์ตาสีทองเข้มคู่หนึ่งฉายแววรำคาญใจ
กลิ่นอายของเขาถูกเก็บงำเอาไว้ เมื่อมองอย่างผิวเผินแล้ว ก็แค่เทพอากาศธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้นเอง!
แต่ในความเป็นจริง…เขาก็คือยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน ‘บรรพชนกาฬสยบ’ ในช่วงที่โลกทิพย์โบราณยังสมบูรณ์ดีเขาก็มีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่แล้ว สิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดส่วนใหญ่ล้วนมิได้มีชีวิตอยู่นานเท่าเขา หากพูดถึงพลังแล้ว ในบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนเขาก็จัดอยู่ในอันดับต้นๆ แข็งแกร่งกว่าจอมมารและเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงอยู่ขุมใหญ่ อีกทั้งนิสัยของเขาก็ค่อนข้างโหดร้าย ทั้งยังมิได้สวามิภักดิ์ต่อเทพจักรวาล หากแต่ไปไหนมาไหนเพียงลำพัง เขามีชื่อเสียงเรื่องความเชี่ยวชาญในการลอบสังหาร
แน่นอนว่า
มีเพียงร่างแปรของเขาเท่านั้นที่มาถึงเมืองวารีสวรรค์ เพราะเมื่อสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเป็นถึงผู้อาวุโสตำหนักในแห่งวังทวีสูญ ทั้งยังลงมือใน ‘เมืองวารีสวรรค์’ ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองอลหม่านสิบสองแห่งของวังทวีสูญ วังทวีสูญย่อมเดือดแค้นอย่างแน่นอน เขาจะหนีก็หนีไม่พ้น จึงย่อมมิอาจส่งร่างจริงมาได้
ร่างแปรสามารถเก็บงำและเปลี่ยนแปลงลักษณะและกลิ่นอายได้ เมื่อลอบสังหารได้สำเร็จแล้ว ร่างแปรก็จะสลายหายไปทันที! ขอเพียงไม่ทิ้งร่องรอยใดเอาไว้ วังทวีสูญก็จะตรวจสอบไม่ได้เลย
“ตามรายงาน ตอนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้เพิ่งจะมาถึงเมืองวารีสวรรค์ ก็ชอบไปตามหอสุราและร้านอาหารต่างๆ แทบจะเดินเล่นอยู่ภายนอกทุกวัน เหตุใดหลังจากทำลายฐานที่มั่นแห่งหนึ่งของลัทธิทิพย์โบราณไปแล้วกลับไม่ออกมาตลอดเลยเล่า” บุรุษร่างอ้วนเตี้ย ‘บรรพชนกาฬสยบ’ พูดไม่ออกอยู่บ้าง เขาเร่งมาด้วยความเร็วสูงสุด ด้วยหวังว่าจะลอบสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงขณะเดินเล่นอยู่ข้างนอก เมื่อลอบสังหารสำเร็จแล้ว เขาก็จะสามารถจากไปได้อย่างสบายอกสบายใจแล้ว แต่ตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ออกมา เขาก็ไม่มีวิธีอื่นใดอีก
******
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสามพันปีแล้ว
ภายในห้องเงียบของจวน
กลิ่นหอมของธูปหอมแผ่กำจายไปทั่ว ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพรม ผิวหนังของเขามีพละกำลังอันดำทะมึนปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง พละกำลังนี้ร่อนลงมาจากกลางอากาศอันสับสนอลหม่านที่ไกลโพ้นอย่างไม่ขาดสาย! ซึ่งก็คือพละกำลังของอากาศอันสับสนอลหม่านที่รวมตัวกันอย่างดียิ่งซึ่งถูกเคล็ดวิชาลับผู้ท่องเหนี่ยวนำมา เพราะถูกเคล็ดวิชาบีบอัดจนรวมตัวกันกลายเป็นสีดำ มันหนาวเย็นอย่างยิ่งยวด ทั้งยังแฝงไว้ด้วยแววทำลายล้างอีกด้วย…
“ฟึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอ้าปากสำรอกออกมา แสงหลากสีสายหนึ่งลอยออกมา จากนั้นก็หายวับไป แสงหลากสีค่อยๆ สลายไปภายในห้องเงียบ
นั่นเป็นส่วนของอากาศอันสับสนอลหม่านที่มิอาจดูดซับพลังมาใช้งานได้
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า สามพันปีนี้ยังสามารถทำให้วิชาลับผู้ท่องของข้าก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยสีหน้ายินดีออกมา แม้ด้านอื่นๆ จะค่อยๆ ยกระดับขึ้นแต่กลับไม่มีความก้าวหน้าที่เห็นได้ชัด บัดนี้วิชาลับผู้ท่องกลับบรรลุถึงชั้นที่ยี่สิบเก้า!
