Sevens - ตอนที่ 2 โนแวม อดีตคู่หมั่น
โนแวม อดีตคู่หมั่น
บนเกวียน
ผมมองผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
เมื่อผมเหลือบมองเธอ เธอก็มองมาที่ผมด้วย เมื่อเราสบตากัน เราทั้งคู่ก็สบัดหน้าหนี
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า พวกเจ้าไร้เดียงสาจัง”
พ่อค้าเร่เห็นพวกเราแล้วหัวเราะ
เธอชื่อ โนแวม ฟอกซ์
เธอไว้ผมหางม้าข้างซึ่งเข้ากับผมยาวสีน้ำตาลอ่อนของเธอได้ดี
ผมมั่นใจว่าในกระเป๋าหนังของเธอ คงเตรียมของสำหรับเดินทางไว้แล้ว
เธอคงเลือกแต่ของจำเป็นมา และไม่ได้สวมชุดเดรสที่เคยใส่ประจำ
เธอสวมรองเท้าบูทอย่างหนาทำให้ส่วนสูงเพิ่มคล้ายผู้ใหญ่มากขึ้น
และการแสดงออกเกร็งๆ ทำให้รู้ว่าเธอค่อนข้างตึงเครียดกับการเดินทางในครั้งนี้
ผมกระซิบถามเธอโดยไม่ให้พ่อค้าเร่รู้ตัว
“เธอรู้ได้ยังไง? แล้วที่ตามมาด้วยนี่เธอจะบ้าเหรอ? “
“…ฉันน่ารำคาญสินะ? “
เด็กสาวทำหน้าหดหู่
โนแวมนั้นมาจากตระกูลบารอน โดยปกติแล้วการแต่งงานข้ามยศจะไม่ดีต่อสถานะทางสังคม
แต่ตระกูลฟอกซ์ก็คอยรับใช้ตระกูลวอลท์มาหลายชั่วอายุคนแล้ว
กำหนดการแต่งงานกับเธอที่อยู่แค่ชั้นบารอน กว่าจะถูกยอมรับจากพ่อแม่ของผมที่ห่วงสถานะ
ก็ปาไปตอนที่ผมอายุ 13 แล้ว คงเพราะพวกท่านต้องรับมือมันไปตลอดชีวิตล่ะนะ
เป็นเรื่องธรรมดาที่ในหมู่ชนชั้นสูงจะยกเอาเรื่องพวกนี้ไปเม้าท์แตกกัน
ทั้งเรื่องยศทางบ้านบ้าง การศึกษาของเธอที่หมั้นกับผมบ้าง
“ไม่ใช่แบบนั้น ข้าน่ะถูกไล่ออกมาจากตระกูลเลยนะ การที่ตามข้ามาเนี่ยไม่โง่ก็บบ้าแล้ว”
การติดตามคนที่ไม่มีอะไรเลยแบบผม จะไม่สร้างประโยชน์ให้ทั้งเธอ และตระกูลฟอกซ์ด้วย
สำหรับขุนนางแล้ว ผลประโยชน์ของตระกูลจะถูกให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกเสมอ
มีแค่คนส่วนน้อยที่ไม่ได้คิดแบบนั้น
และผมก็ไม่คิดเลยว่าโนแวมจะเป็นคนกลุ่มน้อยนั้นด้วย
เพราะเราอายุใกล้เคียงกัน จึงได้เจอกันบ่อยๆ
ผมยังจำช่วงเวลาที่เราเล่นด้วยกันได้ดี
แต่หลังจากที่พ่อแม่เริ่มเมินตัวผม พวกเราก็ไม่ค่อยได้คุยกันอีก
