Sevens - ตอนที่ 1 ไรเอล ขุนนางผู้ร่วงหล่น
ขุนนางผู้ร่วงหล่น ไรเอล
ตัวผมในกระจกมีผมเผ้าไม่เป็นทรง
ใบหน้าอิดโรย ตามตัวมีผ้าพันแผลเปื้อนเลือดพันอยู่ แต่โดยรวมแผลก็สมานกันดีแล้ว
แผลไฟไหม้ก็ได้รับยาเฉพาะทาง จนเริ่มมองเห็นได้ยาก
“แผลเป็นยังไงบ้างครับ นายน้อย? “
ผมหันไปทางเสียงที่เรียก พลางกล่าวขอบคุณชายชราตรงหน้า
“ขอบคุณครับ มันดูดีขึ้นมากเลย”
ชายแก่คนนี้เป็นคนสวนที่อาศัยอยู่ในกระท่อมข้างสนามหญ้าของคฤหาสน์
จากที่เล่ามาเขาเคยอยู่กับครอบครัว แต่หลังภรรยาเสีย เขาจึงย้ายมาอยู่คนเดียวในกระท่อมหลังนี้
ในพื้นที่กว้างขวางของคฤหาสน์ กระท่อมนี้อยู่ในซอยลับ
ซึ่งเหมือนจะถูกดัดแปลงมาจากอดีตกระต๊อบเก็บของ
“ดีแล้วล่ะ ตอนนั้นอาการท่านค่อนข้างหนักทีเดียว ถ้าข้าเป็นหมอหลวง ข้าคงจะดูแลท่านได้ดีกว่านี้อีกหน่อย…”
ชายแก่คนนี้ขอโทษผมด้วยท่าทางที่เหมือนทหารเก่า
แม้เขาจะมีความรู้ด้านการดูแลแผลอยู่บ้าง แต่เขาก็รักษาผมได้อย่างชำนาญเลยล่ะ
แต่ตอนนี้ เรื่องที่ ด่วนกว่าความรู้ของชายแก่ตรงหน้า ก็คือ…
“…ข้าถูกพ่อแม่เขี่ยทิ้งเรียบร้อย ฮะ ฮะ ฮะ นอกจากหัวเราะ ข้าก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว”
ขณะมองผมที่หัวเราะอย่างไร้วิญญาน เขา…[แซล] ก็นั่งลงบนเก้าอี้
เมื่อชายชราอายุเกินเลขเจ็ด เขาก็ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ไปกับการดูแลสวนของคฤหาสน์
แม้จะมีชาวสวนหลายคนที่คอยรับใช้ตระกูล แต่ก็มีแค่แซลเท่านั้นที่แยกตัวออกมาอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม
เหมือนผมจะเคยได้ยินพ่อกับแม่คุยกันเกี่ยวกับปัญหาบางอย่าง
ในการไล่คนที่เคยรับใช้ท่านปู่ของผมออกจากตระกูลอยู่นะ
เขาแบกร่างไร้สติผมมาที่นี่ อีกทั้งคอยดูแลรักษาพยาบาลตลอด 3 วัน
ผมนั่งลงบนเตียงและกล่าวขอบคุณชายแก่อีกครั้ง
“แซล ขอบคุณที่ช่วยข้าเอาไว้นะ ข้าไม่มีอะไรจะตอบแทนเจ้าได้เลย”
แซลมองผมขำๆ แล้วถอนหายใจ
