Sevens - ตอนที่ 21 การเติบโต
การเติบโต
—
เหมือนเช่นเคย ผมทำงานจนเหงื่อท่วม และได้รับการประเมิน [B] บนแบบฟอร์ม แล้วก็เดินทางกลับกิลด์
อาจเป็นเพราะช่วงเวลาเร่งด่วน แผนกต้อนรับที่ชั้น 2 ของกิลด์จึงแน่นเอี๊ยดไปด้วยผู้คน
แม้แต่โต๊ะคุณฮาวกิ้นที่ปกติจะว่าง ก็มีนักผจญภัยไปต่อแถว
ผมเงี่ยหูฟังเสียงที่คนอื่นพูดคุยกัน
“เจ้ารู้ยัง? เขาวงกตที่สามล่ะ”
“ถ้ามันเป็นเรื่องจริงก็แย่เลยล่ะ กองทหารของเจ้าเมืองก็ถูกส่งไปเพราะเรื่องนี้ด้วยนี่? ”
“ใช่ กิลด์เลยวุ่นวายไปหมด”
จากที่ฟังมา เหมือนจะมีเขาวงกตใหม่เกิดขึ้น
โดยถ้าเราปล่อยเขาวงกตไปเฉยๆ มันก็จะขยายตัวขึ้นเอง และกลายเป็นรังของมอนสเตอร์
ถึงการที่มอนสเตอร์เจ้าปัญหาหลุดออกมาจากเขาวงกตเป็นพักๆ จะไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก
แต่ถ้าปล่อยนานไปอีก จำนวนมอนสเตอร์ที่ทะลักออกมาจะมากขึ้นจนเขาวงกตแตกในที่สุด
มีกระทั่งเมืองที่ถูกตั้งขึ้นมา และอยู่ได้ด้วยแหล่งทรัพยากรจากการปราบมอนสเตอร์ที่ออกมาจากเขาวงกตด้วยซ้ำ
แต่แน่นอนว่าเมืองเหล่านั้นต้องรู้วิธีการควบคุมจำนวนมอนสเตอร์ที่ดี
โดยร่วมมือกับองค์กรอื่นอย่างเช่นกิลด์นักผจญภัย และจัดการอย่างละเอียดรอบคอบที่สุด
ซึ่งปกติแล้ว เขาวงกตควรถูกปราบทันทีที่เกิดขึ้น
และคนที่เคลียร์มันได้ก็จะได้รับรางวัลจากเจ้าเมือง รวมถึงการเลื่อนขั้นแรงค์นักผจญภัยด้วย
ทำให้การเป็นนักผจญภัยที่เคลียร์เขาวงกตได้ คือความฝันยอดฮิตของเหล่าเด็กๆ เลยทีเดียว
“พวกเขาจะรับคำร้องแล้วเข้าไปเคลียร์มันกันหมดเลยหรือไงนะ”
“ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าสมบัติที่อยู่ในชั้นลึกสุดของเขาวงกตคืออะไร”
“ข้าหวังว่าคนที่ลงไปจะไม่หันมาฆ่ากันเองนะ”
นักผจญภัยต่างคุยกันเรื่องความโลภโกรธหลง ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
แต่ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
ในห้องลึกสุด จะมีการ์เดี้ยนคอยปกป้องสมบัติซึ่งเป็นคอร์ของดันเจี้ยนอยู่
มันอาจจะเป็นทอง แร่ล้ำค่า หรือโลหะหายากก็ได้
ไม่ว่าเป็นแร่อะไร มันก็จะบรรจุเวทมนต์ของเขาวงกตเอาไว้….ซึ่งนับเป็นของหายากและราคาสูงมาก
และใช้ในการผลิตอุปกรณ์เวทมนต์อีกด้วย
‘เราเคยได้ยินมาว่าแม้แต่สมบัติจากเขาวงกตที่ง่ายต่อการเคลียร์
ถ้าขายมันก็จะได้กำไรมหาศาลจนไม่ต้องทำงานอะไร 2-3 ปียังได้เลยล่ะ’
เสียงของรุ่นที่สองดังขึ้น
[เมื่อก่อน เขาวงกตเป็นที่ๆ ใช้ฝึกฝนและหาประสบการณ์เพื่อ [เติบโต] แต่เดี๋ยวนี้เขาต้องใช้กลุ่มคนในการเคลียร์มันแล้วสินะ…]
รุ่นที่ห้าเสริม
[ถ้าเข้าไปเคลียร์ด้วยคนจำนวนน้อยมันไร้ประสิทธิภาพนะ ถ้าพลาดเมื่อไหร่ก็จะถูกมอนสเตอร์ล้อมและกลายเป็นปุ๋ยให้เขาวงกตเติบโตแทน
