Sevens - ตอนที่ 3 เจ็ดบรรพบุรุษ
7 บรรพบุรุษ
หลังจากเผลอหลับคาเก้าอี้กลางทางเดิน
รู้ตัวอีกทีผมก็มาอยู่ในห้องที่ไม่รู้จักพร้อมกับบรรพบุรุษของตัวเองซะงั้น
มันเป็นแบบนี้ได้ไง? ผมไม่เข้าใจอะไรเลย
“เดี๋ยว…”
ห้องนี้มันกว้างทั้งขนาดห้อง โต๊ะ เก้าอี้ที่นั่ง ส่วนผนักพิงก็สูงเหนือหัวไปอีก
บุคคลที่นั่งอยู่รอบๆ ก็เข้ากับบรรยากาศอันสูงส่ง แต่เพราะบางอย่างผมกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความจริง
มีอัญมณีทรงกลมสีน้ำเงินฝังอยู่ทั่วผนังห้อง ตรงกลางโต๊ะก็มีจอกที่เรืองแสงอยู่
[มันเป็นความผิดของเจ้าในการเลี้ยงดูเจ้าเด็กนั่น! ]
[ไม่ใช่ข้า! ตระกูลวอลท์แต่แรกก็สืบทอดด้วยผู้ชาย
แถมไรเอลก็ถูกยอมรับเป็นผู้สืบทอดอย่างชอบธรรมแล้วด้วย! ไม่ใช่เพราะข้าซะหน่อย!
ถ้าข้าอยู่ด้วยตอนเรื่องมันเกิด ข้าจะโบกกระโหลกลูกตัวเองซักสามรอบด้วยซ้ำ! ]
ชายลุคคนเถื่อนกับปู่ของผมกำลังคว้าคอเสื้อของกันและกันพร้อมบวก แล้วเถียงกันฉอดๆ
ผมหันไปหาชายในชุดนักล่าเพื่อขอคำอธิบาย
[ปล่อยเจ้าพวกนั้นไป ไรเอลเดิมถูกนับเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่เก้า
แต่ก็เสียมันให้น้องสาวของตัวเอง พร้อมกับถูกเธอเนรเทศออกจากตระกูล
เรื่องนี้เป็นปัญหาก็จริง แต่ก็ช่างมันไปก่อนเถอะ]
เขาพยายามเข้าเรื่อง แต่ชายลุคคนเถื่อน…เอ่อ ขุนนางที่ดิน ผู้ก่อตั้งตระกูลวอลท์
และผู้นำในการบุกเบิกดินแดน [รุ่นที่หนึง] บราซิล วอลท์ ก็พูดขึ้นมา
[ช่างมันกันผีสิ! ไอ้คนที่มันเสียตำแหน่งให้น้องตัวเองเนี่ยนะจะเป็นผู้นำคนได้? อย่ามาล้อข้าเล่นนะโว้ย! ]
[ไอ้คนเถื่อน! แกว่าอะไรหลานข้านะ!? ]
ปู่ผมต่อยเขากระเด็น
จู่ๆ อากาศก็เย็นขึ้น ชายในชุดนักล่า… [รุ่นที่สอง] คลาสเซล ยังคงเมินพวกเขา
[ปัญหาไม่ใช่ตรงนั้น พวกเจ้านั่งลงก่อน…เอาล่ะ เป็นธรรมดาที่พวกเราจะไม่ยอมรับผู้สืบทอดหญิง
อย่างน้อยก็ข้าคนนึงที่ไม่เอาด้วยแน่ๆ ต่อให้เธอจะแข็งแกร่งแค่ไหน
แต่ข้าสงสัยต้องเปลี่ยนความคิดซะแล้ว]
[รุ่นที่สาม] สเลน วอลท์ เห็นด้วยกับรุ่นที่สอง
เขาสวมชุดขุนนางระดับล่าง และมีบุคลิกชิวๆ