“ข้าเห็นท่านอาการดีขึ้นแล้วก็โล่งใจ แต่บรรยากาศในคฤหาสน์ช่วงนี้ช่างแปลกไปเหลือเกิน”
สาเหตุที่แซลถอนหายมาจากเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์ช่วงห้าปีหลังมานี้
บางครั้งผมก็คิดว่ามันแปลกเหมือนกัน แต่การที่ผมเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์พวกนั้นตลอดอาจจะทำให้ผมไม่รู้ตัวก็ได้
“เรื่องในคราวนี้ ที่ให้คุณหนูเป็นผู้สืบทอดแทนนายน้อย…หากบรรพบุรุษรู้เข้าพวกท่านคงโกรธแน่”
ท่านปู่ของผม บล็อด วอลท์ เป็นขุนนางผู้เคร่งครัด ท่านได้รับการแต่งตั้งยศเคาน์โดยตรงจากราชสำนัก
และขึ้นเป็นขุนนางปกครองอาณาเขตโดยรอบนี้
ซึ่งทำให้ท่านปู่มีกองทัพเป็นของตัวเอง
นอกจากนี้ตระกูลวอลท์ยังคอยเป็นที่ปรึกษาให้แก่เหล่าราชวงศ์อีกด้วย
ในยุคนั้น ท่านปู่เคยถูกเรียกไปพระราชวังเพื่อพูดคุยกับพระราชาบ่อยๆ ผมได้ยินมาจากท่านพ่ออีกทีนะ
แต่ท่านก็เป็นคนที่เข้มงวดเอามากๆ
ท่านปู่แข็งแกร่งทั้งการรบ และทั้งทุ่มเทให้งานบริหารบ้านเมือง
พระราชาองค์ถัดมาก็ยังคงยกย่องท่านปู่เป็นขุนนางแนวหน้าของประเทศบานเซม (Bahnseim.)
โดยด้านที่อ่อนโยนของท่านมักจะแสดงออกมาต่อหลานของตัวเองมากกว่า
ยิ่งผมที่เป็นหลานชายคนแรกของท่านด้วยแล้ว
“ข้าเคารพนับถือท่าน แต่ตอนนี้ข้าที่ไม่ได้เป็นผู้สืบทอดคงไม่มีหน้าไปพบกับท่านหรอก”
ผมทำให้ท่านผิดหวัง พอคิดถึงเรื่องนี้ ความพยายามตลอดมาของผมช่างสูญเปล่า
ตอนนี้ผมไม่เหลืออะไรแล้ว
“นายน้อย…อย่าโทษตัวเองเลย ท่านยังหนุ่มยังแน่น ได้โปรดอย่าเพิ่งยอมแพ้กับชีวิตที่เหลือสิ”
“ขอบคุณนะ แต่ข้าไม่รู้จะทำอะไรต่อแล้ว ตลอดมา ข้ามีเพียงเป้าหมายเดียวคือการเป็นผู้ปกครองที่ดี
ซึ่งตอนนี้มันหายไปแล้ว ข้าไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนด้วยซ้ำ น่าสมเพชไหมล่ะ? “
ขณะที่ผมยิ้มเยาะตัวเองอยู่ แซลก็ลุกขึ้นเข้าครัวไปเอาเครื่องดื่ม
ผมก่ายหน้าตัวเอง และเริ่มคิดว่าต่อจากนี้ตัวเองจะทำยังไงต่อ
“ข้าอยู่ตรงนี้ไม่ได้อีกแล้ว ข้าต้องหาที่ไปสักที่”
.
.
.