เพราะผมอยากดึงความสนใจของพ่อแม่กลับมา เลยเอาแต่ทุ่มเทไปกับการเรียน และการฝึกฝน
“ไม่สิ ที่จริงเธอมันน่ารำคาญ และต่อจากนี้ไปข้าก็ตั้งใจที่จะใช้ชีวิตอย่างอิสระคนเดียวด้วย”
ถ้าผมพูดแรงๆ เธอก็น่าจะกลับไป ผมจึงพูดอะไรที่ไมใช่ตัวเองออกมา
โนแวมไม่ใช่เด็กสาวเพ้อฝัน และในเกณฑ์คัดเลือกเจ้าสาวอันเข้มงวดของตระกูลวอลท์ เธอก็ผ่านมันมาได้
“…ข้าขอโทษจริงๆ แต่ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งงานกับท่านไรเอลค่ะ”
ผมแสดงความตั้งใจ ต่อหญิงสาวที่กำลังยิ้มตรงหน้า
“ไม่เอาหรอก ข้าตั้งใจจะเป็นนักผจญภัย และใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีผู้หญิงมาผูกมัด
ที่จริงการที่ถูกไล่ออกมาจากตระกูลก็ทำให้ข้ารู้สึกโล่งใจขึ้นจริงๆ “
ด้วยคำพูดที่เลวร้าย ทีนี้โนแวมก็คงจะยอมแพ้แล้วล่ะ
ผมก้มหัวลง เพราะไม่อยากเห็นใบหน้าของโนแวมที่รังเกียจผม
แต่เพื่อจบบทสนทนา ผมจึงเงยหน้าขึ้นมองเธออีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วง นี่เป็นสิ่งที่ข้าตัดสินใจเอาเอง ถ้าเราไม่ได้แต่งงานกัน ก็ขอข้าติดตามท่านไปด้วยก็พอแล้ว”
ผมเอามือก่ายหน้า
“แล้วตระกูลฟอกซ์ล่ะ? เธอจะทำให้ครอบครัวเสียใจนะ”
เมื่อผมยกเรื่องทางบ้านขึ้นมา โนแวมก็ตอบกลับมาด้วยความมั่นใจอย่างเต็มที่
“ไม่ต้องห่วง ข้าเป็นลูกสาวคนที่สอง และน้องชายของข้าก็เป็นผู้สืบทอดตระกูลอยู่แล้ว
ไหนข้าจะมีพี่สาว และน้องสาวอีก ส่วนพ่อแม่ก็ส่งข้าออกมาพร้อมบอกว่า
มันคงจะดีกว่าที่ให้ข้าออกมาใช้ชีวิตอย่างอิสระคนเดียวน่ะ”
‘ท่านผู้นำตระกูลฟอกซ์ครับ น็อตในหัวท่านหลุดเรอะ!? ‘
ผมเริ่มจะเวียนหัว
ถ้าจะพูดถึงเธอ โนแวมเป็นคนที่รักษาภาพลักษณ์ได้ดี ทั้งยังมีมารยาทที่ดีและช่างสังเกต
ถึงเธอจะไม่พูดออกมา แต่ผมก็มั่นใจว่ามีคนอยากแต่งงานกับเธออีกเยอะ
เธอกระทั่งสามารถแต่งเข้าบ้านขุนนางชั้นวิสเคานท์ได้ด้วยซ้ำ
เธอสามารถอยู่อย่างมีความสุขได้เท่าที่ต้องการ มันคงเสียเปล่าถ้าเธอทิ้งโอกาสพวกนั้นไปเพื่อมาอยู่กับผม
ด้วยความที่ผมรู้จักเธอมาตั้งแต่เด็ก ผมจึงอยากให้เธอมีความสุข แต่เหมือนความตั้งใจของพวกเราจะขัดกันเอง
