Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน - ตอนที่ 7
“ข้อได้เปรียบของพวกเขาก็คือสมบัติล้ำค่าเหล่านั้น แต่ข้อด้อยก็เห็นได้ชัดนัก ซึ่งก็คือพวกเขามิอาจดูดซับพลังฟ้าดินได้ เมื่อต่อสู้แล้วเผาผลาญพละกำลังไปก็ต้องอาศัยผลึกเทพมาฟื้นฟู สมบัติล้ำค่าบางอย่างอาจพอจะดูดซับพลังฟ้าดินได้อย่างพอถูไถ แต่ถึงอย่างไรความเร็วในการดูดซับก็ช้ามากอยู่ดี หากพวกเขาสู้จนตัวตาย จะฝึกฝนร่างแยกอีกสักร่างมาอีก ราคาที่ต้องแลกมาก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก” ผางอีเอ่ย “แต่พวกเรากลับตรงกันข้าม พลังงานของพวกเราต่อเนื่องไม่ขาดสาย ต่อให้สู้จนตัวตายไปก็สามารถฝึกฝนร่างแยกออกมาอีกได้อย่างรวดเร็ว บวกกับที่คมมีดโลหิตให้พวกเราฝึกร่างแยกขึ้นมาอีกร่างหนึ่ง…ทำให้พลังโดยรวมของพวกเราได้เปรียบกว่า โรมรันกันมาจนถึงบัดนี้ พวกเขาเป็นฝ่ายโจมตีน้อยมาก”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ยขึ้นว่า “นอกจากเสาศิลาต้นนี้แล้ว เจ้าได้ตรวจสอบบริเวณอื่นโดยละเอียดผ่านค่ายกลที่เชื่อมต่อระหว่างเสาศิลาแล้วหรือยัง”
“เอ๋” ตงป๋อเสวี่ยอิงรีบตรวจดูโดยละเอียดก็พบว่า เสาศิลาสีดำใต้ฝ่าเท้าต้นนี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่ ค่ายกลชั้นแล้วชั้นเล่าแผ่กำจายไปนับล้านล้านลี้ แต่ก็ยังคงเชื่อมต่อไปยังสถานที่อันไกลโพ้นอื่นๆ ผ่านอากาศ ด้วยพลังการสัมผัสรับรู้ของตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้ ก็สามารถตรวจดูไปตามการเชื่อมต่อได้อย่างรวดเร็ว
“สองต้น สามต้น สี่ต้น ห้าต้น…” ตงป๋อเสวี่ยอิงค้นพบอย่างรวดเร็ว
มีเสาศิลาสีดำทั้งหมดสิบต้นซึ่งเชื่อมต่อซึ่งกันและกันรายล้อมที่มั่นของลัทธิจอมมารดาเอาไว้ ทั้งบนฟ้าและใต้ดิน ทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง บริเวณต่างๆ ที่ห่างไกลกันก่อให้เกิดเป็นค่ายกลอันใหญ่โตมโหฬารหาใดเปรียบ อานุภาพยิ่งใหญ่ไพศาล เสาศิลาแต่ละต้นมีโซ่อยู่เป็นจำนวนมาก โซ่เหล่านี้ราวกับพันธนาการที่มั่นของลัทธิจอมมารดาแห่งนั้นเอาไว้ผ่านอากาศ
“จากบัญชีหมื่นสรรพสิ่งที่เจ้าให้ข้ามา ข้าก็ได้พบค่ายกลแห่งหนึ่งในนั้น ซึ่งมีนามว่า ‘เสาหยวนเฉินทั้งสิบสอง’” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ย “ข้าอาศัยวัสดุและสมบัติล้ำค่าที่พวกเรามีอยู่หลอมแปรเสาหยวนเฉินสิบสองต้นนี้ขึ้นมา แม้วัสดุจะด้อยไปบ้าง แต่วิธีการหลอมและการวางค่ายกลต่างๆ ล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น อานุภาพก็คงจะมีสักห้าส่วนของต้นฉบับ”
เสาหยวนเฉินทั้งสิบสองหรือ เห็นๆ กันอยูว่ามีเสาศิลาสิบต้น แต่ค่ายกลกลับเรียกว่าเสาหยวนเฉินทั้งสิบสองอย่างนั้นหรือ
ตงป๋อเสวี่ยอิงงุนงง
