Sevens - ตอนที่ 25 การตื่นขึ้นของสกิล
25การกำเนิดขึ้นของสกิล
—
‘…อาเรียเป็นคนแบบไหนกันนะ’
ผมมองใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเด็กสาวที่ถือหอกอยู่ตรงหน้า
ทั้งหมดที่ผมรู้เกี่ยวกับเธอก็แค่การเป็นผู้สืบทอดตระกูลล็อคเวิดที่อาศัยอยู่กับพ่อในเมืองเดลลีน
และเธอก็มาขอความช่วยกับคุณเซลฟี่ที่เคยทำงานให้ เมื่ออัญมณีของตระกูลถูกพวกโจรเอาไปเท่านั้น
ผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย
ไม่เคยพูดคุยกับเธอด้วยซ้ำ
ผมหลีกเลี่ยงเธอโดยอ้างว่าผมมีโนแวมอยู่แล้ว
ที่จริง ผมก็แค่พยายามเมินเธอมาตลอด
“เอาแต่ดูถูกฉัน…ทำไม…แม้แต่ฉันก็…! ”
เธอคงอยากจะระบายความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายในใจของเธอ
ถึงกระนั้น ผมก็ยัง… กระชับดาบในมือ สูดหายใจลึก
ตั้งท่า และจ้องมองเด็กสาวตรงหน้า
ด้วยความเหนื่อยล้าจากการใช้สกิลอย่างต่อเนื่อง ทำให้เธอในตอนนี้เหงื่อโชกทั้งตัว และเต็มไปด้วยช่องโหว่
ทั้งพลังกายและพลังเวทของเธอคงมาถึงขีดจำกัดแล้วล่ะ
‘ทำไม…เราถึงทำแบบนี้กับอาเรียนะ? ’
เธอแค่ต้องการให้ใครสักคนมาเห็น
และต้องการให้ใครสักคนได้ยินเธอ
แต่พอผมคิดว่าเธอเป็นภาระ ผมก็เลือกจะเมินเธอมาตลอด และไม่รับฟังสิ่งที่เธอต้องการจะพูดเลย
‘นี่เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษต้องการจะบอกเรารึเปล่านะ? ’
ที่ผ่านมา ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องรับอาเรียเข้ามาอยู่ด้วย
แต่ตอนนี้ ผมเข้าใจมันนิดหน่อยแล้วล่ะ
ผม…กลายเป็นสิ่งที่ตัวเองเกลียดซะเอง
“…ข้าจะเอาจริงแล้วนะ”
พอได้ยินสิ่งที่ผมบอก อาเรียก็ดูประหลาดใจ แต่เธอก็ตอบรับด้วยสีหน้าจริงจังทั้งๆ ที่น้ำตานองหน้าอยู่
โนแวม และคุณที่เซลฟี่ที่ดูพวกเราอยู่ดูโล่งใจเล็กน้อย
‘แม้รู้ว่าไม่ชนะแต่ก็ต้องลุกขึ้นสู้ จะยอมแพ้ไม่ได้จนกว่าจะได้รับการยอมรับ ความเจ็บปวดนั้นกล้ำกลืนเหลือทน’
หลังรอให้เธอได้หายใจสักพัก ผมก็พุ่งเข้าหาอาเรีย
เธอเหวี่ยงหอกในแนวขวางใส่ผมเพื่อรักษาระยะห่าง
ผมกระโดดหลบขณะพุ่งต่อไปข้างหน้า และฟันดาบใส่เธอที่ใช้หอกเข้ามาต้านไว้
แต่ด้วยความต่างของกำลัง ทำให้เธอเข่าทรุดลงพื้น
ท่ามกลางเสียงเอี๊ยดอ๊าด เพื่อกดเธอให้จมดิน ผมจึงอัดแรงเพิ่มเข้าไปอีก
“ทั้งที่มีความต่างของพลังขนาดนี้ ทำไมเธอถึงไม่ใช้สกิลที่เสริมกำลังเลยล่ะ? ”
เธอแสดงหน้าบิดเบี้ยวต่อคำถามของผม
นั่นคงเป็นคำตอบของเธอ