เพราะแบบนั้น การใช้คนจำนวนมากมุ่งเข้าไปเคลียร์รวดเดียวจะดีกว่า]
‘เป็นอย่างนั้นจริงเหรอ’
ผมคิด
แนวคิดเกี่ยวกับเขาวงกตคงจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาล่ะ
สิ่งที่ผมถูกสนอมา…ไม่สิ ในหนังสือที่ผมเคยอ่านบอกว่า
ในขณะที่เขาวงกตเป็นแหล่งกำเนิดทรัพยากรที่มีค่า พวกมันก็นับเป็นสถานที่ๆ อันตรายด้วยเช่นกัน
ไอเรื่องที่มันถูกใช้เป็นสถานที่ฝึกฝนตัวเองนี่ไม่เคยได้ยินเลย
[การที่เจ้ายังคงล่ามอนสเตอร์อยู่ หมายความว่า…กิจวัตรที่ข้าเคยทำถูกส่งต่อไปด้วยสินะ? ]
รุ่นที่ห้ายืนยันคำถามของรุ่นที่สอง
[เป็นรุ่นที่สองเองรึที่คิดมันขึ้นมา? การรวมผู้คนไปล่ามอนสเตอร์นับเป็นประสบการณ์ที่ดีเลยล่ะ]
พวกเขาเริ่มคุยถึงประสบการณ์การต่อสู้ครั้งแรกที่ต่างกันไป
แต่ผมสงสัยถึง [การเติบโต] ที่ทั้ง 2 คนพูดถึงในบางครั้ง (น่าจะเป็นการเวลอัพมั้งครับ)
[แต่ละคนจะมีความรู้สึกที่ต่างกันไปน่ะ มันจะคล้ายๆ …ตอนที่เจ้าลืมตาจากที่หลับตามานานล่ะมั้ง? ครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสถึงมันคือตอนที่ข้าต่อสู้กับมอนสเตอร์แรกๆ
หลังจากนั้นข้าก็ลองทำอะไรแผลงๆ อีกมากเพื่อค้นหามัน แต่ก็ล้มเหลวซะส่วนใหญ่ล่ะนะ]
รุ่นที่ห้าก็มีประสบการณ์คล้ายๆ กัน
[ของข้าก็คล้ายกันมาก มันคือช่วงที่ข้าได้ขึ้นเป็นวิสเคานต์ และต้องต่อสู้กับผู้ร้ายมากกว่ามอนสเตอร์
แต่มันก็ทำให้รู้ว่าการสู้กับคนก็สามารถ เติบโต ได้เช่นกัน…]
พวกเขาพูดถึงการเติบโตที่ผมไม่รู้จัก
มันมีการเติบโตที่ไม่ใช่ ร่างกายโตขึ้น หรือ จิตใจแข็งแกร่ง ขึ้นด้วยเหรอเนี่ย?
[อย่าช้าที่สุด เจ้าจะได้สัมผัสถึงมันอย่างน้อยครั้งสองครั้งในช่วงวัยรุ่นแน่ และคงไม่เหมือนตอนที่ครอบครัวของข้าเห่อถึงมัน
แล้วเอาแต่ ‘ว้าว! เขาได้สัมผัสกับมันแล้ว…’ อยู่บ่อยๆ จนน่ารำคาญเลยล่ะ]
รุ่นที่สองกล่าวเสียงค่อย ทำให้รุ่นที่ห้าหัวเราะเล็กน้อย
[มันเป็นเรื่องของสัญชาตญานน่ะ ในช่วงชีวิตนึงเจ้าจะได้ประสบการณ์แบบนั้นครั้งถึงสองครั้งล่ะนะ]
รุ่นที่สองช็อค
[น้อยขนาดนั้นเลย? ขนาดไม่ได้ต่อสู้ทุกวันข้ายังสัมผัสถึงมันครั้งแรกตอนอายุ 12 และอีกต่อมามากกว่า 9 ครั้งเชียวนะ]
[นั่นถือว่าเยอะมาก]
ผมรู้สึกกังวลนิดหน่อยกับเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกัน
‘…อืม ข้าไม่เคยเจอเรื่องอย่างที่พวกคุณว่าสักครั้งเลยนะ…’
ขณะที่ผมคิด คุณฮาวกิ้นก็เรียกคิวต่อไปด้วยเสียงสดใสพอดี
“เชิญท่านต่อไปครับ โอ้ พ่อหนุ่มไรเอลนี่? ”
“ค-ครับ รบกวนด้วยครับ”
ผมยื่นเอกสารให้คุณฮาวกิ้นที่กำลังยิ้มแย้ม
บางทีการที่งานเยอะจะทำให้เขามีความสุขล่ะ
.