ผมที่ได้รับการดูแลจากแซล พอถึงวันที่ 5 ก็ถอดผ้าพันแผลทั้งหมดออกได้แล้ว
ไม่รู้ว่าเขาใช้ยาแพงกับผมหรือเปล่า แต่แผลของผมก็หายอย่างรวดเร็ว
การที่อยู่รบกวนเขามาเป็นเวลานานเริ่มทำให้ผมรู้สึกไม่ดี แถมผมก็ถูกเนรเทศออกจากที่นี่แล้วด้วย
และผมอาจนำปัญหามาให้ผู้มีพระคุณของตัวเอง
ในตอนที่เรากำลังทานอาหารเย็นกัน
ผมก็นึกถึงเรื่องเล่าของแซลถึงฉากที่ท่านปู่ของผมควบทยานฝ่าสนามรบ และเรื่องที่ท่านกระทำในเมืองหลวง
ผมจำได้ว่าพูดกับเขา ที่กำลังเล่าเรื่องในมื้ออาหารเย็นของวันที่ 3 ว่า
“แซล ผมตัดสินใจว่าจะไปเป็นนักผจญภัยน่ะ”
“ท่านพูดว่านักผจญภัยเรอะ? มันก็มีอยู่บ้างที่ขุนนางพอไม่ได้เป็นผู้สืบทอดก็หันไปเป็นนักผจญภัยกัน
แต่ท่านมีทั้งวิชาความรู้และเวทมนต์เลยนะ ไปทำงานให้ราชวงศ์ไม่ดีกว่าหรือ? “
ผมส่ายหน้า
ผมอาจสร้างปัญหาถ้าไปทำงานแบบนั้น เพราะตระกูลวอลท์ค่อนข้างกว้างขวาง และมีอิทธิพลมาก
การจะข่มขู่นายจ้างของผมคงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเซเลสเลยล่ะ
“ข้าเสียทุกอย่างไปแล้วน่ะ ข้าจึงอยากรู้ว่าด้วยกำลังตัวเองลำพังนั้น จะไคว่คว้าอะไรมาได้บ้าง”
“…งั้นรึ ถ้านั่นเป็นเส้นทางที่นายน้อยเลือกเอง ข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก”
“แล้วก็ ตามเรื่องเล่าของเจ้าที่ว่า นักผจญภัยที่มีชื่อเสียงจะรวยล้นฟ้าเลยใช่ไหมล่ะ?
ข้าจะกลับมาจ่ายหนี้เจ้าในสักวัน ในตอนนั้นข้าอาจจะกลายเป็นนักผจญภัยที่ยิ่งใหญ่เลยนะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าจะรอท่านนะนายน้อย”
แซลหัวเราเสียงดัง
เขาขำมุกของผมมากไปแล้ว ที่จริงในใจผมก็ไม่คิดว่าอาชีพนักผจญภัยจะราบรื่นนักหรอก
ถึงจะเห็นแบบนี้ ผมก็ถูกเลี้ยงดูขึ้นมาเพื่อผู้นำ
ด้วยตำแหน่งขุนนาง ผมก็รับรู้ถึงความยากลำบากของตัวตนที่ถูกเรียกว่านักผจญภัย
พวกเขาเข้าท้าทายกับสิ่งที่ไม่รู้จัก และเอาตัวรอดกลับมาจากเขาวงกตลึกลับพร้อมสมบัติมหาศาล
พวกเด็กๆ อาจจะเรียกพวกเขาว่ากลุ่มคนที่ไล่ตามความฝัน
แต่ที่จริงแล้วพวกเขาเป็นแค่กลุ่มอันธพาลที่ชอบอยู่รวมกัน
บางพวกเรียกว่าทหารรับจ้างน่าจะเหมาะกว่า
พวกเขาสามารถปล้นสะดมหมู่บ้านได้หน้าตาเฉยเลยล่ะ
บางครั้งพวกเขาก็ออกล่ามอนสเตอร์หาเลี้ยงชีพ
โดยรวมแล้วนักผจญภัยส่วนใหญ่จะอยู่กันอย่างลำบาก
แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาทั้งหมดจะเลวร้ายไปซะทีเดียว
กลุ่มนักผจญภัยที่มีชื่อเสียงพอ จะได้คำว่าจ้างกำไรงามจากวังหลวง
ยิ่งเป็นกลุ่มทหารรับจ้างขนาดย่อม ก็จะเรียกร้องค่าตอบแทนก้อนโตตามผลงานได้
“เอาล่ะ นักผจญภัยงั้นเหรอ? ข้าได้ยินมาว่ามีเมืองเปิดที่ชื่อว่า บาอัม (Beim)
น่าจะเป็นที่ๆ เหมาะสำหรับการเริ่มต้นของท่านนะ”
ผมสอบถามเพิ่มเติมกับแซล
“บาอัม? เป็นเมืองที่ไม่มีขุนนาง และปกครองด้วยระบบพ่อค้าใช่รึเปล่า?