“เธอใช้มันไม่ได้สินะ? แบบนี้ก็แสดงว่าหัวหน้ากองโจรมีความสามารถมากกว่าเธอ”
ผมชักดาบอีกเล่มออกมา และเตะหอกออกไป อาเรียจึงลงไปกลิ้งกับพื้น เธอลุกขึ้นมาทันทีพร้อมด้วยขี้ดินที่เปื้อนไปทั่ว
พอพ้นจากการถูกผมจับ เธอก็ตั้งท่าและแทงหอกใส่ผมอีกครั้ง
…แต่เมื่อเทียบกับตอนที่เริ่มสู้ การเคลื่อนของเธอกลับทื่อลง
ผมหลบหอก และก้าวปิดระยะเข้าไป ใช้ด้ามจับดาบกระทุ้งใส่ท้องของเธอ
ถ้าผมใช้คมดาบ อาเรียคงสาหัสไปแล้ว
พอโดนผมโจมตี เธอก็กระอักลมออกมาอย่างรุนแรง และโซเซถอยห่างออกไปเพื่อสร้างระยะ
“…เธอจะไม่ใช้เวทมนต์หน่อยหรือไง? นี่ข้าต่อให้แล้วนะ”
ผมพยายามยั่วยุ แต่เธอดูไม่มีอารมณ์จะสนใจนัก เธอหน้าซีดและเหงื่อไหลออกมาเยอะมาก
มีเพียงดวงตาของเธอที่ยังคงเต็มไปด้วยจิตวิญญานแห่งการไม่ยอมแพ้
‘เธอตัดสินใจแล้วสินะ’
ถึงจะรู้ถึงความต่างระหว่างเรา แต่อาเรียก็ไม่เคยปล่อยหอกหลุดมือเลย
พอเห็นแบบนั้น รุ่นที่หนึ่งและบรรพบุรุษคนอื่นที่มองดูอย่างเงียบๆ มาตลอดก็พูดคำแนะนำออกมา
ไม่สิ ไม่ใช่คำแนะนำหรอก
[ดูให้ดีล่ะ ไรเอล นี่เป็นตอนที่สกิลกำลังจะเกิดขึ้นจากเจตจำนงอันแรงกล้าเมื่อความสามารถของเธอถึงขีดจำกัด
อาวุธที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกที่มอบให้กับเหล่ามนุษยชาติ]
อาจดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่สกิลก็มีที่มาของมันเช่นกัน
เพื่อเหล่ามนุษย์ที่เกิดมาอ่อนแอ และไร้พลังในการต่อสู้กับเหล่ามอนสเตอร์ สกิลเป็นหนึ่งในความเมตตาที่พระเจ้ามอบให้
ซึ่งจะปรากฎขึ้นต่างกันไปตามแต่ละบุคคล
เป็นโอกาสหนึ่งเดียวที่พระเจ้ามอบให้ในการต่อกรกับเหล่ามอนสเตอร์
ทั้งหมดคือเรื่องที่ผมได้ยินมาล่ะ…
อัญมณีบนสร้อยของอาเรียเริ่มเปล่งแสงออกมา
“…นี่คือการที่สกิลเกิดขึ้นสินะ? ‘
อัญมณีสีแดงที่อาเรียมีทำให้เธอได้รับสกิลที่เกียวกับการต่อสู้ได้ง่ายขึ้น
เทียบกับอัญมณีสีน้ำเงินของตระกูลวอลท์ที่เกี่ยวข้องกับสกิลของสายสนับสนุนแล้ว ของอาเรียก็คงเป็นสกิลของแนวหน้าล่ะ
“นี่ล่ะ!! “
อาเรียก้าวอย่างมั่นคง และพุ่งมาทางผมด้วยความเร็วที่มากขึ้นกว่าเดิม
พอผมหลบหอกที่พุ่งมาอย่างหวุดหวิด เธอก็เหวี่ยงหอกมาต่อเนื่องทันที
รุ่นที่สี่พูดขึ้น
[มันคล้ายกับสกิลของข้านะ ดูเหมือนจะช่วยเพิ่มความเร็วในระหว่างการต่อสู้ได้ชั่วคราว]
เขายืนยันว่ามันต่างกับสกิลเร่งความเร็วของเขาเอง
ด้วยการเริ่งความเร็วเป็นช่วงสั้นๆ ทำให้เธอเคลื่อนไหวได้มากขึ้น