‘พอมาคิดดูแล้ว เมื่อก่อนเธอก็หัวดื้อแบบนี้เหมือนกันนี่นะ’
“…ทำตามที่เธอต้องการเถอะ”
ผมหันหน้าหนี โนแวมก็เอามือบังปากแล้วหัวเราะ
“งั้นฉันก็จะทำตามนั้นนะ”
พ่อค้าเร่เหมือนจะได้ยินที่พวกเราคุยกัน จึงพูดขึ้นมา
“ดีจังเลยน้า ชีวิตวัยรุ่นเนี่ย”
เขาได้ยินตั้งแต่ต้นเลยนี่หว่า
ใบหน้าของผมแดงกล่ำด้วยความอาย ในตอนนั้นผมก็ได้ยินเสียง
[โอ้ย โอ้ย เจ้านี่เป็นที่รักไม่เบาเลยนะ เด็กน้อย]
น้ำเสียงแสดงความเย้ยหยัน
ผมมองไปรอบๆ
บนเกวียนก็มีแค่ผมกับโนแวม พ่อค้าเร่ก็คุมเกวียนอยู่ด้านหน้า
รอบๆ เกวียนของเราก็มีนักเดินทางและเหล่าพ่อค้ากำลังทำมาหากิน แต่ก็ไม่มีใครสักคนที่พูดแบบนั้นออกมา
“โนแวม เธอได้ยินอะไรมั้ย? เสียงเย้ยหยันนั่นน่ะ? “
เธอส่ายหัว
“ฉ-ฉันขอโทษ…แต่ฉันไม่ได้ยินเลย”
เธอก้มหัวขอโทษ ผมบอกเธอว่าต้องคิดมากแล้วมองหารอบๆ อีกครั้ง
เสียงเหมือนผู้ชายที่ค่อนข้างหนักแน่นๆ แต่ผู้ชายที่ผมเห็นรอบๆ ไม่มีใครที่เหมือนจะเป็นคนพูดเลย
แล้วผมก็รู้สึกว่าเสียงมันใกล้มากๆ
‘หลอนไปเอง? หรือเราเหนื่อยมากไป? …มาคิดๆ ดูแล้ว เราเพิ่งฟื้นไข้เกือบตายมาเองนี่
คงเพราะร่างกายยังแข็งแรงไม่เต็มที่ล่ะมั้ง? ‘
ผมจำได้ลางๆ ว่าเคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อนตอนที่ผมนอนมองเพดานในกระท่อมของแซล
พอผมมองไปที่หลังคาผ้าของเกวียน พ่อค้าเร่ก็มองแปลกๆ มา ผมเลยหยุด
ผมเป็นคนเดียวที่ได้ยินเสียงนั่น สรุปแล้วผมคงเครียดมากไปนั่นแหละ
“ท่านไรเอล ไม่เป็นไรนะ? “
โนแวมถามอย่างเป็นห่วง ขณะผมกำลังจะตอบธอว่าไม่เป็นไรนั้น
แต่ผมก็ได้ยินเสียงจากใกล้ๆ อีกครั้ง
เสียงนั้นค่อนข้างตื่นเต้น แต่โนแวมก็ไม่ได้ยืนเช่นเดิม
[สำหรับเจ้าหนุ่มที่อายุเพียงเท่านี้…ข้าอิจฉาจริงๆ ]
[ท่านคงผ่านอะไรมามากสินะ ท่านพ่อ]
ผมสะดุ้งแล้วมองไปรอบๆ โนแวมตกใจ
“ท่านไรเอล มีอะไรหรือคะ!? “
แต่รอบๆ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
“…ไม่มีอะไรหรอก”
ผมพูด
“อืม? ข้าคงเหนื่อยมากๆ… ของีบพักสักหน่อยนะ”
.
.
.