.
.
พอทานอาหารกลางวันเสร็จ ผมกับโนแวมก็ไปเลือกหาอุปกรณ์สวมใส่
โดยมีเป้าหมายเป็นดาบของผมที่พังไปในตอนที่ต่อสู้กับกองโจร
กับคุณเซลฟี่ที่คอยแนะนำ พวกเราก็มองไปยังดาบแบบที่ผมใช้ในร้านอาวุธ
“เทียบกับดาบแบบอื่นแล้วมีให้เลือกน้อยจังเลยนะ”
เจ้าของร้านบอกกับผม
“มันช่วยไม่ได้หรอก”
เขาเป็นคนแคระเพศชายจมูกแดง ไว้หนวดเครารุงรัง ตัวเตี้ยและมีมัดกล้ามอยู่ทั่วร่างกาย
“ดาบเซเบอร์(Sabre)ไม่ค่อยเป็นที่นิยมที่เมืองเดลลีนนี้นักหรอก มันนิยมในหมู่ขุนนางอยู่บ้างก็จริง
แต่สำหรับที่นี่ ที่คนออกไปต่อสู้แกว่งอาวุธตลอดทั้งวัน การใช้ดาบแข็งแรงๆ สักเล่มจะดีกว่า
โอ้ แต่พวกอัศวินก็บอกว่า หอก อาวุธทุบ หรือขวานจะมีประโยชน์กว่านะ ว่าไง? ”
พอฟังที่เขาพูด และมองไปรอบๆ ร้าน ผมก็เห็นอาวุธพวกนั้นอยู่มากมาย
การเลือกอาวุธหลายๆ แบบให้เหมาะสมกับสถานที่ๆ จะไปย่อมดีกว่าอยู่แล้วล่ะนะ
ผมมาซื้อดาบเซเบอร์ใหม่ที่นี่ก็จริง แต่ผมควรเปลี่ยนแนวคิดเรื่องอาวุธสักหน่อย
“แล้วมีสถานที่ไหนที่มีดาบเซเบอร์ให้เลือกมากกว่านี้บ้างไหมคะ? เอาที่ไม่ต้องอยู่ในเมืองก็ได้”
เจ้าของร้านเอามือแตะคางมองโนแวมที่เอ่ยถามออกมา
“ก็คงเป็นที่เมืองหลวงเซ็นเทรียล(Centralle) นั่นแหละ แต่…ร้านที่ทำดาบแบบนั้นมาใช้สู้จริงๆ มันมีน้อยนี่สิ
อย่างข้าก็มีคนรู้จักที่เปิดร้ายที่นั่นเหมือนกัน แต่ว่าเขาเชียวชาญเรื่องเกราะน่ะ”
การที่เผ่าพันธุ์คนแคระมีความเชี่ยวชาญในด้านงานโลหะ ทำให้พวกเขามักจะประสบความสำเร็จในสายงานอาชีพช่างตีเหล็ก
แต่ถึงจะไม่ใช่คนแคระ มนุษย์ปกติก็เป็นช่างตีเหล็กที่มีฝีมือได้นะ
“ข้าก็ชี้เป้าร้านให้ได้อยู่หรอก แต่พวกเจ้าไปดูด้วยตัวเองจะดีกว่า แล้วข้าจะเขียนจบหมายแนะนำให้เอามั้ย?”