[ใช่ ข้าหมายถึง ข้าก็ขึ้นเป็นผู้นำได้ด้วยตัวเอง และลูกชายของข้า แม็กซ์ ก็ทำได้
แม้ว่าข้าจะมีลูกสาวเช่นกัน]
ผู้สิบทอดรุ่นที่ 3 สเลน เขาเป็นผู้นำคนแรกที่ถูกฆ่าในสนามรบ
แต่ในรูปภาพของเขาที่เหลืออยู่คือ แม่ทัพผู้เที่ยงธรรมที่คอยระวังหลังให้ในขณะที่พระราชาถอยทัพ
เขาถูกพูดถึงเป็นวันแมนอามี่ที่ต้านกองทัพศัตรูนับหมื่นไว้
ผู้ชายตรงหน้าของผมไม่ให้ความรู้สึกแบบนั้นสักนิด
[เดี๋ยว แกตายก่อนขึ้นรับตำแหน่งไม่ใช่เรอะ? รู้รึเปล่าว่าข้าต้องเจอปัญหามากมายแค่ไหนน่ะ!? ]
ชายอีกคนที่อยู่ในเครื่องแบบขุนนาง แต่มีออร่าทรงภูมิปัญญาคล้ายรุ่นที่สอง
[รุ่นที่สี่] แม๊กซ์ วอลท์ คือผู้สืบทอดคนแรกหลังจากตระกูลวอลท์ได้ยศบารอนแล้ว
รุ่นที่ห้าถอนหายใจ
[รุ่นที่ห้า] เฟรดริกส์ วอลท์ เป็นผู้นำที่เจ้าชู้ที่สุด แม้แต่ภรรยาของเขาก็ยังมีถึง 4 คน
ไม่เหมือนภาพที่ผมจินตนาการไว้ เขาค่อนข้างเคร่งขรึม
[เฮ้อ จบสักทีเถอะ ทุกคนก็มีปัญหาของตัวเองกันทั้งนั้นแหละ รวมถึงข้าด้วย]
ชายผมแดงที่ดูน่ากลัวอีกคน [รุ่นที่หก] ไฟนส์ วอลท์ พยักหน้า
เขาคือคนที่ใช้วิธีใต้โต๊ะในการยกระดับตระกูลวอลท์ขึ้นสู่การเป็นเคานต์
ท่านพ่อของผมมักจะแขวนรูปของรุ่นที่หกไว้รอบๆ และเมื่อมีปัญหาอะไรมาถึงตระกูลวอลท์
ท่านพ่อจะเก็บรูปพวกนั้นลง และบ่น
[ใช่ แต่การที่ผู้หญิงขึ้นมาเป้นผู้สืบทอดจากการดวล…บล็อด เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ได้สอนลูกตัวเองผิดๆ น่ะ? ]
[รุ่นที่เจ็ด] บล็อด วอลท์ ปู่ของผม
[ลูกของข้าจากที่สังเกต เขาใช้ได้อยู่นะ และเท่าที่ข้าจำได้ไรเอลควรจะเป็นผู้สืบทอดแล้ว
ส่วนเซเลสก็ได้เริ่มฝึกฝนมารยาทในฐานะขุนนางหญิงด้วยสิ…]
ผมกำลังเห็นบรรพบุรุษของตัวเองกำลังเถียงกันอยู่ตรงหน้า นี่มันเกินความเข้าใจของผมไปไกลสุดๆ แล้ว
หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด รุ่นที่สองก็ได้ข้อสรุป
[เอาล่ะ …เรื่องนี้มันต้องไม่เกิดขึ้น ใช่มั้ย? ]
คำพูดสบายๆ ของเขาถูกเห็นด้วยในทันที
[ใช่]
[ใช่แล้ว]
[ไอ้เจ้าลูกไม่รักดี…มันต้องโดนโบก]
แล้วบทสนทนาก็วนกลับมาที่ผม ครั้งนี้รุ่นที่ 4 ผู้ทรงภูมิคล้ายรุ่นที่ 2 เป็นคนถามผม