ที่นั่นเป็นศูนย์กลางการค้าขายระหว่างดินแดนนับไม่ถ้วนเลยสินะ”
“เพราะแบบนั้นแหละ ที่นั่นไม่ได้อยู่ในการดูแลของประเทศ และง่ายต่อการตั้งตัวในฐานะนักผจญภัย
แต่ก็มีอาชญากรมากตามไปด้วยล่ะนะ”
มีนักผจญภัยไม่น้อยที่กลายเป็นอาชญากร
เมื่อมันเกิดขึ้น บุคคลนั้นก็จะไม่ถูกนับว่าเป็นนักผจญภัยอีกต่อไป และถูกออกหมายจับ
แต่เมื่อพวกเขาหลบหนีไปถึงเมืองแห่งการค้าบาอัมได้
กลับไม่มีประเทศไหนเลยที่สามารถตามล่าพวกเขาได้อย่างเปิดเผย
การที่ได้ยินเรื่องนี้ ทำให้ผมลังเลที่จะไปเริ่มต้นใหม่ที่นั่นเหมือนกัน
แซลเหมือนจะรู้ความคิดของผม
“ท่านไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากขนาดนั้น ถ้าไม่ได้ไปอยู่ผิดที่ผิดทางจริงๆ มันก็ไม่มีทางได้เจอพวกเขาหรอก”
“ข-ข้ารู้ ถึงอย่างนั้นข้าว่าที่เมืองหลวงก็ดีอยู่แล้วนะ ไหนจะ…”
แม้ในอาณาเขตของตระกูลวอลท์ก็มีกิลด์นักผจญภัยอยู่เช่นกัน
ซึ่งมันเป็นไปได้ที่พ่อของผมจะเข้ามายุ่มย่าม ทางที่ดีผมควรเลี่ยงความเสี่ยงทั้งหมดล่ะนะ
ถ้าผมจะอยู่ในประเทศนี้ ผมก็ต้องหาที่ๆ อิทธิพลของพ่อไปไม่ถึง
ด้วยความคิดนี้ เหมืองหลวงจึงเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวในตอนแรก
“ในบรรดาชนชั้นสูงของเมืองหลวง มีตระกูลขุนนางไม่น้อยเลยที่มีความสัมพันธ์กับตระกูลวอลท์
แม้จะไม่ใช่ตัวเลือกที่แย่ แต่ก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับท่านหรอกนะ”
“ใช่ แต่ข้าไม่มีเงินสำหรับเดินทางไปที่บาอัมหรอกนะ
อีกอย่าง ข้าอยากวัดว่าทักษะของตัวเองอยู่ในระดับไหนด้วย”
เมืองหลวงไฮม์เป็นเมืองแห่งการค้า และเป็นที่ๆ นักผจญภัยจำนวนมากแข่งขันกันหางาน
สรุปคือ ถ้าไม่เจ๋งพอก็อยู่ไม่รอดหรอก
“นั่นสินะ การที่จะแวะเมืองหลวงก่อนก็ไม่เลว แต่ข้าไม่แนะนำให้ท่านอยู่นานจนเกินไปนะ”
“แล้วนอกจากเมืองหลวงมีที่ไหนอีกรึเปล่า? “
เมื่อมีโอกาสผมจึงถามเขาไปเรื่อยๆ ในเมื่อเขาผ่านสนามรบมามากมายร่วมกับท่านปู่
ผมจึงคิดว่าแซลน่าจะรู้จักดินแดนต่างๆ นับไม่ถ้วน
ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยคุยกับเขามาก่อนเลย
แต่พอคุยด้วยแล้วทำให้ผมรู้ว่าชายแก่คนนี้มีเรื่องราวน่าสนใจมากมาย
“งั้นเมืองเดลลีนข้างๆ เมืองหลวงล่ะ? ที่นั่นอยู่ง่ายนะ”
“เดลลีน? ข้ารู้จักแค่ชื่อน่ะ”
“ในแง่ของการพัฒนา ที่นั่นด้อยกว่าเขตของเราทำให้หางานทำได้ง่ายนะ”
“งาน? เจ้าหมายถึงการล่ามอนสเตอร์งั้นหรือ? “
เมื่อได้ยินที่ผมพูด หางตาของเขาก็ชี้ขึ้นด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