“เดิมทีตัวค่ายกลเองมีเสาหยวนเฉินสิบสองต้น แต่ค่ายกลซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่ติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นหนึ่งก็ต้องเสียเวลาไม่น้อยเลย” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกล่าว “ลัทธิจอมมารดาก็มิได้โง่เง่า พวกเขาจะลงมือขัดขวางการวางค่ายกลของพวกเรา บัดนี้พวกเราเพิ่งจะติดตั้งเสาหยวนเฉินไปได้เพียงแค่สิบต้นมิอาจติดตั้งต้นที่สิบเอ็ดได้…ก็เพราะพวกเราขาดกำลังคน ทันทีที่ติดตั้งเสาหยวนเฉินทั้งสิบสองได้สำเร็จ ก็จะสามารถพันธนาการลัทธิจอมมารดาเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ที่มั่นนั้นก็จะถูกปิดผนึกจนสนิทอย่างสิ้นเชิงประหนึ่งคุกจองจำ ทำให้พวกเขามิอาจออกมาได้อีก เมื่อถูกขังเอาไว้ด้านใน ไม่ได้รับทรัพยากร ไม่ได้รับพลังงาน มิอาจบำเพ็ญได้ และมิอาจออกมาได้ด้วย ก็เท่ากับพ่ายแพ้แล้ว”
“ดังนั้นพวกเขาจึงต้องขัดขวางการวางค่ายกลของพวกเราอย่างเต็มที่”
“แต่ว่าก่อนหน้าเสาหยวนเฉินทั้งสิบสองจะก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกลอันสมบูรณ์นั้น อานุภาพของเสาหยวนเฉินแต่ละต้นก็ค่อนข้างอ่อนแอ ต้องมีผู้ปกครองคอยพิทักษ์จึงจะสามารถป้องกันการโจมตีของลัทธิจอมมารดาได้ หากไม่มีผู้ปกครองพิทักษ์แล้วล่ะก็…เจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดากลุ่มใหญ่ร่วมมือกันก็สามารถทำลายค่ายกลเสาหยวนเฉินต้นหนึ่งลงไปได้อย่างง่ายดาย” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกล่าว “เมื่อถูกทำลายลงไปแห่งหนึ่ง พวกเราก็ทำได้แค่ติดตั้งใหม่เท่านั้น ทันทีที่เสาหยวนเฉินซึ่งสำคัญที่สุดถูกชิงไปต้นหนึ่ง การจะหลอมขึ้นมาใหม่อีกครั้งก็ยุ่งยากเป็นอย่างยิ่ง”
“ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีผู้พิทักษ์”
“บัดนี้นรกโลกันตร์ ผู้ครองชิงและประมุขหยวนชูต่างก็มีร่างแยกคนละสองร่าง พวกเขาแบ่งกันพิทักษ์เสาหยวนเฉินหกต้น” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกล่าว “ร่างแยกสองร่างของบรรพชนหุบเหวลึกร่วมแรงกันพิทักษ์เสาหยวนเฉินหนึ่งต้น ส่วนผางอีก็ใช้ร่างแยกสองร่างพิทักษ์เสาหยวนเฉินหนึ่งต้นเช่นกัน”
“ประมุขเกาะกาลมิติและประมุขตำหนักหมื่นเทพ สองคนร่วมมือกันพิทักษ์เสาหยวนเฉินหนึ่งต้น”
“ตามปกติแล้วข้าเป็นผู้พิทักษ์เสาหยวนเฉินต้นที่สิบซึ่งเป็นต้นสุดท้าย” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกล่าว “ทว่าเมื่อต้องติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นที่สิบเอ็ด…ร่างจริงและร่างแยกของข้าก็ต้องเคลื่อนไหวไปด้วยกัน และยังต้องมีวิหคดำช่วยเหลือข้า ข้าจึงสามารถวางค่ายกลได้สำเร็จภายใต้การต้านทานการโจมตีของลัทธิจอมมารดา แต่ถึงตอนนั้น เสาหยวนเฉินต้นที่สิบนี้ก็ได้แต่ให้เจ้าแม่กานเหอมาพิทักษ์แล้ว เมื่อเจ้าแม่กานเหอมิอาจพิทักษ์ได้ จึงมิอาจตั้งเสาหยวนเฉินต้นที่สิบเอ็ดได้มาโดยตลอด”