[ข้ามีเรื่องสงสัย จริงอยู่ที่ไรเอลแพ้ให้เธอ จึงพักเรื่องความสามารถของเธอไปก่อน
แต่เป็นเรื่องตัวคุณหนูเซเลสเหมาะสมจริงไหม? ]
เมื่อถามถึงเซเลส ผมก็ก้มหน้าเพราะไม่อยากนึกถึงเธออีกแล้ว แต่ผมคงต้องอธิบายเรื่องนี้
‘ถ้ายังไงก็ต้องพูด งั้นก็พูดให้มันจบไปเลย’
ผมเริ่มพูดเรื่องเกี่ยวกับเซเลส
น้องสาวผู้อ่อนกว่าผม 2 ปี เด็กสาวที่ทำอะไรก็สำเร็จไปหมด
สิ่งที่ผมใช้เวลาเป็นร้อยๆ ชั่วโมงเพื่อให้ได้มันมา แต่เธอกลับทำได้ในเวลาชั่วครู่…
และที่สำคัญที่สุด
“น้องสาวของผมสมบูรณ์แบบ ทั้งบู๊ทั้งบุ๋นก็ล้ำเลิศ หรือผมควรจะเรียกว่าบรรยากาศรอบๆ ตัวเธอชั่งอุดมคติ…”
[บรรยากาศ? แล้วไอ้สมบูรณ์แบบนั่นมันอะไร? การที่ผู้หญิงจะเป็นผู้นำตระกูล
มันจะทำให้เสียเปรียบทางการเมืองไม่ใช่รึไง? เธอต้องมีอะไรที่ดีพอจะชดเชยเรื่องนี้ได้สิ]
รุ่นที่หนึ่งที่กำลังนั่งไขว่ห้างบนโต๊ะถามผม
“…เธอมีเสน่ห์ต่อทุกคน เดิมพ่อแม่ก็สนใจผมอยู่ แต่หลังผมอายุได้ 10 ปี
บรรยากาศในคฤหาสน์ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปโดยมีเซเลสเป็นศูนย์กลาง”
จากที่ฟังผม รุ่นที่ 1 ก็เริ่มมึน
รุ่นที่ 4 เข้ามาเป็นผู้นำการสนทนาอีกครั้ง
[หมายความว่าเธอมีพรสวรรค์มากกว่าไรเอล และคนรอบข้างก็รู้สึกถึงมันได้สินะ
ใช่รึเปล่า เจ้าหนูรุ่นที่เจ็ด? ]
ท่านปู่ของผมเอียงคอ
[ไม่นะ ข้ายังมองเธอเป็นหลานที่น่ารักอยู่เลย การที่เธอจะยิ่งใหญ่…ข้าว่าเป็นไปไม่ได้หรอก]
ท่านปู่บอกปฎิเสธ ผมก็คิดเหมือนกัน ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่บรรยากาศในคฤหาสน์ก็ยังปกติดี
และผมก็ไม่ได้รู้สึกยกย่องเธอเหมือนคนอื่นด้วยสิ
[งั้นช่วงที่บรรยากาศเปลี่ยนไป คือตอนที่เธออายุราวๆ 7-8 ปีสินะ เป็นช่วงเวลาที่สกิลปรากฎออกมาบ่อย
นั่นอาจเป็นสกิลของเธอที่ตื่นขึ้นก็ได้นะ]
ความคิดนั้นถูกปัดตกโดยรุ่นที่สาม
[ข้าว่าไม่ใช่ แม้สกิลจะตื่นขึ้แล้วก็จริง แต่ใช่ว่าจะรู้กันได้เลยทันที ถึงจะมีโอกาสเป็นไปได้
กว่าจะฝึกจนใช้งานได้จริงก็อายุประมาณ 10 ปีพอดี แต่เวลามันจะไม่โป๊ะเช๊ะกันเกินไปเหรอ?