เพราะหลบไม่ทัน ผมจึงใช้ดาบในมือรับการโจมตีนี้
ประกายไฟเกิดขึ้นจากอาวุธที่ปะทะกัน
แต่การโจมตีของอาเรียยังไม่จบลง
“มากกว่านี้! ”
แทง ฟาด ฟัน
ผมหลบการโจมตีที่หลากหลาย และเริ่มถูกบังคับให้เป็นฝ่ายตั้งรับ
ถ้าผมเสียสมาธิแม้แต่นิดเดียว ผมจะแพ้ สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว
รุ่นที่สองพูดขึ้น
[สกิลของพวกแนวหน้าส่วนใหญ่ก็จะแสดงผลปุบปับแบบนี้ล่ะ มันเป็นปัญหาจริงๆ ]
ถ้าผมหลบหอกที่แทงมาทางขวา การโจมตีครั้งต่อไปก็จะพุ่งมาทางซ้าย
เพื่อรับมือการกับโจมตีดังกล่าว ผมจึงใช้ดาบทั้งสองเล่มในมือป้องกันมัน
ประกายไฟเกิดขึ้น และดาบที่ผมซื้อมาก็เริ่มร้าว
แต่ในเวลาเดียวกัน ผมก็รู้ว่าการต่อสู้ได้จบลงแล้ว
“พอแล้วล่ะ”
ผมผ่อนคลาย และมองเด็กสาวที่หอบหายใจตรงหน้า
เธอชันเข่า และค้ำหอกบนพื้นเพื่อไม่ให้ตัวเองล้มลงไป
ความเหนื่อยล้าสะสมจากการโจมตีต่อเนื่องคงสร้างภาระให้กับร่างกายของเธอ
‘ระเบิดความเร็วอย่างก้าวกระโดดในระยะเวลาหนึ่งเพื่อออกคอมโบ’ นั่นคงเป็นสกิลของอาเรียล่ะ
เพราะสกิลที่เพิ่งได้มาเธอเลยใช้มันอย่างไม่ระวัง ด้วยความเหนื่อยล้านั้น ทำให้เธอเริ่มจะโงนเงน
เมื่อผมมองใบดาบของตัวเอง มันดูไม่ดีเลย
‘ซ่อมหรือเปลี่ยนดีหว่า’
ขณะที่คิดว่าเธอทำเกินไปหน่อย ผมปักดาบทั้งสองเล่มลงบนพื้น และเข้าไปหาเธอ
แต่ตอนนี้…
“สกิลมันน่าทึ่งมาก ข้าประหลาดใจเลยล่ะ”
เธอมองขึ้นมาหาผม
“…มันไม่ได้ช่วยให้ฉันชนะสักหน่อย ฉันรู้แล้วว่าตัวเองด้อยกว่านาย!
ถึงแบบนั้น เมื่อตอนที่ฉันถูกปล่อยตัวออกมา และรู้ว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย…
ฉันไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นอีกแล้ว ฉันอยากจะเป็นคนที่พึ่งพาตัวเองได้! ”
เมื่อเห็นเธอน้ำตาแตก ผมก็เริ่มคิดว่าการท้าสู้กับเธอมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องรึเปล่า
ภาพตรงหน้าเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย
โนแวมวิ่งออกมา และเริ่มร่ายเวทรักษาให้เธอ พอแสดงจากเวทมนต์ส่องสว่าง เธอก็ค่อยๆ หยุดร้องไห้ และสลบไสลไป
คุณเซลฟี่ เข้ามาพยุงร่างของเธอ
“…ข้าไม่อยากจะเชื่อกับวิธีการของเจ้าเลยจริงๆ “
เธอจ้องผมเขม็ง ผมชี้นิ้วมาที่หน้าตัวเอง และกำลังจะเถียงกลับไป…แต่สุดท้าย ผมก็ไม่พูดอะไร
“ท่านไรเอล ช่วยข้าอุ้มคุณอาเรียได้ไหมคะ? เธอใช้พลังกายกับพลังเวทมากเกินไป ข้าอยากให้เธอได้พักโดยเร็วที่สุดค่ะ”
