Scholar’s Advanced Technological System - ตอนที่ 525 ศาสตราจารย์
ประมาณสองเดือนที่แล้ว ในช่วงที่งานวิจัยเป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความคึกคัก ลู่โจวก็ได้วางแผนบางอย่างเอาไว้ในใจแล้ว
และเมื่อใดที่รู้สึกขี้เกียจ เขาก็มักจะออกไปเดินเล่น หรือไม่ก็หาอะไรทำเพื่อฆ่าเวลา
แต่ทว่า ถึงแม้ว่าจะรู้สึกขี้เกียจอยู่บ้าง เขาก็ยังคงมีแผนการบางอย่างที่ต้องทำ
ไม่ว่าจะไปไหน ก็ไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าอยู่บ้าน
ไม่ว่ายังไง บ้านก็คือสถานที่ผ่อนคลายและเงียบสงบที่สุด
ถึงอย่างไร ถึงแม้ว่าลู่โจวจะได้กลับมาพักผ่อนที่บ้าน แต่เขาก็หยุดคิดถึงโครงการวิจัยและปัญหาที่พบไม่ได้เสียที
แม้ว่าการมีความคิดสร้างสรรค์จะเป็นสิ่งที่ดี แต่การที่จะมาคิดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทำงานในระหว่างวันหยุดแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรเสียเท่าไหร่
ถึงกระนั้น ลู่โจวเองก็ค้นพบวิธีผ่อนคลายโดยไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องงานวิจัยที่มักจะคอยกวนใจเขาอีกต่อไปแล้ว
เขาหวนคิดถึงช่วงเวลาที่ได้พักผ่อนอยู่ที่สถาบันพรินซ์ตัน และสำหรับวันหยุดวันที่สอง ลู่โจวที่ทนการอยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ได้ก็ได้เดินทางไปยังสถาบันจินหลิงด้วยรถยนต์ของหวังเผิง
เดิมที เขาตั้งใจไว้ว่าเพียงแค่ออกไปเดินเล่น แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่าตัวเองจะมาจบลงที่นี่และอยู่กับคณบดีสวี่ จากนั้น ลู่โจวก็ได้เดินไปยังห้องทำงานและนั่งพักสักครู่
คณบดีสวี่พลันสั่งให้ผู้ช่วยชงชามาสองถ้วยและเดินไปนั่งที่โซฟา
“ตั้งแต่กลับมาจีน เป็นยังไงบ้างล่ะ?”
ลู่โจวเผยยิ้ม “ก็เหมือนอย่างที่เคยบอกไป ผมไม่ได้กลับมาที่นี่นานแล้ว”
คณบดีสวี่เผยยิ้ม “ฉันไม่ได้ถามเรื่องชีวิตของนาย แต่ฉันหมายถึงเรื่องงานวิจัย ตอนนี้นายเองก็พักอยู่ที่บ้านพักจงซานนี่ แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ?” คณบดีสวี่พลันหยุดพูดไปชั่วครู่ “สภาพแวดล้อมการวิจัยที่นี่กับที่เก่าของนายคงจะไม่เหมือนกันสินะ”
“ใช่ครับ ต่างกันมาก แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร” ลู่โจวตอบกลับ
อย่างน้อย เขาก็ค่อนข้างพอใจกับสถาบันการศึกษาที่ตัวเองอยู่ในตอนนี้
“พูดก็พูดเถอะนะ แล้วโครงการนิวเคลียร์ฟิวชันแบบควบคุมเป็นยังไงบ้างล่ะ?” ดูเหมือนว่าคณบดีสวี่จะนึกอะไรออก “แต่ถ้าลำบากใจ ไม่ต้องบอกก็ได้นะ”