หลังมาถึงเมือง พวกเราก็ต่อรองกับพ่อค้าเพื่อให้เขาพาเราเดินทางไปด้วยในวันพรุ่งนี้
อาจเป็นเพราะฤดูกาล ทำให้ในตัวเมืองค่อนข้างมีชีวิตชีวาเลย
หลังนัดเรื่องการเดินทางกับพ่อค้าเร่เรียบร้อยแล้ว ผมกับโนแวมก็ออกตามหาที่พัก
แต่ก็มีปัญหา
“มีแค่ห้องเดียว? ขอ 2 ห้องไม่ได้หรือ? “
เจ้าของโรงเตี๊ยมยืนยันทันทีว่าได้แค่ห้องเดียว
“ช่วงนี้ของปีคนแน่นมาก ทางเราไม่สามารถให้พักคนเดียวต่อห้องได้จริงๆ
ถ้าพวกท่านรู้จักกันอยู่แล้วก็ใช้ห้องร่วมกันได้ไหม? “
ผมหันไปทางโนแวม
เธอเลือกจะตามผมมาก็จริง แต่การนอนร่วมห้องกับเธอเป็นสิ่งที่ผมต้องการหลีกเลี่ยง
ผมที่ถูกสอนมาว่าอย่านอนร่วมกับผู้หญิงถ้ายังไม่ได้แต่งงานด้วย เลิ่กลั่กว่าจะต่อรองกับเถ้าแก่ยังไงดี
แต่โนแวมก็บอกเขาง่ายๆ ว่าช่วยไม่ได้นะคะ แล้วก็จ่ายค่าห้องเป็นหรียญทองแดงจำนวนนึงแล้วรับกุญแจมา
“ด-เดี๋ยวสิ…”
ก่อนที่ผมจะถามว่าเธอว่ามันไม่เป็นไรเหรอ แต่เถ้าแก่ก็พูดขึ้นมาก่อน
“ห้องของพวกท่านจะอยู่ทิศที่ทางเดินยาวกว่าบนชั้นสอง หมายเลขห้องอยู่กับกระดาษที่แนบกุญแจไว้
โอ้ แล้วก็อาหารเช้ากับน้ำอุ่นบริการฟรี แต่ทางเราไม่มีบริการอาหารเย็นนะ
ดังนั้นพวกท่านควรออกไปหาอะไรทานก่อนทิ้งจะสัมภาระไว้นะ”
ผมไม่เข้าใจว่า ‘ก่อนจะทิ้งสัมภาระไว้’ หมายถึงอะไร
‘ก็ในเมื่อมีกุญแจแล้ว ทำไมไม่เอาของเก็บนห้องก่อนล่ะ เราน่ะไม่เป็นไร แต่โนแวมกระเป๋าใบใหญ่ซะด้วยสิ’
แต่ผมก็ขอบคุณเถ้าแก่ที่แนะนำ
“ขอบคุณ แล้วกุญแจห้องล่ะ? “
“ข้าไม่ลืมหรอกว่าพวกท่านจ่ายค่าห้องแล้ว ฝากไว้กับทางนี้ แล้วเดี๋ยวข้าจะให้กระดาษโน้ตกับพวกท่านไว้
พอมาถึงที่นี่ก็เอาไปยื่นให้ใครก็ได้ แล้วเดีญวพวกเขาจะให้กูญแจห้องเอง”
ห้องกำลังจะถามว่าทำไมต้องเอาสัมภาระไปด้วย แต่โนแวมก็ดึงผมออกไป
พวกเราออกจากโรงเตี๊ยมแล้วออกไปหาของกินที่บาร์หรือร้านอาหารใกล้ๆ
มีผู้คนมากมายบนถนน เป็นเมืองที่คึกคักจริงไ
[…เดี๋ยวนะ เจ้าเด็กนี่จะไร้เดียงสาเกินไปรึเปล่า? มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกนี้เขาอยู่กันยังไง]
[เพราะเขาเป็นขุนนางต่างหาก! ไรเอลจะกลายเป็นเคานต์ในอนาคต! ]
[อืม ก็จริงที่เจ้านี่มันโตขึ้นมาในทุ่งลาเวนเดอร์ เป็นเด็กเหลือขอที่เอาแต่พยายามให้ตัวเองเป็นที่รักล่ะนะ]