ผมคิดตามเจ้าของร้าน
ดาบเซเบอร์ในร้านนี้มีแต่แบบที่ผลิตเอาจำนวนเข้าว่า
แต่อย่างน้อยมันก็มีคุณภาพดีกว่าดาบของผมเล่มก่อนหน้านี้ ผมจึงลงเอยด้วยการซื้อเพิ่มมา 2 เล่ม
ถ้าผมมัวคิดจะเอาดาบที่ดีที่สุดให้ได้ มันก็คงไม่จบสักทีล่ะนะ
‘ไหนๆ เราก็ใช้ดาบเซเบอร์มาตลอดอยู่แล้ว ดื้อสักหน่อยจะเป็นไรไป’
อาวุธชิ้นแรกที่ผมได้จับก็คือดาบเซเบอร์นี่แหละ
นึกถึงภาพท่านพ่อท่านแม่ที่กำลังเฝ้าคอยอย่างมีความสุขถึงวันที่ผมจะได้กวัดแกว่งดาบเพื่อตระกูล…มันเคยเป็นแบบนั้นล่ะ
“แล้วเจ้าจะทำยังไงกับดาบเล่มเก่าล่ะ? ถ้าจะขายให้ข้าตามสภาพแบบนั้น ข้าจะคิดราคาเป็นเศษเหล็ก ไม่ว่ากันนะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
ผมส่งดาบที่เคยใช้ให้คนแคระ และรับเงินมา
“ถึงงั้นก็เถอะ สภาพของดาบพวกนี้มันแย่จริงๆ ”
ผมกล่าวขอโทษกับเจ้าของร้านที่เช็คสภาพของดาบ
ถึงดาบมันจะผลิตแบบจำนวนมาก แต่มันก็ยังมีคนที่สร้างมันอยู่ การที่ผมใช้มันจนพังแบบนั้น…
“ไม่ๆ ข้าไม่ได้จะว่าอะไร ข้าแค่ไม่ค่อยได้เห็นนักดาบในเมืองมือใหม่ที่ใช้งานดาบจนพังแบบนี้เท่าไหร่น่ะ…
คนที่เก่งจริงๆ แถวนี้มันมีแทบนับนิ้วได้ ซึ่งส่วนใหญ่พอได้ดิบได้ดีแล้วพวกเขาก็ย้ายเมืองกันไปซะหมด”
พอเขาส่งเงินทอนให้ ผมก็หันไปทางโนแวม
“โนแวม เธอแน่ใจนะว่าจะไม่เอาอะไรเลยน่ะ? ”
เธอส่ายหัวยิ้มๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ ข้าซื้อมีดพกมาแล้ว ส่วนอุปกรณ์ป้องกันที่มากกว่าที่ใส่อยู่ คุณเซลฟี่ก็บอกว่ามันเกิดจำเป็นด้วยค่ะ”
“…นั่นสินะ”
ใครมันจะใส่ชุดเกราะเหล็กไปสู้กับสไลม์กัน แค่โล่ไม้หอกเหลาก็เหลือเหล่แล้ว
พอได้ดาบใหม่มา ผมกับโนแวมก็ออกไปจากร้านค้า
.
.
.
ในระหว่างทางกลับ
ผมนำโนแวมไปเส้นถนนที่ไม่ค่อยมีคนสัญจร
“เอ่อ..คือ..เรื่องเงินน่ะ ข้าว่าที่มีอยู่ตอนนี้มันน่าจะพอแล้ว..ข้าเลยอยากคืนมันให้เธอ”
เงินที่เหลือจากภารกิจปราบโจรคือประมาณ 60 เหรียญทอง
แน่นอนว่ามันถูกหักค่าจ้างคน ค่าอาหาร ค่าบลาๆๆ ไปซะเกือบหมด แต่ก็ได้จากส่วนที่ขายสมบัติในรังโจรคืนมาด้วย
พอเทียบกับเงินตั้งต้น 200 เหรียญทอง มันก็ถือว่าขาดทุนยับล่ะนะ
โนแวมที่กำลังกังวลเรื่องเมนูอาหารเย็นอยู่ พอได้ยินสิ่งที่ผมพูด ก็เปลี่ยนการแสดงออกมาจริงจังทันที
เธอส่ายหน้าปฎิเสธ
“ท่านไรเอล ข้ารู้สึกดีใจที่ท่านคิดถึงเรื่องนี้นะคะ แค่เงินนี้จำเป็นสำหรับท่านในอนาคต ข้ารับมันไม่ได้หรอกค่ะ”
“ไม่…”
“ถ้าท่านยืนยันแบบนั้นจริงๆ …ยังไม่ต้องตอนนี้ก็ได้ค่ะ ไว้ท่านได้เป็นนักผจญภัยชั้นยอดเมื่อไหร่ ได้โปรดคืนให้ข้าตอนนั้นแทนนะคะ ท่านไรเอล”
ผมลังเลที่ตอบเธอไป เพราะเดิมทีผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นนักผจญชั้นยอดเลยนี่สิ