“เอาล่ะ เหมือนท่านจะไม่ค่อยรู้ว่าคนปกติเขาทำงานกันยังไงนะ ช่วยไม่ได้ งั้นให้ข้าอธิบายก่อน”
แซลเริ่มอธิบายว่านักผจญภัยคืออะไร ภาพในหัวของผมคือ พวกเขามีงานหลักคือเข้าไปในดันเจี้ยน
และบางครั้งก็ต่อสู้ในสนามรบตามการว่าจ้าง
แต่ที่เขาอธิบาย…
“นักผจญภัยคืออาชีพที่รับงานอะไรก็ได้แล้วทำให้สำเร็จ ตอนเริ่มแรกพวกเขาไม่ได้ออกล่ามอนสเตอร์
หรือเข้าไปท้าทายดันเจี้ยนกันหรอก มีแต่งานแปลกๆ ที่หน้าใหม่ส่วนใหญ่เขาเน้นทำงานเป็นจับฉ่าย
เพื่อเก็บเงินไปซื้ออุปกรณืที่จำเป็นกัน”
“ง-งั้นเหรอ? แต่ก็มีงานอันตรายที่ต้องใช้ความช่ำชองด้วยใช่มั้ยล่ะ? “
“เรื่องนั้นกิลด์จะเป็นคนรับใบคำร้อง ดูความเหมาะสมของผู้รับงานและจ่ายค่าจ้างในแต่ละวัน
อืม จะว่าไปก็คล้ายบริษัทจัดหางานอยู่นะ หลักๆ กิลด์นักผจญภัยจะเป็นหน่วยงานที่คอยดูแลประชาชน
หรือท่านจะเรียกว่างานที่ใช้แรงแลกเงินก็ได้นะ”
แซลอธิบายอีกด้านของนักผจญภัยที่ผมไม่อยากรู้
อย่างว่า ไม่มีเรื่องอะไรที่ราบลื่นหรอก
“ถึงงานที่พวกเขาทำจะธรรมดา แต่นักผจญภัยก็ต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ
เพราะถ้างานที่พวกเขาทำออกมาแย่ ก็จะเป็นตัวพวกเขาเองที่เดือดร้อนมากกว่าทางกิลด์เสียอีก”
“เป็นแบบนี้นี่เอง? ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
สำหรับผมที่มีชีวิตอยู่เพื่อสืบตระกูล เรื่องพวกนี้ผมไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลย
เพราะบางอย่าง แซลดูมีความสุข
“มีอะไรหรือ? “
“เปล่าหรอก ข้าคอยรับใช้ที่นี่มาตั้งแต่รุ่นก่อนแล้ว แต่กลับไม่เคยได้คุยกับผู้สืบทอดแบบนี้เลย
ตั้งแต่ตอนที่นายท่านคนปัจจุบันเกิดขึ้นมา”
ในยุคของท่านปู่ ตระกูลวอลท์ถึงเริ่มเป็นที่ยอมรับในฐานะไวเคานต์
เพราะก่อนหน้านั้น ต้นตระกูลวอลท์เอาแต่ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อกว้านซื้อที่ดินมามากมายอย่างเดียว
แม้ตอนนี้ท่านพ่อก็ยังคงละเหี่ยใจอยู่
ท่านทวด พ่อทวด และปู่ทวดของผม พวกเขาคงบริหารบ้านเมืองเพื่อนเลื่อนยศไม่เก่งนัก
จากจุดนั้น ท่านพ่อก็ถูกเลี้ยงดูเพื่อเป็นผู้นำตระกูลไวเคานต์เลย
ในขณะที่ท่านปู่เป็นไวเคานต์จากการเป็นผู้นำกองทัพ และผ่านสนามรบมากมาย
ผมคิดว่า ท่านพ่อของผมคงไม่รู้จักแซลด้วยซ้ำ
“…จะว่าไป นายน้อยเคยเจอเรื่องแปลกๆ ในกระท่อมของผมบ้างไหม? “
ผมบอกไปว่าฝันแปลกๆ แล้วก็กินข้าวต่อ
แซลมองมายังผมด้วยสายตาที่เบิกกว้าง
.