ขนาดตัวไรเอลเองอายุ 15 แแล้วยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสกิลของตัวเองคืออะไรน่ะ]
[สกิล] …สำหรับมนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ ถือเป็นคำอวยพรอันศักสิทธิ์จากเวทมนต์ของพระเจ้า
โดยมีกฎเกณฑ์ว่าหนึ่งสกิลต่อหนึ่งบุคคล และสกิลสามารถพัฒนาได้จากการใช้งานจริงหรือจากการต่อสู้
แน่นอนว่าในอดีตก็มีเทคโนโลยีที่ทำให้สร้างสกิลขึ้นมาได้ อย่างอัญมณีที่ผมได้รับสืบทอดมานี้
‘จะว่าไป เราเริ่มได้ยินเสียงพวกเขาตั้งแต่ตอนที่อยู่ในกระท่อมของแซลนี่?
และก็เริ่มได้ยินชัดขึ้นเรื่อยๆ หลังจากได้อัญมณีมา’
เมื่อรู้ตัวผมก็เงยหน้าขึ้น ผมคงเหม่อนานไปหน่อย รุ่นที่สามเริ่มพูดเกี่ยวกับสกิลที่ผมได้รับ
[ถึงจะไม่รู้กฎตายตัว แต่อัญมณีนี้จะมีปฎิกิริยากับสกิลและพยายามเก็บมันไว้ พวกเราทั้งหมดถึงถูกบันทึกไว้แบบนี้ล่ะนะ]
ผมประหลาดใจกับความรู้ของรุ่นที่สาม และยืนยันสกิลของตัวเอง
“อืม สรุปแล้วสกิลที่ข้ามีคืออะไรครับ? “
[ข้าไม่รู้ละเอียดนัก แต่การที่อัญมณีเปลี่ยนเป็นสีฟ้ามาจากการสัมผัสถึงสกิลของ [ฝ่ายสนับสนุน] ]
สกิลโดยทั่วไปจะแบ่งเป็น สามประเภทใหญ่ๆ
หมวดแรกคือการต่อสู้ระยะประชิด [แนวหน้า] จะถูกเรียกว่าอัญมณีสีแดง
อัญมณีสีเหลืองคือสกิลของ [แนวหลัง]
และสีฟ้าคือฝ่ายสนับสนุน
การจำแนกสกิลทั้งสามประภทนี้ ในอดีตก็มีการกล่าวถึงไว้ว่าสามารถเลือกสายสกิลเองได้ด้วยอัญมณี
เหตุผลที่ตระกูลวอลท์มีแต่สกิลสนับสนุนซะเยอะ เพราะพวกเขาพกอัญมณีสีน้ำเงินไว้นั่นเอง
“…นั่นทำให้ข้ากลายเป็นซัพพอตงั้นเหรอ? “
[เจ้าดูผิดหวังนะ แต่ในสมัยของข้า ซัพพอตคือที่สุดล่ะ]
รุ่นที่สามเริ่มพูดต่อเมื่อเห็นใบหน้าของผม
ในยุคปัจจุบัน ไฟพลังทำลายล้างสูงของแนวหลังเป้นที่ต้องการมากกว่า
[ในยุคของข้า มันคือแนวหน้าและซัพพอต การได้แนวหลังถือเป็นโชคร้ายนะ]
เมื่อปู่ของผมพูด รุ่นที่สองก็สงสัย
[ยุคของข้าซัพพอตถือว่าอาภัพเลยนะ มันเปลี่ยนตามเวลารึเปล่า? ]
รุ่นที่สี่พาการสนทนาที่เริ่มออกทะเลกลับเข้าฝั่ง
[ในเมื่อเจ้าบอกว่าคุณหนูเซเลสอาจมีสกิลบางอย่างตื่นขึ้น และใช้มันทำให้คนพวกนั้นเปลี่ยนใจได้
นั่นหมายความว่าตัวไรเอลเองไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นผู้สืบทอดสินะ]
เมื่อได้ยินแบบนั้น ผมก็พูดอะไรไม่ออก ผมพยายามถึงที่สุดแล้ว
แต่ความทุ่มเทนั้นมันก็ไม่พอที่จะทำให้ทุกคนยอมรับผมเป็นผู้สืบทอดได้