“ข-เข้าใจแล้ว…สักวันหนึ่ง เหมือนที่เธอทำเพื่อข้า…ข้าจะตอบแทนให้มากกว่าให้ดู ข้าสัญญา”
โนแวมยิ้มเล็กๆ
“แล้วข้าจะรอนะคะ”
รุ่นที่หนึ่งที่คอยฟังอยู่ พูดขึ้น
[…ช่างเป็นเด็กดีแท้ๆ ]
คนอื่นๆ นอกจากเขาก็แสดงความเห็นตามออกมาเหมือนกัน แต่ผมพยายามไม่สนใจล่ะ
[มันทำให้ความไร้ค่าของไรเอลชัดขึ้นไปอีก]
[อ่า ที่ไรเอลได้ดิบได้ดีจนถึงตอนนี้ก็เพราะเขามีหนูโนแวมอยู่เคียงข้างล่ะ]
[เธอช่างต่างกับผู้หญิงที่ข้ารู้จักนัก]
[รุ่นที่สี่ คุณน่ะเอาใจภรรยามากไป ข้าเลยต้องเรียกเธอว่าหม่าม๊าตลอดเลย]
[ไรเอล เจ้าต้องรักษาสัญญาให้ได้ล่ะ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเสียคนเอานะ]
[ตระกูลฟอกซ์เลี้ยงลูกมาดีจริงๆ เทียบกับตระกูลวอลท์แล้ว…]
พอฟังพวกเขาจบ ปลายสายตาของผม ก็เห็นบ้านพอดี
.
.
.
กลางคืน
เพื่อถามเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ พอจึงเข้ามาให้ห้องประชุมของอัญมณี
โนแวมกับอาเรียหลับไปแล้ว ส่วนผมตอนที่จิตสำนึกถูกดูดเข้ามาในอัญมณี ภายนอกก็หมดสติไป
นอกจากโต๊ะกลมๆ กลางห้องแล้ว ห้องนี้ก็เป็นทรงกลมเช่นกัน
ซึ่งข้างหลังของเก้าอี้แต่ละตัวที่อยู่รอบโต๊ะองศาก็จะตรงกับตำแหน่งห้องของบรรพบุรุษแต่ละคนพอดี
และทั่วทั้งห้องจะมีอัญมณีสำน้ำเงินคละขนาดฝังอยู่เต็มไปหมด
…ทิวทัศน์ทั้งหมดดังกล่าวรวมกันเป็นห้องประชุมภายในอัญมณีที่เราเรียกกันล่ะ
เช่นเคยพิธีกรคือรุ่นที่สี่ ถามถึงเหตุผลที่ผมเรียกรวมทุกคนมา
[พวกเราเปิดการประชุมตามคำร้องแล้ว เจ้ามีสิ่งที่อยากจะถามสินะ จะเริ่มด้วยเรื่องอะไรก่อนล่ะ?]
เขาเริ่มเข้าเรื่องทันทีในขณะที่มองมาทางผม และใช้นิ้วดันกรอบแว่นตา
ถ้างั้น…
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ข้าแค่สงสัยเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่าง แต่ก่อนอื่น ข้ายังมีสิ่งที่สนใจอยู่”
[คือเรื่อง? ]
ผมนึกถึงบทสนทนาของรุ่นที่สอง และรุ่นที่สี่ก่อนหน้านี้
‘อืม…มันเกี่ยวกับ [การเติบโต] น่ะครับ…”
พอผมพูดไป พวกเขาก็ทำหน้าเหมือนเห็นของแปลกทันที
รุ่นที่หนึ่งเอ่ยขัดผมออกมา
[ฮ่า ใช่สิ การเติบโต! ไรเอล เจ้าเคยเจอมากี่ครั้ง? ถึงพลังเวทกับพลังกายของเจ้าจะโหลยโท่ย
และเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ได้เรื่องแค่ไหน…แต่ถ้าเป็นสรรถภาพของไรเอลล่ะ? ]
รุ่นที่หนึ่งส่งต่อให้รุ่นที่สองที่อยู่ข้างๆ
รุ่นที่สองเดาะลิ้นก่อนจะตอบ
[สมรรถภาพทางกายของเจ้าถือว่าต่ำ และพอมองจากความสามารถทางเวทมนต์กับเชิงดาบแล้ว เจ้าถือว่าเป็นประเภทที่ใช้เทคนิคนะ]
ถึงจะถูกเรียกแบบนั้น แต่ผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นสายเทคนิคเลยนะ
รุ่นที่สามพูดต่อ
[ถ้าคิดถึงการที่เจ้าใช้ดาบคู่ ไม่ใช่ว่าการเติบโตของเจ้าจะไปทางความเชี่ยวชาญสกิลหรอกเหรอ?