“อื้ม อีกครึ่งเดือนก็จะเป็นวันจัดงานประมูลแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงอารมณ์ดีนัก หลังจากเพิ่งจะบรรลุเขาก็รับรู้วิชาลับผู้ท่องต่อไป เขาก็คิดจะบรรลุชั้นที่สามสิบเอ็ดให้ได้รวดเร็วที่สุด ถึงวันนั้น ระบบผู้ท่องอากาศนี้ของตนจึงจะนับได้ว่าบรรลุถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย เกราะพล หรือว่าการควบคุมอากาศก็จะมีการเปลี่ยนแปลงจากแก่นแท้
ครึ่งเดือนผ่านไปไวราวกะพริบตา ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้น “โครม!” ประตูห้องเงียบเปิดออก
“หวังว่างานประมูลครั้งนี้จะสามารถทำให้ข้าประหลาดใจได้บ้างนะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตั้งตารอคอยอยู่บ้าง นี่คือครั้งแรกที่เขาจะได้เข้าร่วมงานประมูลขอหอทะเลสัตตดารา
สวบ
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปถึงกลางลานของจวนแล้วหายวับไป
เขาสำแดงการเคลื่อนที่ในอากาศเร่งมุ่งหน้าไปทางหอทะเลสัตตดารา เพราะถึงอย่างไรจวนก็อยู่ห่างจากหอทะเลสัตตดาราเป็นระยะทางถึงสามแสนลี้ เขาจึงไม่มีกะจิตกะใจจะบินไปอย่างเชื่องช้า
……
“เอ๊ะ”
‘บรรพชนกาฬสยบ’ ซึ่งถึงขั้นซื้อเรือนแห่งหนึ่งเอาไว้ปลดปล่อยเคล็ดลับอยู่ตลอดเวลา เพื่อตรวจสอบรอบจวนของตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งแถบอย่างระมัดระวัง เนื่องจากจวนของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นถึงใจกลางสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของค่ายกลทั้งเมืองวารีสวรรค์ ดังนั้นการตรวจสอบด้วยเคล็ดลับของเขาก็ไม่กล้าแทรกซึมเข้าไปในจวนแห่งนี้ กล้าเพียงอยู่นอกจวนเท่านั้น
เวลาสามพันปี บรรพชนกาฬสยบเตรียมตัวที่จะเฝ้าดูแลเป็นระยะเวลายาวนาน ในฐานะยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน ต่อให้เป็นระยะเวลาร้อยล้านปีก็ยังไม่ควรค่าให้เขาพูดถึง
ทันใดนั้นบรรพชนกาฬสยบก็ลืมตาขึ้นมา นัยน์ตาสีทองเข้มฉายแววตกใจ!
เพราะว่าขอบเขตการตรวจสอบด้วยเคล็ดลับ…
สัมผัสได้ถึงการทะลุอากาศสายหนึ่ง สวบ ทะลุผ่านระยะทางสามแสนลี้ไปถึงหอทะเลสัตตดารา
รวดเร็วเกินไปแล้ว!