ในตระกูลวอลท์ที่ถือเป็นขุนนางยศเคานต์ การที่โดยบอกว่าขาดคุณสมบัติเป็นผู้สืบทอด มันถือเป็นจุดจบ
แต่
[แต่มันก็แปลกเกินไป ดูจากสิ่งที่พวกเขาทำกับเจ้าหนู คือเจ้านี่มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น เขามีทั้งผู้ติดตามที่ดี
แม้ตัวไรเอลจะไม่น่าพึ่งพาแค่ไหน แต่เด็กผู้ชายก็ควรถูกเลือกเป็นผู้สืบทอดสิ แม้เซเลสจะมีพรสวรรค์มาก
แต่ความเสี่ยงที่เกิดจากการแต่งตั้งเธอขึ้นเป็นผู้สืบทอดมันสูงเกินไป]
รุ่นที่ห้าพูดถึงการเหยียดผู้นำหญิงออกมาอย่างหน้าตาเฉย แต่ในความเป็นจริงก็มีบางตระกูลที่มีผู้นำหญิงเช่นกัน
แต่สาเหตุหลักคือเป็นตัวแทนผู้นำ หรือเป็นประเพณีเฉพาะตระกูลนั้นๆ ในตระกูลที่มีแต่เชื้อสายฝ่ายหญิงเอง
ก็พูดถึงการรับผู้ชายแต่งเข้าบ้านมาเป็นผู้นำอยู่ แต่ไม่บ่อยนัก
ผมหมายถึง เพราะผู้นำในเวลานั้นของตระกูลอยู่ระหว่างการออกรบน่ะ
จะมีน้อยตระกูลที่จะส่งหญิงไปแต่งเข้าบ้านอื่นในช่วงสงคราม แม้จะมีอยู่แต่ก็น้อยมากจริงๆ
[บล็อดแล้วพวกตระกูลบริวารล่ะ? มีพวกไหนที่มาใกล้เธอในแผนการเข้าควบคุมตระกูลบ้าง? ]
ปู่ของผมคิดตามคำพูดของรุ่นที่หก
[ข้าจะไม่พูดว่าไม่มีคนพวกนั้นเลย แต่สถานะทางสังคมของตระกุลพวกนั้นต่ำเกินไป
มันไม่มีทางที่แผนแต่งเข้าบ้านจะสำเร็จ ตระกูลที่ฐานะใกล้เคียงเรามากที่สุดก็คงเป็นตระกูลเก่าแก่อย่างฟอกซ์
แต่พวกเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มานานมากแล้วนะ..]
รุ่นที่สองตกใจ
[ห๊ะ? เจ้าบอกว่าฟอกซ์คือบริวารของเจ้างั้นเหรอ? อะไรกัน!? ]
รุ่นที่หนึ่งที่ตอนแรกสติหลุดไปก็ลุกขึ้นยืนอย่างสับสน
[เจ้าหมายถึงฟอกซ์นั้นเรอะ!? จากดินแดนข้างๆ น่ะนะ!? ตระกูลของตาแก่นั่นใช่มั้ย!? ]
ตาแก่? ผมไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไร
นานมาแล้ว ตระกูลฟอกซ์ยอมจำนนต่อตระกูลวอลท์ พวกเขาคล้ายผู้ติดตามของตระกูลเรา
และเป็นขุนนางชั้นบารอนที่ได้รับดินแดนจากบรรพบุรุษของตระกูลวอลท์
รุ่นที่สี่ก็สับสนเช่นกัน
แต่รุ่นที่ห้า…
[แล้วไง? พวกเราได้รับการครอบครองดินแดนรอบๆ จากยศที่สูงขึ้น สำหรับตระกูลฟอกซ์ที่ลังเลจะย้ายออก
พวกเราก็กรุณาอนุญาตให้อยู่อาศัยได้ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะรับใช้เราไม่ใช่รึไง? ]
ตอนนั้นรุ่นที่สองก็ตะโกนขึ้น
[อย่ามาล้อข้าเล่นนะ!? เจ้ารู้มั้ยว่าพวกเราเป็นหนี้พวกเขามากแค่ไหน!?