โนแวมพูดด้วยน้ำเสียงปกติของเธอ ผมพยักหน้าและเดินเข้าไป
ผมควรจะอุ้มเธอ หรือยกเธอแบบธรรมดาดีล่ะ…
และตามเคย เหล่าบรรพบุรุษก็พูดขึ้นมาตามลำดับ
[ข้าว่าเจ้าควรจะอุ้มท่าเจ้าหญิงนะ]
[แบกเธอขึ้นหลังไปตามปกตินั่นแหละ]
[แบกขึ้นบ่าแบบนักดับเพลิงไง! ]
[อุ้มเธอไปที่เตียงด้วยอ้อมเขนอย่างทะนุถนอมสิ]
[เธอหมดสติอยู่นะ จะแบบไหนก็เหมือนกันนั่นล่ะ]
[ให้เซลฟี่ช่วยเป็นไง? ขอไหล่เธอสักข้างหรืออะไรก็ได้]
[ในเมื่อเจ้าจะพาเธอไปที่เตียง ถ้างั้นก็กอดเธอ? ]
ความเห็นของพวกเขาชี้ไปคนละทางเลย
ขณะที่คิดว่าพวกเขาชิวชะมัด ผมก็อุ้มเธอขึ้นมาในอ้อมแขน
คุณเซลฟี่ที่เห็นดังนั้นก็ผิวปาก
ส่วนโนแวมก็ยิ้ม และ…
“ข้าอิจฉานิดหน่อยนะคะเนี่ย”
เธอเดินนำผมเข้าไปในบ้าน และเริ่มเตรียมการสำหรับพยาบาลอาเรีย
.
.
.
กลางคืน
ขณะที่ผมกำลังออกกำลังกายอยู่ที่ลานกว้าง รุ่นที่สามก็พูดขึ้น
[การที่สักวันเจ้าจะกลายเป็นคนที่ตัวเจ้าเกลียดซะเอง มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกนะ]
หลังส่งอาเรียเข้านอน พวกเราก็ตัดสินใจกันว่าวันนี้จะพักผ่อนและไม่ออกไปทำภารกิจ
ผมตอบเขากลับไปพร้อมกับแกว่งดาบในมือไปด้วย
“คุณต้องการจะบอกว่าข้าเหมือนเซเลสใช่ไหมครับ? เรื่องนั้นข้ารู้ตัวตอนที่สู้กับอาเรียแล้วล่ะ”
ผมเหวี่ยงดาบสุดแรง
[งั้นรึ? แต่ข้าอยากให้เจ้าเข้าใจถึงความรู้สึกต่างหากล่ะ]
ความรู้สึก…
ผมเข้าใจที่เขาพูด ตอนนี้ผมเฉื่อยชาเกินไป
ไม่ใช่ว่าร้อนรนแล้วดิ้นรนไปมาแบบอาเรียจะเป็นเรื่องดี แต่เป็นตัวผมที่ขาดแรงจูงใจในสิ่งที่ตัวเองทำมากกว่า
“แต่การเป็นนักผจญภัยมันไม่ใช่ทั้งชีวิตของข้าสักหน่อย นี่! ”
ผมเหวี่ยงดาบทั้งคู่ใส่ศัตรูในจินตนาการ ที่ไม่ว่าผมจะฟันได้เฉียบแค่ไหน พวกเขาก็จะหลบหรือปัดป้องได้เสมอ
ผมเริ่มหอบ
ไม่ว่าผมจะขัดเกลาฝีดาบมากแค่ไหน ผมก็ยังสลัดความกลัวในตอนที่เผชิญหน้ากับศัตรูที่เหนือกว่าออกไปไม่ได้
ผมปล่อยดาบออกจากมือ แล้วเอามือกุมอกเพื่อสูดหายใจ
[ศัตรูที่เจ้าเห็นตอนแกว่งดาบคือใคร? ให้ข้าเดาไหมล่ะ? ]
“…ขอบคุณแต่ไม่ล่ะ ที่สำคัญ เรื่องก่อนหน้านี้”
รุ่นที่สามเริ่มพูดต่อ
[ใช่ๆ ! ความรู้สึก…สกิลที่ตื่นขึ้นของเจ้าไง ไรเอล เพราะเจ้าพกอัญมณีของพวกข้าไว้ตอนนั้นด้วย ก็น่าจะเป็นสายสนับสนุนนั่นล่ะ
แต่ที่มันยังไม่ชัดเจนก็เพราะเจ้าขาดความรู้สึก]
“สกิลของข้า? ”
ผมมีแน่ เหล่าบรรพบุรุษยังเคยยืนยันถึงปฎิกิริยาของอัญมณีที่ตอบสนองต่อสกิลของผมอีกด้วย
แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่ามันคือสกิลอะไรอยู่ดี
[สกิลเป็นสิ่งที่ตอบสนองต่ออารมณ์ของผู้ใช้ ทำให้การที่ตอนนี้เจ้ายังใช้มันไม่ได้ก็ไม่แปลก]
พอได้ยินรุ่นที่สามพูด ผมก็คิดไว้แล้วเหมือนกัน
จากตัวอย่างที่เกิดขึ้นกับอาเรียในวันนี้
ความรู้สึกอันแรงกล้าจะหล่อหลอมกำเนิดขึ้นเป็นสกิล
แต่เพราะผมในปัจจุบันที่ไม่ได้แบกรับความหวัง หรือความฝัน หรือจุดมุ่งหมายอะไรไว้เลย
จึงไม่มีความใกล้เคียงกับความรู้สึกอันแรงกล้าที่ว่าแม้แต่น้อย
ถึงผมจะพยายามตามหาม แต่ก็ยังไม่เจอสิ่งๆ นั้น
[ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีความทะเยอทะยานใด แต่ตอนนี้เจ้าก็มีหนูโนแวมอยู่ด้วย
…และแม้ไม่เต็มใจ แต่อนาคตของหนูอาเรียก็อยู่ในมือของเจ้าแล้ว]
ผมไม่ผิดสักหน่อย
ผมไม่เคยพูดรับเธอมาด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็เตี๊ยมกันเองโดยไมถามผมสักคำ แล้วก็โยนเธอมาให้ผม
มันไร้เหตุผล ไร้เหตุผลสิ้นดี
แม้แต่โนแวมก็ยังเห็นดีด้วย
“ข้าผิดเหรอ? ที่ตั้งใจจะใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบกับโนแวมน่ะ? ”
รุ่นที่สามตอบกลับมา
[เจ้าต้องคิดเอง ไรเอล พวกข้าไม่มีสิทธิ์ไปเลือกให้เจ้า เพียงเพราะเจ้าโลเล
แล้วก็คอยฟังแต่สิ่งที่พวกข้าคิดให้…เจ้าจะพอใจกับชีวิตแบบนั้นหรือไง? ]
ผม…อาจจะพอใจก็ได้
ราวกับเขาอ่านใจผมได้ รุ่นที่สามพูดต่อ
[การไหลไปตามกระแสน่ะมันสะดวก เอ่อ ที่จริงมันก็ลำบากแหละ
ข้าเคยทำมาแล้ว จนกลายเป็นแม่ทัพผู้ซื้อสัตย์และเที่ยงธรรมไปก่อนข้าจะรู้ตัวซะอีก
… แต่เจ้ารู้มั้ย ว่าจนสุดท้ายข้าก็ไม่เคยทำอะไรด้วยความรู้สึกของตัวเองจริงๆ เลย]
ตัวตนของเขาช่างแตกต่างกับเรื่องราวที่ผมเคยได้ยินตกทอดมา
เมื่อลมหายใจของผมกลับมามั่นคงแล้ว ผมก็เก็บดาบทั้งสองและนั่งลงบนก้อนหินใกล้ๆ
[…เจ้ายังไม่มีเป้าหมาย? หรือเจ้าต้องการจะอยู่กับโนแวมอย่างสงบจริงๆ กันแน่ล่ะ? ]
ผมเริ่มลังเล
ไล่อาเรียออกไปหลังจากที่เธอพยายามเต็มที่แล้วเนี่ยนะ?
ถึงเธอจะมาอยู่กับผมในฐานะรางวัลจากการปราบโจร แต่เธอจะออกไปใช้ชีวิตเองได้จริงๆ หรือเปล่า
ผมกังวลกว่าเดิม
[ในเมื่อเจ้าดูมีเรื่องให้คิดมากมายก็จงกังวลให้พอเถอะ แล้วสุดท้ายเมื่อเจ้ามองกลับมาก็จะรู้ว่าเรื่องที่ตัวเองกังวลมันงี่เง่าแค่ไหน]
ปกติของมนุษย์สินะ…
ผมยังคงคิดต่อไป ท่ามกลางดวงดาวสุกสกาวงามอร่ามที่อยู่เต็มฟากฟ้า
.