ท่ามกลางเสียงโหวกเวกรอบข้าง ผมก็ได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง
มันอยู่ใกล้ๆ แน่นอน และครั้งนี้มีชื่อของผมอยู่ด้วย
“ท่านไรเอลเป็นอะไรมั้ย? ผิวซีดแล้วนะ”
“ข-ข้าไม่เป็นไร! “
ผมลุกลน โนแวมคงจะไม่ได้ยินอีกเหมือนเดิม เสียงดังขึ้นอีกครั้ง
[ให้ตายสิ ดูมันทำ…มือเอ็งอย่างว่าง ไปช่วยคุณหนูถือกระเป๋าสักทีฟะ
เจ้าหนูนี่มันไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย]
[นี่เหรอคนที่จะเป็นเคานต์? ข้าคิดว่าเพราะถูกเลี้ยงดูมาไม่ดีเลยโตขึ้นมาเป็นแบบนี้สินะ
ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ ]
“…แกพูดว่าอะไรนะ? “
ผมได้ยินอีกแล้ว ใกล้มาก แต่ละเสียงมีความแตกต่างกัน พวกเขาจึงน่าจะมีหลายคน
“ท่านไรเอล? “
เพื่อไม่ให้โนแวมกังวลเกินไป ผมเลือกที่จะเมินพวกเขา
แต่ก็จริงที่ผมไม่ควรให้ผู้หญิงถือกระเป๋าหนักๆ อยู่คนเดียว
“อ-เอ่อ…โนแวม มันหนักมากมั้ย? ให้ข้าช่วยเถอะ”
ผมจับกระเป๋าเธอ เมื่อเธอดึงดันจะถือต่อ ผมจึงออกแรงแย่งกระเป๋าและเดินเข้าไปในร้านอาหาร
แต่เสียงก็ดังขึ้นอีกแล้ว
[เขาควรจับมือแล้วนำเธอไปนะ]
เมื่อได้ยินแบบนั้น ภาพที่ผมจับมือเธอก็แว๊บขึ้นมาในหัว
‘ไม่ เดี๋ยวสิ พวกเราเข้ามาในร้านแล้วนะ…จับมือเธอตอนนี้ก็ไม่มีความหมายหรอก’
ขณะที่ผมยื่นมือออกไป ผมก็ตีกับตัวเองในหัว
เหมือนเธอรู้ว่าผมจะทำอะไร โนแวมจับมือผมกลับ
“ท่านไรเอลคะ ที่นั่งตรงนั้นว่างอยู่ ช่วยนำข้าไปหน่อยจะได้ไหม? “
“อ่า เอ๋..ด-ได้สิ”
เมื่อผมพาเธอมาที่นั่ง โนแวมก็กล่าวขอบคุณ
“ขอบคุณมากค่ะ ท่านไรเอล เอ่อ..คือว่า”
พูดเสร็จ โนแวมก็เรียกบริกรมาสั่งอาหารอย่างคล่องแคล่ว เธอถามเมนูแนะนำ และสั่งมาสองที่
เธอหันมาถามผมว่าโอเคหรือเปล่า และผมก็ตอบตามน้ำเธอไปเพราะผมไม่รู้จะสั่งอะไรดี
แล้วเสียงก็ดังขึ้น
[เฮ้ เจ้านี่มันไม่น่าเบื่อไปหน่อยเหรอ? ]
[นั่นคงเพราะเขาอ่อนต่อโลกเกินไป แถมบางจุดก็ดูไม่น่าไว้ใจเลย]
[นั่นสิ คราวนี้ไม่เป็นไรเพราะคุณหนูคนนั้นใจดีด้วยสิ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงทิ้งเจ้านี่ไปแล้วแหง? ]
ในขณะที่ถูกประเมินต่ำลงเรื่อยๆ ผมก็คิด
‘นี่มันเรื่องอะไรกันฟ่ะ!? ‘
.
.
.