เจ้าแม่กานเหอพูดอย่างจนใจว่า “ผู้พิทักษ์เสาหยวนเฉินจะต้องรับศึกซึ่งหน้า ต้องใช้พลังสูงส่งยิ่งนัก การต่อสู้ซึ่งหน้าของข้าอ่อนแอเกินไป”
“ข้าและประมุขเกาะกาลมิติต่างก็มีร่างแยกสองร่าง ร่างแยกทั้งหมดสี่ร่างร่วมมือกันจึงสามารถพิทักษ์เสาต้นหนึ่งเอาไว้ได้ เจ้าแม่กานเหอ เรื่องนี้ตำหนิท่านมิได้หรอก” ประมุขตำหนักหมื่นเทพกล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้วก็เข้าใจแจ่มแจ้ง
ร่างจริงและร่างแยกของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพร้อมทั้งอาจารย์อาห้าวิหคดำต้องร่วมมือกันจึงสามารถติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นใหม่ขึ้นมาได้…
ผู้พิทักษ์ก็ได้แต่ต้องเป็นผู้ปกครองท่านอื่นเท่านั้น!
พลังของผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ผู้ครองชิงและประมุขหยวนชูแข็งแกร่งมาก พวกเขาเพียงคนเดียวสามารถพิทักษ์เสาได้ถึงสองต้น
ผางอีและบรรพชนหุบเหวลึกอ่อนแอกว่าอยู่บ้าง พวกเขาหนึ่งคนสามารถพิทักษ์เสาได้หนึ่งต้น
ประมุขเกาะกาลมิติและประมุขตำหนักหมื่นเทพร่วมมือกันจึงสามารถพิทักษ์เสาได้ต้นหนึ่ง
พลังของเจ้าแม่กานเหอสู้ประมุขเกาะกาลมิติและประมุขตำหนักหมื่นเทพมิได้…พิทักษ์เพียงแห่งเดียวก็บกพร่องไปมากแล้ว
“เดิมทีข้ายังหวังว่าวิถีเข่นฆ่าของเจ้าจะสามารถสำเร็จเป็นผู้ปกครองได้ หากเป็นเช่นนั้นพลังการต่อสู้ก็จะแข็งแกร่งขึ้นมากทีเดียว” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ย “แม้จะเป็นผู้ปกครองคนใหม่ แต่เมื่อร่วมมือกับเจ้าแม่กานเหอและอาศัยอานุภาพของค่ายกลเสาหยวนเฉินเอง…ก็ยังคงมีหวังจะพิทักษ์เอาไว้ได้ ตอนนี้วิถีโลกเทียมของเจ้าสำเร็จเป็นผู้ปกครอง”
ผู้ปกครองคนอื่นๆ ต่างก็เสียใจ
วิถีโลกเทียมสำเร็จเป็นผู้ปกครอง การรักษาชีวิตนั้นแข็งแกร่ง แต่การต่อสู้ซึ่งหน้ากลับอ่อนแอเป็นอันมาก
ประมุขหยวนชูพูดยิ้มๆ ว่า “ลองดูก่อนเถิด ถึงอย่างไรก็มีผู้ปกครองเพิ่มขึ้นมาอีกคน อาจจะสามารถตั้งเสาศิลาต้นที่สิบเอ็ดได้ก็เป็นได้”
“พลังของตงป๋ออาจจะอ่อนแอไปบ้าง แต่เมื่อร่วมมือกับเจ้าแม่กานเหอแล้วอาจจะสำเร็จก็เป็นได้” ผางอีก็พูดขึ้นบ้าง “พวกเราไม่สนใจพละกำลังภายในกาย เมื่อมีพลังฟ้าดินคอยส่งเสริมอย่างไม่ขาดสาย ลองดูก็ไม่เสียหายอะไร”
“ลองดูเถิด” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก็พยักหน้าเช่นกัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกจนใจ
เขารู้สึกว่าเหล่าผู้ปกครองในที่นั่นเชื่อใจเขาไม่มากพอ แต่จะยืนกรานโต้เถียงว่าตนเก่งกาจมาก ก็พูดได้ไม่เห็นภาพจริงๆ เอาไว้พิสูจน์ในการต่อสู้ก็แล้วกัน