.
.
เช้าวันต่อมา
ผมใส่เสื้อผ้าที่ยืมมาจากแซล แล้วทับด้วยเสื้อคลุมอีกชั้นนึง
“มันเป็นเสื้อที่ลูกของข้าเหลือไว้ ขนาดดูพอดีตัวท่านเลยนะ”
“ข้าขอโทษจริงๆ ที่มารบกวนเจ้าขนาดนี้ ข้าจะมาใช้คืนแน่นอน”
แซลส่ายหัว
“ไม่ ไม่ ท่านขอโทษข้ามาพอแล้วล่ะ เอาล่ะ ท่านนำนี่ไปด้วยสิ”
เขาพูดพร้อมวางกระเป๋าหนังลงบนมือผม ในนัน้มีเหรียญอยู่จำนวนหนึ่ง
“ไม่ ข้าไม่อาจรับเงินจากเจ้าได้หรอก…”
สำหรับผมมันดูไม่เยอะ แต่คงไม่ใช่สำหรับแซล ผมรู้ว่าค่าเงินในหัวผมกับเขาต่างกันลิบลับ และปฎิเสธมัน
ถึงอย่างนั้น แซลก็ยังดันกลับมา
“ท่านจำเป็นต้องใช้มัน คนเราจะทำอะไรได้ถ้าไม่มีเงินเลยน่ะ?
แล้วท่านบอกว่าสักวันจะมาจ่ายคืนใช่ไหม คิดซะว่ามันเป็นการลงทุนของข้าก็ได้นะ”
เมื่อเขาบอกแบบนั้นผมจึงรับเงินมา และกล่าวขอบคุณ
“ข-ข้าขอโทษจริงๆ นะ”
“ไม่เป็น เท่านี้ข้าก็ทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับผู้นำท่านก่อนสำเร็จเสียที”
“สัญญา? “
ผมเอียงคอสงสัย แซลจึงนำกล่องไม้เล็กๆ ออกมาเปิดตรงหน้าผม ด้านในนั้นมีอัญมณีสีน้ำเงินอยู่
แร่เงินถูกสลักเป็นลวดลายอย่างปราณีตรอบๆ ตัวกล่อง
ผมเห็นแค่แว๊บเดียวก็รู้ว่ามันเป็นงานศิลป์ที่ประเมินค่าไม่ได้
“ไม่ ข้าไม่มีทางรับมันแน่…”
“สิ่งนี้เป็นของท่านผู้นำคนก่อน…ไม่สิ อัญมณีเม็ดสืบทอดต่อกันมารุ่นต่อรุ่นในตระกูลวอลท์
มันถูกสร้างขึ้นจากอัญมณีที่หายากสุดๆ ขึ้นรูปโดยช่างตีเหล็กชั้นยอด และเก็บงานโดยศิลปินชื่อดัง”
ผมมองไปที่อัญมณีขนาดประมาณ 2 เซนฯ ตรงหน้า มันถูกทำขึ้นเป้นสร้อยคอ
“ท่านปู่? ข้าจำได้ว่าท่านเคยพกของแบบนี้อยู่ก็จริง แต่ไม่ใช่ว่ามันควรจะถูกส่งต่อให้ท่านพ่อของข้าหรือ? “
“หลังจากที่ท่านรุ่นก่อนส่งมันไปประดับตกแต่งเพิ่ม เพื่อให้เหมาะกับตำแหน่งไวเคานต์
ท่านก็เสียไปในระหว่างนั้นพอดี…เมื่อสร้อยคอชิ้นนี้เสร็จแล้ว ข้าจึงไปนำมันกลับมา
แต่ข้าก็หาจังหวะเจอท่านไมเซลไม่ได้เลย”
ก็จริงที่ท่านพ่องานยุ่งมาก
หากไม่ใช่เรื่องด่วนจริงๆ คนรับใช้อย่างแซลก็แทบไม่มีโอกาสได้เจอพ่อของผมเลยล่ะนะ
นี่คงทำให้แซลกังวลมาตลอด
ผมหยิบสร้อยคอขึ้นมาจากกล่องไม้
อัญมณีเวท…กระบวนการผลิตสิ่งของพวกนี้ได้สูญหายไปตามกาลเวลา
มันมีคุณสมบัติในการจดจำความสามารถเฉพาะบุคคล