บัดนี้ต่อให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนที่ในพริบตาภายใต้การกดดันกฎเกณฑ์ของโลกทิพย์ เคลื่อนที่ในพริบตาครั้งหนึ่งก็เป็นระยะกว่าแสนห้าหมื่นลี้ สำหรับเขาแล้วระยะทางเพียงแค่สามแสนลี้ก็ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น!
บรรพชนกาฬสยบเพิ่งจะพบตงป๋อเสวี่ยอิง…ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปถึงหอทะเลสัตตดาราแล้ว
“หอทะเลสัตตดาราหรือ” บรรพชนกาฬสยบร้อนใจขึ้นมา
“เจ้าบินไปช้าๆ ไม่ได้หรือ”
“จะออกมาเดินเล่นสักหน่อยไม่ได้หรือไรกัน อุดอู้มาตั้งสามพันปี จะไม่ออกมาพักผ่อนหย่อนใจบ้างเลยหรือ” บรรพชนกาฬสยบโมโหขึ้นมาบ้าง แต่ตัวเขาเองก็เข้าใจว่า ผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งเก็บตัวครั้งหนึ่งเป็นหมื่นล้านปีก็มีให้พบเห็นได้โดยทั่วไป เพียงแค่สามพันปีไหนเลยจะรู้สึกว่าต้องออกมาพักผ่อนหย่อนใจกันเล่า
บรรพชนกาฬสยบรู้สึกคับข้องใจ
เพิ่งจะพบตงป๋อเสวี่ยอิง เขาก็เข้าไปในหอทะเลสัตตดาราเสียแล้ว
“หอทะเลสัตตดารา สมควรตาย” บรรพชนกาฬสยบร่ำร้อง “หอทะเลสัตตดาราเป็นสิ่งที่สามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราร่วมมือกันสร้างขึ้น เพื่อไว้ค้าขายสมบัติล้ำค่าโดยเฉพาะ ความเข้มงวดของการตระเตรียมสถานที่นี้นั้นเหนือกว่าจวนของตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่มากโข ทันทีที่แทรกซึมเข้าไปก็จะถูกพบเข้า จึงมิอาจลอบสังหารภายในหอทะเลสัตตดาราได้”
“รอ”
“รอเขาออกมา” บรรพชนกาฬสยบพึมพำเบาๆ “ครั้งนี้เตรียมตัวให้ดี ต่อให้เขาทะลุอากาศจากหอทะเลสัตตดารา ข้าก็ต้องสกัดขัดขวางเขาเอาไว้ให้ได้ในทันที”
เขาตัดสินใจระมัดระวังขั้นสูงสุดต่อไป
ทันทีที่พบว่าตงป๋อเสวี่ยอิงออกมา ก็จะเข้าไปสกัดกั้นทันที! เพราะความเร็วในการทะลุอากาศของตงป๋อเสวี่ยอิง จากหอทะเลสัตตดารามาถึงจวนก็แค่ชั่วอึดใจเท่านั้น เวลาช้าเกินไป มิอาจแบ่งสมาธิไปได้เลยแม้แต่น้อย
การระมัดระวังขั้นสูงสุดพรรค์นี้…ก็เหนื่อยมากทีเดียว ทว่าเวลาสั้นๆ เพียงวันสองวัน บรรพชนกาฬสยบก็ยังยินดี เพราะถึงอย่างไรเมื่อสำเร็จแล้ว เขาก็จะได้รับรางวัลเป็นศิลาปฐมโลกาห้าร้อยหกสิบก้อน!
……
สวบ
ทางเข้าหอทะเลสัตตดารา มีชายหนุ่มอาภรณ์ขาวคนหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงนั่นเอง
“ผู้อาวุโสตงป๋อ” เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียว ผู้ดำเนินการของหอทะเลสัตตดาราประจำเมืองวารีสวรรค์ก็เข้ามาต้อนรับด้วยตนเองด้วยสีหน้ากระตือรือร้นอย่างเต็มเปี่ยม
……………………………………….