พวกเจ้ารู้ไว้เลยนะ ถ้าตระฟอกซ์ไม่อยู่ข้างเรา ตระกูลของพวกเราจะล่มสลายไปนานแล้ว! ]
รุ่นที่สองเน้นย้ำว่าพวกเขามีคุณกับพวกเราขนาดไหน และรุ่นที่สี่ก็ถามรุ่นที่ห้าด้วยใบหน้าประหลาดใจ
[นี่หมายความว่าไง? ข้าบอกเจ้าไปแล้ว? ว่าพวกเขาช่วยเหลือเราไว้มากแค่ไหน
เจ้าจะต้องรักษาความสัมพันธ์กับพวกเขาไว้ให้ดี ใช่มั้ย!? ]
รุ่นที่ห้าตอบอย่างไม่สนใจ
[ครับ ครับ ข้าถึงเดินเรื่องให้ตระกูลฟอกซ์ได้รับยศขุนนางมาแล้วนี่ไง ข้าทำให้แล้วหนิ? ]
รุ่นที่ห้าขอคำยืนยันจากรุ่นที่หก ซึ่งเขาก็พยักหน้า
[เยี่ยม เจ้าทำไปแล้ว]
ขณะที่ฟังพวกเขาคุยกัน ผมก็คิด
‘มันซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆเลย แต่เดี๋ยว ทำไมเสียงมันเริ่มห่างไปเรื่อยล่ะ.. ‘
และผมก็ได้ยินเสียงของคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้
“ท่านไรเอล? “
.
.
.
“ท่านไรเอล ข้าเช็ดตัวเสร็จแล้วนะ”
“อ่าห์…ใช่”
เมื่อผมลืมตาขึ้น ผมยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเดิม อาจจะเพราะผมเหนื่อยเลยหลับค่อนข้างลึก
หลังจากเช็ดตัว และทำความสะอาดผมเสร็จ โนแวมก็อยู่ตรงหน้าผม
“ข้าเห็นท่านเหนื่อย เลยล้างชุดชั้นในในน้ำร้อนให้และตากอยู่ พรุ่งนี้น่าจะแห้งทันนะ”
“อ่า ขอโทษทีนะ”
ผมยืนขึ้นเซๆ โนแวมเข้ามาพยุง และพาผมไปที่ห้อง
‘ฝันเหรอ? ‘
พอคิดแบบนั้น เสียงของรุ่นที่ห้าก็ดังขึ้นมาทันที
[เดี๋ยวนะ…สกุลของเด็กคนนั้นคือ? ข้าอยากรู้เพราะบรรยากาศของเธอดูคุ้นๆ… ]
เสียงปู่ของผมเป็นคนตอบ
[เธอโตขึ้นมาก เธอคือลูกสาวคนที่สองของตระกูลฟอกซ์ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะมาเป็นคู่หมั้นของไรเอลได้
เพราะสถานะของพวกเขาต่างกันเกินไป]
[ว๊ากกกกก! ]
รุ่นที่หนึ่งกรีดร้อง มันหนวกหูจริงๆ แต่เหมือนโนแวมจะไม่ได้ยินเหมือนเคย
“…ไม่ใช่ฝันสินะ”
ผมพึมพำ โนแวมหันมาถาม
“มีอะไรหรือคะ ท่านไรเอล? “
ผมรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน ผมเพลียมากกว่าก่อนหลับบนเก้าอี้ซะอีก
แค่เดินยังเหนื่อย ผมไม่เคยรู้สึกอ่อนเพลียขนาดนี้มาก่อน
พอโนแวมพามาถึงเตียง ผมผล็อยหลับทันที และได้ยินเสียงอันอ่อนโยนของเธอ
เมื่อผมเอนตัวลงนอน เธอก็ห่มผ้าให้
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ท่านไรเอล”
—
ยัง ยังปูเรื่องอยู่ แปลไปจะหลับ