แบบที่โฟกัสไปยังสายเดียว ประเภทนี้หายไม่ยากเท่าไหร่]
รุ่นที่หกพยักหน้า
[ใช่ ผู้คนประเภทที่คอยเพิ่มความแข็งแกร่งให้จุดเด่นของตัวเองเพียงเดียวจนออกมาน่าอัศจรรย์ก็มีอยู่ ดังนั้นถ้าไรเอลโฟกัสให้ตรงจุด…]
ก่อนบทสนทนาเริ่มไหลไปเรื่อยๆ ผมรีบพูดขึ้น
“ของร้องล่ะ ฟังที่ข้าพูดก่อน! ไอการเติบโตที่ว่ามันคืออะไรกันแน่? ถึงพวกคุณจะบอกว่ามันคือความรู้สึก แต่ข้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
มันต่างกับการที่ร่างกายโต หรือใจแกร่งขึ้นจริงเหรอ? ”
ทุกคนใบ้กิน
คุณปู่ รุ่นที่เจ็ดจับไหล่ของผมและถามยืนยัน
[ร-ไรเอล! ]
“ครับ? ”
[เจ้าอายุ 15 แล้วนี่? สกิลของเจ้าถึงจะยังไม่ชัด แต่ก็มีแน่ๆ
เอาล่ะ ให้ข้ายืนยันก่อนนะ…จนตอนนี้เจ้ายังไม่เคยสัมผัสถึงการเติบโตสักครั้งเลยใช่มั้ย?
อย่างแบบ เหมือนเจ้าตื่นนอน ประสาทสัมผัสเปลี่ยนไป หรือการเคลื่อนไหวที่ดีขึ้น ไม่ก็รู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่
…นึกให้ออกสิ! หรือประสบการณ์ประหลาดอะไรก็ได้! ]
พอถูกบอกมาแบบนั้น ผมก็พยายามทวนความจำ แต่จนตอนนี้ผมก็ไม่เคยรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่สักครั้งล่ะ
รุ่นที่หนึ่งยืนยันอีกคน
[ไม่สิ อย่าง..เจ้าใช้ชีวิตอยู่ดีๆ ก็…ป้างขึ้นมา! เคยเจอแบบนั้นมาบ้างแล้วใช่มั้ยล่ะ? ข้าก็มีความรู้สึกแบบนั้นตอนเติบโตครั้งที่ 3-4 นะ]
บรรพบุรุษทุกคนแสดงความเหลื่อเชื่อออกมาบนใบหน้า
แต่ผมก็ไม่เคยเจอเรื่องพวกนั้นอยู่ดีล่ะ
“…ไม่เคยครับ”
รุ่นที่เจ็ดอ้างปากพะงาบๆ
รุ่นที่ห้าถามผมด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
[ไรเอล ที่เจ้าบอกว่าถูกเมินตอนอายุ 10 ปีน่ะ มันระดับไหนกัน? เจ้ายังได้รับการศึกษาที่เหมาะสมรึเปล่า? ]
ผมตอบไปตามตรง
“ครับ ผมอ่านหนังสือทุกเล่มที่พวกเขาให้มาเลยนะ”
พอได้ยินคำตอบของผม ทุกคนก็พากันตื่นตระหนก
[หยุดก๊อนนนนน!! ]
[ห๊ะ อะไรนะ?…ไรเอล แล้วเวทมนต์ที่เจ้าเคยใช่ล่ะ!? เดี๋ยวสิ แล้วเจ้าใช้เวทมนต์ได้ไง!? ]
[ข้าต้องคิดยังไงเนี่ย!? ]
[ม-ไม่จริงน่า…การศึกษาที่แค่ยื่นหนังสือให้เขาอ่านมัน…]
[บ้าบอจริงๆ ทุกคนเลย ไรเอลก็ด้วย เราไม่ได้เข้าใจสถานการณ์นี้มาตั้งแต่แรกแล้ว]