.
.
วันถัดมา
อาเรียตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ขยับไม่ได้
คงเพราะการฝืนใช้สกิลทำให้ร่างกายของเธอรับภาระมากเกินไป และทำให้โนแวมต้องอยู่ดูแลเธอ
ทำให้เหลือผมเพียงคนเดียวที่ออกมาทำงานได้
ผมมาที่เคาน์เตอร์ของกิลด์พร้อมกับคุณเซลฟี่ และเลือกคำร้องที่จะทำ
ด้วยประเภทงานที่ใช้แรงหนักทั้งหมดที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะ ทำให้ผมคิดว่าคุณเซลฟี่เธอแค้นผมหรือเปล่า
“เลือกงานที่อยากทำได้เลย ไรเอล เจ้าคงต้องลุยเดี่ยวไปสักพักเลยล่ะ”
เนื่องจากผมทำตามอำเภอใจ และทำให้อาเรียเดี้ยงจนรวมปาร์ตี้ไม่ได้
ผมจึงหมดคำพูดกับคุณเซลฟี่ที่ยิ้ม และชี้นิ้วไปยังคำร้องน่าเบื่อพวกนั้น
คุณฮาวกิ้นที่มองดูอยู่ก็เห็นใจผม
“คุณเซลฟี่เป็นที่ปรึกษานี่? การเลือกคำร้องตามใจแบบนี้มันไม่ดีนะครับ”
คุณเซลฟี่ตอบกลับ
“เอาหน่า บอส ไหงพูดเหมือนข้าเลือกคำขอพวกนี้มาเพราะแค้นล่ะ ที่ข้าทำไปก็เพื่อประโยชน์ของไรเอลทั้งนั้นเลยนะ”
คุณฮาวกิ้นประหลาดใจกับน้ำเสียงแหลของเธอ
แต่ผมกลับเลือกคำร้องที่ดูยากที่สุดขึ้นมา
คุณเซลฟี่ที่เห็นดังนั้นก็กระตุกเล็กน้อย
“…แบบนี้คุณก็คงไม่บ่นอะไรแล้วสินะครับ”
เธอคงเกินคาดที่ผมยอมแต่โดยดี เพราะเมื่อก่อน พอได้งานแบบนี้ผมมักจะเถียงกลับคุณเซลฟี่ไปเสมอ
ผมเซ็นเอกสารแบบขอไปที และส่งให้กับคุณฮาวกิ้น
“เห็นแบบนี้ ผมก็มีคนอีกสองคนที่รออยู่นะครับ จะมาเกี่ยงงานไม่ได้หรอก”
“งั้นเหรอ ต่อให้มีเงินจากเจ้าเมืองก็จะไปสินะ”
ผมโบกมือให้กับคุณเซลฟี่ และเดินออกจากแผนกต้อนรับ
.
.
.
หลังไรเอลเดินออกไปแล้ว
“เขาเปลี่ยนไปจริงๆ ตอนที่มาทีแรก เขาดูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหันทางไหนซ้ายหรือขวา”
ฮาวกิ้นพูดถึงไรเอลตอนมาที่กิลด์ครั้งแรก
เซลฟี่วางศอกบนโต๊ะมือเท้าคาง
“ข้าก็คิดว่าเขาเป็นแค่เด็กขุนนางเอาแต่ใจ และงานของข้าคงไม่พ้นการเฝ้าระวังเป็นหลัก
แต่เขากลับมีด้านที่ทำให้ข้าทึ่งอยู่ไม่น้อย ในเมื่อเขาวางใจได้ก็ดี เพราะเขาไม่ใช่ขุนนางอีกแล้วนี่นะ”
ฮาวกิ้นเริ่มทำงานอีกสารที่รับมาพลางยิ้มเมื่อนึกถึงอดีตของเซลฟี่
“เขาเหมือนใครบางคนแถวนี้เลยนะ คุณเซลฟี่ จำตอนที่คุณบ่นทุกรอบหลังรับคำร้องได้มั้ยครับ? ”
เซลฟี่หน้าบูด
“ก็ตอนนั้นข้าราคาญนี่! พอกลับบ้านไปก็ต้องทำงานบ้านแล้วก็รักษามารยาทอีก มันเปลี่ยนปุบปับเกินไป”