ค่ำคืน
หลังจากกลับมาถึงที่พัก ผมก็รับน้ำอุ่นจากพนักงานที่เตรียมไว้ให้
เหมือนผมจะต้องเช็ดตัวด้วยน้ำในถัง
“ที่นี่ไม่มีห้องอาบน้ำเหรอ? “
โนแวมตอบคำถามผม
“แม้แต่ในเมืองท่องเที่ยว อาจจะมีที่พักบางแห่งที่มีตามเรทราคาค่ะ แต่โดยปกติแล้วเขาจะเช็ดตัวกัน
ขนาดโรงเตี๊ยมที่มีห้องน้ำรวมให้ยังไม่ค่อยมีเลยนะคะ”
“จริงเหรอ? ข้าเคยได้ยินว่ามีโรงแรมในเมืองบางที่ที่มีห้องอาบน้ำส่วนตัวด้วยนี่ ทำไมเราไม่…”
เธอทำหน้าลำบากใจพลางจุ่มผ้าลงในน้ำแล้วบิดหมาด เธอบอกให้ผมถอดเสื้อ และเริ่มเช็ดตัวให้
“โรงแรมที่มีห้องอาบน้ำส่วนตัว ราคาจะแพงอย่างไม่น่าเชื่อเลยค่ะ พวกเขาคิดต่อคืนเป็นเหรียญเงินเลยนะคะ”
“ข้าพอมีเหรียญเงินอยู่บ้างนะ โนแวม แล้วเจ้าไม่เป็นไรเหรอถ้าไม่ได้อาบน้ำน่ะ? “
พอพูดแบบนั้น เธอก็เตือนผม
“ไม่ดีเลยนะคะ ท่านไรเอล! จากนี้ไปเงินจะหายากแล้วนะ
ถ้าไม่ประหยัดไว้ก่อน สักวันเงินจะหมดก่อนที่ท่านจะรู้ตัวซะอีก”
“จ-จริงเหรอ? “
ขณะเธอดุผม เธอก็เช็ดหลังผมเสร็จ และขยับไปที่หัวต่อ เธอยกถึงขึ้นมาค่อยๆ เทน้ำลงบนหัว
[เฮ้ เจ้าเด็กเหลือขอ ตัวเจ้าสะอาดแล้วก็รีบๆ ออกจากห้องไปสักที]
“เอ๋? “
“มีอะไรหรือคะ ท่านไรเอล? “
เมื่อผมได้ยินขู่ก็หันไปรอบๆ ด้วยผมที่เปียกอยู่ น้ำเลยกระเซ็น
[ไม่ดีแล้ว เจ้าเด็กนี่…มันไม่รู้ตัวโดยสิ้นเชิง]
[ข้าว่ามันคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอก มั้ง]
ผมบอกโนเอลว่าไม่มีอะไร รอผมแห้งสักพัก และสวมเสื้อ
“งั้นข้าขอใช้ต่อนะคะ? เอ่อ…”
เหมือนเธออยากจะพูดบางอย่าง
“ช-ใช่ งั้นไปล่ะนะ ข้าอยู่แค่หน้าประตูถ้าเจ้าต้องการอะไรก็เรียกข้าได้นะ”
‘ทำไมผมต้องออกไปหว่า? ‘
“ขออภัยจริงๆ ค่ะ”
ผมออกจากห้องมานั่งเก้าอี้ไม้บนทางเดิน นอกจากเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเก้าอี้ ผมก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก
“มันใช่แค่อาการหลอนงั้นหรือ? วันนี้ทั้งวัน…”
เมื่อได้นั่งหนังตาก็หย่อน ผมหลับตาลง คงเพราะตัวสะอาดผมจึงรู้สึกสบายใจ
.
.
.