ซึ่งรายละเอียดวิธีใช้ก็ถูกลืมหายไป ตามโลกที่หันมานิยมอุปกรณ์เวทแบบธรรมดากัน
ในโลกนี้ทักษะพิเศษที่แสดงออกมาในแต่ละปัจเจกบุคคลจะมีเพียงหนึ่งเดียว
แม้บุคคลนั้นจะสามารถฝึกฝนสกิลนั้นให้พัฒนาไปได้เรื่อยๆ ตลอดชีวิต แต่ก็ไม่มีทางที่จะได้สกิลอื่นเพิ่มขึ้นมา
แต่เจ้าอัญมณีนี้จะจดจำสกิลพิเศษนั้น และส่งต่อไปให้คนอื่นใช้ได้ด้วย
“และข้าก็ลังเลที่จะมอบอัญมณีนี้ให้ท่านไมเซลด้วย อาจจะเป็นความเห็นแก่ตัวของข้าก็ได้
แต่ได้โปรดรับไปเถอะ…ท่านไรเอล ข้าจะได้ถือว่าตอบแทนนายท่านที่ล่วงลับไปแล้วเสียที”
ผมใส่สร้อยคอ และกุมอัญมณีไว้
“…ข้าขอขอบคุณเจ้ามาก แซล ข้าจะต้องกลับมาตอบแทนเจ้าแน่นอน”
“ข้าจะรอนะ ท่านไรเอล”
พอจบประโยค ผมก็ออกเดินทาง
.
.
.
ในช่วง 6 วันที่ผ่านมา แซลรู้สึกว่าห้องของเขาที่คับแคบจู่ๆ ก็กว้างขวางขึ้นมาทันใด
ในอดีตทบ้านที่เขาเคยอยู่กับครอบครัว ท่านผู้นำคนก่อน บล็อด เขาจะชอบแอบแวะมาดื่มด้วยบ่อยๆ
ขณะมองรูปสเก็ตภรรยาของตัวเอง เขาก็พึมพำขึ้น
“นี่ ที่รัก ในตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือนไม่มีเรื่องอะไรค้างคาแล้วล่ะ”
เขาเอนตัวลงนอนบนเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นแล้วหลับตาพริ้ม
“นายน้อยมีบางอย่างที่คล้ายท่านปู่ของเขาเอง… ท่านบล็อดก็ชอบสตูว์เนื้อเหมือนกันล่ะนะ”
แซลยังคงจำช่วงเวลาที่บ้านของเขายังมีชีวิตชีวาได้
และเขาก็นึกถึงช่วงเวลาที่ส่งต่ออัญมณีของบล็อดไปสู่ผู้สืบทอดคนถัดไปได้สำเร็จ
บล็อดนั้นอายุมากกว่าแซล และในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเขาก็ป่วยติดเตียง
ภาพร่างกายอันอิดโรยของผู้ที่ทรนงในศักดิ์ศรีของตนในเวลานั้น ทำให้แซลหลั่งน้ำตาออกมา
“เหมือนท่านจะรู้ตัว ว่าจะไม่ได้เป็นคนส่งต่ออัญมณีนั้นด้วยตัวเอง…ท่านจึงทิ้งมันไว้ให้ข้าสินะ
แต่ตอนนี้ข้าทำหน้าที่สำเร็จแล้วนะครับ ท่านบล็อด”
ความทรงจำในสมัยที่เขายังเยาว์วัย และโลดแล่นผ่านสนามรบมากมายข้างกายนายของตนกำลังโอบอุ้มตัวเขา
“ช่างเป็นปาฎิหารย์จริงๆ ที่ข้ามอบมันให้ท่านไรเอลได้ทันในที่สุด…ที่รัก ข้าใกล้จะได้ไปหาเจ้าแล้วนะ”
หลังหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ชายชราก็เผยยิ้มออกมาอย่างสงบ
.