“เริ่มต้นเมื่อไหร่หรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
“ตั้งตารอคอยมากเลยล่ะสิ” บรรพชนหุบเหวลึกสัพยอก
“มีใจต่อสู้มากทีเดียว” ประมุขหยวนชูก็หัวเราะ
“อย่ารีบร้อนไป ลองดูภาพการโจมตีก่อนหน้านี้ของลัทธิจอมมารดาเสียก่อน จะได้เตรียมตัวเอาไว้” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตส่ายหน้า จากนั้นก็โบกมือคราหนึ่ง กลางอากาศด้านข้างก็มีภาพหนึ่งปรากฏขึ้น
นั่นคือยอดของเสาหยวนเฉินขนาดมหึมาต้นหนึ่ง ผู้ครองชิงศีรษะโล้นเลี่ยนเท้าเปล่าเปลือยสวมอาภรณ์สีทองตัวหลวม กำลังมองดูเรือรบไม้ลำหนึ่งซึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า บนเรือรบยังมีรากจำนวนนับไม่ถ้วนพันเลื้อยอยู่ อานุภาพของเรือรบไม้ลำใหญ่นี้กดดันเข้ามาพร้อมเสียงกึกก้อง…
……
ภาพการต่อสู้ยกแล้วยกเล่า
ตงป๋อเสวี่ยอิงนับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ลัทธิจอมมารดาไม่ยอมต่อสู้กับผู้บำเพ็ญแบบหนึ่งต่อหนึ่งเลย พวกเขาใช้สมบัติล้ำค่าที่สั่งสมมาในการต่อสู้ทั้งสิ้น หากพูดถึงแค่อานุภาพเพียงอย่างเดียวก็เหนือกว่าระดับผู้ปกครองแล้ว มิน่าเล่าก่อนหน้านี้ร่างแยกของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตจึงได้สู้จนตัวตายไปมิใช่เพียงครั้งเดียว ‘เสาหยวนเฉิน’ นี้ก็ไม่ธรรมดาเป็นอันมาก อาศัยเสาหยวนเฉิน ด้วยพลังของผู้ครองชิงแล้วร่างแยกเพียงร่างเดียวก็เพียงพอจะพิทักษ์เสาต้นหนึ่งได้แล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงยังพลั้งปากถามอีกประโยคหนึ่งว่า “ไม่ใช่ว่าพวกเรายังมีร่างจริงอยู่ที่เกาะใจกลางทะเลสาบอีกหรือไร หากมาพิทักษ์ด้วย ก็คงจะสามารถวางค่ายกลสำเร็จได้อย่างรวดเร็วกระมัง”
“ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม! ร่างจริงของพวกเราก็มิอาจเข้าร่วมการต่อสู้ได้เป็นอันขาด!” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดอย่างเข้มงวดขึ้นมาประโยคหนึ่ง
ผางอีก็พูดยิ้มๆ ว่า “พวกเราไม่รู้ว่าลัทธิจอมมารดาจะมีกระบวนท่าอันน่าหวาดหวั่นอื่นใดอีกหรือไม่ เมื่อใช้ร่างจริง หากร่างจริงและร่างแยกสู้จนตัวตายไปหมดแล้วเช่นนั้นก็ต้องตายไปจริงๆ แล้ว! ก่อนหน้านี้ก็มีหลายครั้งที่พวกเราจวนจะชนะ แต่สุดท้ายก็พบว่าลัทธิจอมมารดาจงใจล่อลวงพวกเรา…เคราะห์ดีที่เมื่อพวกเรารู้ตัวว่าถูกล่อลวง ก็ไม่เคยส่งร่างจริงออกไปอีก ดังนั้นพวกเราจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างสิ้นเชิงมาโดยตลอด สมบัติล้ำค่าของพวกเขายิ่งใช้ก็ยิ่งลดลงเรื่อยๆ พลังงานก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ และต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ยิ่งสัมผัสได้ถึงการล่อลวง ก็ยิ่งมิอาจไปวางเดิมพันได้ เนื่องจากจักรวาลผู้บำเพ็ญจะแพ้มิได้!