ขุนนางที่กลายมาเป็นนักผจญภัยย่อมต้องผ่านความยากลำบาก
เพราะสามัญสำนักของพวกเขาจะต่างจากคนทั่วไป
“ผมเข้าใจ เพราะเวลาที่พวกเขามาจ้างนักผจญภัย คนที่รับงานก็ต้องเจอปัญหากับการปฎิบัติตัวเหมือนกันครับ”
ทั้งสองตำแหน่งต่างกันราวคนละโลก
“…ถ้าคุณหญิงอาเรียเรื่องนี้ไปได้ก็จะเยี่ยมไปเลย”
ฮาวกิ้นจัดเอกสารขณะตอบกลับความรู้สึกของเซลฟี่
“คนธรรมดาเวลามาเป็นนักผจญภัยก็มีปัญหาไม่ต่างกัน บางคนก็ถึงชีวิต
ถึงผมจะพูดไม่ได้ว่าจะไม่เป็นไร แต่เดี๋ยวพ่อหนุ่มไรเอลคงจะทำอะไรสักอย่างเองนั่นล่ะครับ”
เซลฟี่จ้องฮาวกิ้นอย่างแคลงใจที่ประเมินเด็กหนุ่มไว้สูงปานนั้น
“ไรเอลเนี่ยนะ? คุณก็รู้นี่ว่าชื่อเสียงของเจ้าเด็กนั่นในเดลลีนมันโคตรแย่น่ะ”
ในตอนที่กำลังจะออกปราบกองโจร ไรเอลได้แสดงตัวงี่เง่าไว้มาก ทำให้ชื่อเสียงของเขาในเมืองไม่ค่อยดีนัก
สำหรับนักผจญภัยที่อาศัยในเดลลีนแล้ว การทำตัวแบบนั้นถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่
“แต่ก็เป็นความจริงที่เขาได้รับเงินจากเจ้าเมือง และรวมคนนับร้อยไปทำงานจนสำเร็จได้
ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรถึงทำแบบนั้นอยู่ดี”
การที่ฮาวกิ้นจะสับสนก็เข้าใจได้
เพราะหากไม่มีอะไรเปลี่ยน ไรเอลก็คงมีโนแวมเป็นสมาชิกปาร์ตี้คนเดียวไปอีกนาน
แต่พอพบกองโจร เขากลับลงมือแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง
ขณะที่พวกเขาคุยกันอยู่นั้นเอง คนรู้จักของเซลฟี่ที่กำลังเข้าแถวเคาน์เตอร์ของหญิงชรา ที่เดินเอกสารเสร็จก็หันมาเรียกพวกเขา
“โฮ้ย เซลฟี่ไม่ใช่หรือไงน่ะ”
เซลฟี่ทำหน้าบูดเมื่อเห็นคนที่ทักมาคือชายวัยกลางคนที่มีแผลเป็นบนใบหน้า
“เจ้ายังมีชีวิตอยู่นี่ ไหนเห็นบอกว่าจะเกษียณแล้วไง?”
เขายิ้มให้กับคำเสียดสีที่เซลฟี่พูด และนักผจญภัยหนุ่มที่อยู่ด้านหลังเขาทำหน้าลำบากใจ
“เจ้าก็เป็นที่ปรึกษาด้วย? ”
ชายใหญ่พยักหน้า
“แน่นอน คนหนุ่มพวกนี้เป็นความหวังของเดลลีนเชียวนะ
ข้าเลยว่าจะพาพวกเขาไปทริปยาว และคอยแนะนำให้ต่ออีกสักพักน่ะ”
เขาถือเป็นนักผจญภัยคนนึงที่มีประสบการณ์มากกว่าเซลฟี่
เนื่องจากเคยทำงานร่วมกับเขาอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เซลฟี่รู้สึกอิจฉาคำพูดของเขาเล็กน้อย
“อืม ข้ายินดีด้วยที่งานของเจ้าราบรื่นดี”
ชายคนนั้นยิ้มให้เซลฟี่