[ก่อนข้าจะใช้เวทมนต์ได้เท่าไรเอล ข้าต้องเติบโตมาแล้วตั้ง 2 ครั้งล่ะ]
[…ข้าอยากจะเตะตูดลูกชายข้าให้ปลิวไปสัก 2-3 รอบ…]
พอเห็นทุกคนเป็นแบบนั้น ผมก็คิดว่าสถานการณ์คงไม่สู้ดี
ถัดมา บรรพบุรุษทุกคนก็นั่งลง และถามถึงสิ่งที่ผมต้องพบเจอมาจนถึงปัจจุบันอย่างละเอียด
รุ่นที่สี่กลับมาเป็นพิธีกรอีกครั้ง
[ไรเอล บอกพวกเราที…ว่าเจ้าใช้ชีวิตมาแบบนั้นได้ยังไงกัน? ]
ผมเล่าถึงสิ่งที่นึกออก
ว่าผมตัวคนเดียวมาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ
ด้วยอาหารที่มาส่งที่ห้องทุกวัน
และอาจารย์ที่ไม่เคยพูดอะไรด้วยเลยสักประโยค พร้อมกับหนังสือที่ยื่นมาให้…
พอผมพูดมาถึงเรื่องนี้ ผมก็ต้องเอามือกุมหัว
“อ-อะไรกัน? เดี๋ยวสิ แบบนี้มันแปลก…ไม่ใช่เหรอ? ”
ทุกคนพยักหน้า
[ใช่ ถ้าเจ้าใช้ชีวิตแบบนั้นมาก็ต้องรู้ตัวไปนานแล้ว ถ้างั้น…]
พอรุ่นที่ห้าเปิดประเด็นมา รุ่นที่หนึ่งก็พูดต่อ
[เป็นเพราะฝีมือสัตว์ประหลาดที่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์รอบๆ ตัวของเจ้าได้ นั่นรึเปล่า?
แต่ก็ยังแปลกอยู่ดีที่ไรเอลไม่เคยเติบโตมาก่อนน่ะ? ถึงจะใช้ชีวิตแบบนั้นก็ต้องมีบ้างสักครั้งสองครั้ง…]
การเติบโต 1-2 ครั้ง
คือจำนวนปกติที่ผมต้องเจอมาบ้างในชีวิต
รุ่นที่สี่ถอนหายใจ
[ไรเอล…ข้าขอถอนคำพูดเรื่องที่เคยบอกว่าพลังเวทของเจ้าต่ำเกินไปนะ ที่สำคัญเจ้ายังมีเรื่องที่อยากรู้อยู่นี่? เอาเรื่องนั้นก่อนเถอะ]
เมื่อรุ่นที่สี่ทักถึงจุดประสงค์ที่ผมเรียกทุกคนมาในตอนแรก ผมเลยพูดออกไป
“ไม่…คือ…”
รุ่นที่สองมองที่ผมอย่างหวาดระแวง
ใบหน้าของเขามันประมาณว่า ‘ไอ้นี่มันจะพูดอะไรน่าเหลือเชื่อออกมาอีกหรือไงกัน? ’
[ค-คราวนี้อะไรอีก]
ก็แค่…
“ก็แค่ผมควรจะทำอะไรดีน่ะ ครับ? ”
บรรพบุรุษทุกคนรอบตัวผมแสดงออกอย่างฉงนสนเท่ห์ทันที
—-
อู้ว ไรเอลเป็นโนวิทที่ใช้เวทมนต์ได้เหมือนนักเวท และสกิลดาบเยี่ยงนักรบเชียวรึ…
.
.
หายไปนานเลยคับ ติดนิยายเรื่อเชือดออร์คพิชิตฮาเร็ม ไปตามอ่านมาสองร้อยกว่าตอนจนไม่มีให้อ่านต่อ
ไหนจะเล่นอีเว้นเก็นชินอีก ดูคอนเสิร์ตออนไลน์อีก ธุระรัดตัวจริมๆคับ (ล่อแล่ก)