******
เหนือยอดเสาหยวนเฉินอันสูงตระหง่าน
ตงป๋อเสวี่ยอิงและเจ้าแม่กานเหอต่างก็ยืนอยู่ตรงนั้น
“ถึงเวลาจะต้องต้านทานเอาไว้ให้ได้ ต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลัง ร่างแยกต้องขึ้นไปด้วยกัน” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกำชับ
“วางใจเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ‘ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์แดง’ ร่างอีกร่างหนึ่งของเขาอยู่ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ซึ่งพกติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา สามารถปรากฏกายได้ตลอดเวลา
“อื้ม ข้าจะทุ่มเทสุดกำลังเพื่อวางค่ายกลให้ได้โดยเร็วที่สุด ขอเพียงพวกเจ้าสามารถยืนหยัดจนข้าวางค่ายกลสำเร็จได้ ถึงตอนนั้นขอเพียงร่างแยกร่างหนึ่งของข้าคอยพิทักษ์เสาหยวนเฉินต้นใหม่ ร่างแยกร่างอื่นและวิหคดำล้วนสามารถสนับสนุนพวกเจ้าได้” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตกำชับ “เอาล่ะ ข้าจะไปเริ่มแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
เขามองไปทางทิศอื่นไกลออกไป บนเสาหยวนเฉินต้นอื่นทุกต้นล้วนมีผู้ปกครองอยู่หนึ่งคน ผู้ครองชิง ผางอี ผู้ปกครองนรกโลกันตร์และประมุขหยวนชูและคนอื่นๆ ล้วนมองมาทางเขาพลางยิ้มให้
ครั้งนี้ ที่สำคัญที่สุดก็คือทางตงป๋อเสวี่ยอิง เพราะทิศอื่นๆ นั้น ลัทธิจอมมารดาล้วนเคยลองโจมตีแล้วไม่สำเร็จมาก่อน จึงย่อมมาโจมตีทางด้านนี้เป็นหลัก
“ตงป๋อเสวี่ยอิง ถึงตอนนั้นก็ขึ้นอยู่กับพลังของเจ้าแล้วนะ แน่นอนว่าข้าต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลังอยู่แล้ว” เจ้าแม่กานเหอกล่าว
“เจ้าแม่กานเหอคอยดูให้เต็มที่ก็พอแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังท้องฟ้ารอบด้าน
“ระวังด้วย ทันทีที่พวกเขาพบว่าคมมีดโลหิตวางค่ายกล ก็จะต้องบุกเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุดอย่างแน่นอน” เจ้าแม่กานเหอเตือน ขณะเดียวกันนางก็มองไปรอบด้านอย่างระมัดระวัง นางเชื่อใจตงป๋อเสวี่ยอิงไม่มากพอ แน่นอนว่าตัวนางเองก็ต้องสู้สุดกำลังด้วยตนเอง