“ที่สำคัญ ข้าได้ยินว่าเจ้าคอยดูแลเจ้าเด็กขุนนางงี่เง่าอยู่? โชคไม่ดีเอาซะเลยนะ คุณหนูเซลฟี่”
พอได้ยิน ‘คุณหนู’ เติมอยู่หน้าชื่อของตัวเอง เส้นเลือดสีน้ำเงินบนหน้าผากของเธอก็ปูดขึ้น
ฮาวกิ้นกระแอ่มไอ
ชายใหญ่จึงยกมือขึ้นยอมแพ้ และเซลฟี่ก็เดาะลิ้น
“ห้ามการวิวาทกันในกิลด์ แล้วพวกคุณก็ไม่ควรสร้างปัญหาให้นักผจญภัยคนอื่นนะครับ
อีกอย่าง ผมจะยินดีมากถ้าที่ปรึกษาอย่างพวกคุณแบบอย่างที่ดีให้พวกเขาได้น่ะ”
ชายคนนั้นยิ้มขมให้ฮาวกิ้นที่กำลังถอนหายใจ
“อย่าเข้มงวดนักเลยบอส ข้าเองก็ผิดเหมือนกัน แต่เรื่องแบบนี้มันปกติของนักผจญภัยหน่า”
เซลฟี่มองตอบกลับมาก่อนจะเดินจากไป เธออาจจะไปดูว่าไรเอลตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
“เป็นไงบ้าง คราวนี้ไปยาวเลยนี่ครับ? แน่ใจนะว่ามันไม่เร็วเกินไป? ”
ฮาวกิ้นมองไปยังเหล่านักผจญภัยหนุ่มที่จ้างที่ปรึกษาวัยกลางคนตรงหน้า
ปาร็ตี้ 5 คน และจากการดูผิวเผิน ถือว่าค่อนข้างสมดุลทีเดียว
แนวหน้า 3 คน นักธนู 1 คน และอีกคนที่เหลือดูจากคทาที่ถืออยู่จึงน่าจะเป็นนักเวท
“งานเล็กมันไม่ใช่แนวข้า ข้าเลยต้องการให้พวกเขาออกลุยด้วยตัวเองได้เร็วๆ น่ะ”
ถึงเขาจะเป็นนักผจญภัยคนละขั้วกับเซลฟี่ แต่เขาก็คิดถึงผู้ปรึกษาในแบบของตัวเอง
เพราะเดิมทีคนที่จะมาเป็นที่ปรึกษาได้ย่อมดูแลคนเก่งอยู่แล้ว
เหมือนเซลฟี่ที่ชอบบ่นแต่ก็ไม่เคยเกี่ยงงานล่ะ
“เป็นแบบนี้นี่เอง? ถ้างั้นได้โปรดระวังตัวให้ดี และกลับมาอย่างปลอดภัยด้วยนะครับ”
ขณะฟังคำแนะนำของฮาวกิ้น นักผจญภัยรุ่นใหญ่และพวกก็ได้จากไป
ฮาวกิ้นละสายตาจากเคาน์เตอร์โล่งๆ ของตัวเองไปดูอีกเคาน์เตอร์หนึ่งด้านข้าง
พนักงานต้อนรับวัยสาวรุ่นที่มีแถวยาวเป็นพรืด
และคนที่มาต่อคิวส่วนใหญ่ก็เป็นหนุ่มวัยกลัดมัน
ถัดจากเคาน์เตอร์เธอไปก็เป็นหญิงวัยกลางคนที่ทำงานอย่างรวดเร็ว
คนที่มาต่อคิวของนางก็เป็นนักผจญภัยที่ต้องการเสร็จงานเร็วๆ จึงมาต่อแถวนี้
ภาพการไหลของแถวทั้งสอง ที่แถวนึงช้าแถวนึงเร็วช่างต่างกันโดยสิ้นเชิง
แถวของสาวรุ่นช่างเชื่องช้าและมาพร้อมกับคำร้องเรียนมากมาย
ส่วนแถวของสาวใหญ่ที่เอาแต่ทำงานไม่พูดคุยก็ไหลไปอย่างรวดเร็ว
และเช่นเคย
“วันนี้ก็ไม่มีใครมาหาข้าเหมือนเดิม…”
…ฮาวกิ้นได้แต่ถอนหายใจอีกครั้ง
—
เจอตัวหนังสือเยอะๆ >ขี้เกียจแปล >ไว้ค่อยแปลละกัน >กลับมาดูอีกครั้ง >เจอตัวหนังสือเยอะๆ
ลูปของผมตอนแปลมันก็เป็นแบบนี้ นั่นล่ะครับ