.
.
พอออกมาพ้นจากคฤหาสน์เข้าสู่ตัวเมืองรอบนอก ผมก็พูดคุยกับพ่อค้าเร่รอบๆ กำแพงเมือง
เลยเที่ยงวันมาแล้ว ถ้าผมหารถเกวียนได้ทันก็จะสามารถไปเมืองอื่นได้
“ไปที่เมืองข้างๆ เรอะ? ข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่เราจะไปถึงตอนกลางคืน และไม่รู้ว่าจะมีห้องพักเหลือมั้ย
ถึงข้าจะพอมีคนรู้จักอยู่บ้าง แต่ช่วงนี้ของปีคนก็เยอะด้วยสิ”
พ่อค้าเร่ไม่แนะนำ แต่ผมต้องรีบออกไปจากดินแดนนี้ให้เร็วที่สุด
“ไม่เป็นไรหรอก ไปส่งข้าได้รึเปล่าล่ะ? “
“เอางั้นก็ได้ แต่เจ้าสู้เป็นมั้ย? ถ้าเจ้าต่อสู้ไม่ได้ข้าจะเก็บค่าโดยสารนะ”
เพื่อตอบคำถามของเขา ผมจึงเสกไฟขึ้นมาบนมือ
ผมเสียดาบไปแล้ว แต่ก็ยังใช้เวทมนต์ได้ ด้วยสิ่งนี้ผมก็สามารถพิสูจน์ว่าแข็งแกร่งพอจะดูแลตัวเองได้
“ว้าว ถ้าเป็นนักเวท หมายความว่าท่านเป็นขุนนางรึ? ไม่สิดูจากชุดแล้ว…โอ้ ข้าไม่เห็นต้องสนใจเลย
เอาล่ะ ถ้าเจ้าคอยดูแลป้องกันเกวียนของข้า เจ้าก็ขึ้นได้ฟรีๆ เลย ไม่สิ ถ้าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง
ข้าอาจจะต้องเป็นฝ่ายจ่ายให้เจ้าเสียด้วยซ้ำ”
ชายวัยกลางคนส่งมือมา คงหมายถึงว่ายอมรับให้ผมไปด้วยแล้ว
“ขอบคุณ แล้วเกี่ยวกับเมืองที่จะไปต่อ…”
มีเสียงนึงดังขึ้นมาขัดบทสนทนาระหว่างผมกับพ่อค้าเร่
“ฮ-เฮ้ ช่วยพาข้าไปด้วยสิ! “
เธอคือเด็กผู้หญิงที่ชอบไว้ผมหางม้าข้างเป็นเอกลักษณ์
“…โนแวม”
[โนแวม ฟ็อกซ์] เธอก้มหัวอย่างเขินอายและยืนอยู่ตรงหน้าผม
เด็กสาวจากตระกูลบารอน
และในอดีต เธอคือคู่หมั้นของผมเอง
—
แซลตายแล้วเรอะ!?