[ตื่นซะ ไอ้สารเลว! ]
ผมลืมตาขึ้นจากเสียงโกรธ และพบว่าอยู่ในที่ๆ ต่างออกไป
“เอ๋ ก-เกิดอะไรขึ้น? “
มีคนอยู่ 7 คนนั่งอยู่บนโต๊ะกลมขนาดใหญ่ตรงหน้าผม
แต่ละคนมีรูปร่างแตกต่างกัน และทุกคนคุ้นหน้าผมทั้งหมด
ผมเคยเห็นพวกเขาที่ไหนนะ? ขณะคิดอยู่ผมก็เห็นชายคนนึงที่สวมเสื้อกั๊กหนัง
แขนเขาใหญ่ราวท่อนซุง ผมเผ้ารุงรัง เขาเด่นขึ้นมาท่ามกลางชายที่เหลือซึ่งดูดีกว่า
พวกเขาทั้งหมดอายุประมาณยี่สิบปลายถึงสามสิบต้น
ผมหันไปสนใจคนเถื่อนเมื่อครู่
“หืม? เสียงนี่มัน…”
[ใช่แล้ว พวกเราเอง]
จากทั้งหมดมีคนที่ผมจำได้อย่างชัดเจน ถึงจะไม่เหมือนเป๊ะเพราะอยู่ในวัยหนุ่ม แต่จากบรรยากาศแล้ว…
[ไรเอล! ]
“เอ๋? ท-ท่านปู่! “
ตรงนั้นมีท่านปู่ของผมในวัยหนุ่ม หลังของเขาตรง และร่างกายดูแข็งแรงกว่าในความทรงจำผม
[เจ้าโตขึ้นเยอะเลย..ปู่ดีใจที่ได้เจอเจ้านะ ไรเอล]
ด้วยบรรยากาศปู่ย่าตายายเจอหลาน ทำให้คนอื่นๆ เหมือนจะไม่พอใจ ไม่สนใจ ไม่ก็เบื่อหน่าย
พวกเขาคล้ายกำลังจ้องมอง และประเมินตัวผมด้วยเกณฑ์ของตัวเองอยู่
ท่านปู่พูดขึ้น
[พวกเจ้าข้องใจอะไรกับหลานของข้างั้นเรอะ!? ]
คนที่ตอบกลับมาคือชายที่เหมือนคนเถื่อน
[มีสิวะ! เจ้าตุ๊ดอ้องแอ้งนี่มันอะไร!? ไม่มีทางที่สายเลือดของข้าจะผลิตคนที่อ่อนแอแบบนี้ได้หรอก! ]
“ส-สายเลือด!? “
ผมยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไหนจะท่านปู่ นี่ไม่ใช่ฝันเหรอ?
ขณะที่ผมคิดอยู่ ก็มีอีกคนพูดขึ้น
[ไม่ใช่แบบนี้สิ? อ่าเดี๋ยว ก่อนอื่นข้าอยากจะบอกเจ้าก่อน อืม~ไรเอลสินะ? ข้าคือทวดของเจ้าเอง]
“…ครับ?”
ชายผมแดงที่ดูเคร่งครึม และมีมารยาท ชุดของเขาเก่าเล็กน้อย
ผมจำภาพแขวนในบ้านเดิมได้ ภาพผู้นำคนก่อนๆ ตระกูลที่แขวนอยู่ทั่วคฤหาสน์
ถึงแต่ละรูปจะสร้างความประใจไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือมันชวนให้รำลึกถึงพวกเขา
ชายที่เหมือนคนเถื่อนพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด
[เจ้าจะแรมต่ำไปไหน! ฟั ง อี ก ที น ะ ~ พวกเราคือบรรพบุรุษของแกโว้ย! ]
ชายในชุดนักล่าข้างๆ เขา พึมพันขึ้นมาเบาๆ
[เจ้าอาจจะไม่ยอมรับ แต่คนตรงหน้าของเจ้าคือขุนนางผู้ก่อตั้งตระกูลวอลท์
อ่า แล้วเจ้าก็ไม่ต้องเคารพเขามากก็ได้นะ]
“..ห๊ะ? “
ผมมั่นใจมาก ว่าตอนนี้ผมกำลังทำหน้าเหรอหราอยู่
—
ตัวเอกเด็กกระโปกมาก จะว่าอายุก็ไม่ใช่ โนแวมยังดูเป็นผู้เป็นคนกว่าเลย