ลู่โจวส่ายหัว “ไม่ได้ลำบากใจอะไรเลยครับ มันเป็นการศึกษาแบบเปิดมากกว่า การทำงานทุกอย่างเริ่มอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ทุกคนช่วยกัน ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาอยู่บ้างก็เถอะ”
เรื่องที่ลู่โจวกำลังพูดถึงอยู่ก็คือหัววัดสถานะอะตอมเฮชสาม ตัวควบคุมขั้นสูงของเฉียวอี้ ขดลวดสนามที่ทำมาจากวัสดุตัวนำยิ่งยวด SG-1 และเครื่องปฏิกรณ์
ถึงอย่างไร ลู่โจวเองก็เป็นบุคคลที่มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบในงานวิจัยนี้ไม่ว่ายังไงก็ตาม
“มันน่าเป็นห่วงไหมล่ะ?” คณบดีสวี่ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ:
ลู่โจวพลันถอนหายใจ “ก็ยากอยู่ครับ ส่วนที่ยากที่สุดก็น่าจะเป็นพวกขั้นตอนทางเทคนิค ตั้งแต่ส่วนประกอบคาร์บอนไฟเบอร์ของผนังชั้นแรกไปจนถึงระบบควบคุมลิเทียมนิวตรอนเหลว ปัญหามันเยอะกว่าที่คาดคิดเอาไว้เสียอีก”
สิ่งเดียวที่ยังทำให้รู้สึกโชคดีอยู่ในตอนนี้ก็คือ อย่างน้อยลู่โจวก็ยังมีแนวคิดในการวิจัยที่ดูเหมือนช่วยในการแก้ปัญหาเหล่านั้นได้
มันเป็นแนวคิดที่ลู่โจวคิดว่าเพียงพอแล้วในการแก้ไขปัญหาที่พบ
จากนั้น ลู่โจวก็เอื้อมมือไปหยิบถ้วยน้ำชาบนโต๊ะและเปิดประเด็นขึ้น
“ยังไงก็เถอะ อย่าเพิ่งพูดเรื่องนิวเคลียร์ฟิวชันเลย วันนี้เป็นวันหยุดของผมด้วยสิ ก็เลยอยากจะพักผ่อนสักหน่อย ตอนนี้เลยยังไม่อยากพูดเรื่องงานวิจัยเท่าไหร่”
คณบดีสวี่เผยยิ้มพร้อมตอบกลับ “นายต้องพักผ่อนบ้างแบบนี้แหละ ลองออกไปตกปลา ปีนเขาหรือหาอะไรอย่างอื่นทำดูบ้าง แล้วนายอยากทำอะไรบ้างไหมล่ะ? แต่อีกไม่นาน ฉันเดาว่านายก็คงจะไปสอนนักเรียนที่สถาบันสินะ”
“ที่จริงก็ว่างอยู่หรอก แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน”
คณบดีสวี่พลันพูดขึ้น “งั้นก็ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรหรอก นายคงมีหลายเรื่องให้ต้องคิด”
“ยังไงก็เถอะ ผมเองก็ยังมีเรื่องที่ต้องคุยกับคุณอยู่ แต่ไว้ครั้งหน้าก็แล้วกัน” ลู่โจวตอบกลับ “แต่ถ้าเราเจอกันครั้งหน้า ผมก็คงจะเป็นศาสตราจารย์เต็มตัวแล้วแหละ คุณเองก็อยู่ที่นี่มานานแล้วนะ”
“นายจะมาเป็นศาสตราจารย์ที่นี่ใช่ไหมล่ะ?” คณบดีสวี่พลันถามขึ้น
ลู่โจวพลันกล่าวติดตลก “แล้วทางสถาบันเตรียมตัวต้อนรับผมหรือยังล่ะครับ?”
“รู้แล้วน่า” เขาพลันจับต้นขาของตัวเองและเผยเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข “ถ้านายเต็มใจที่จะกลับมาสอนจริง ๆ ไม่ว่ายังไง ในฐานะคณบดี ฉันจะขับรถไปรับนายถึงหน้าบ้านเลย!”
เดิมทีคณบดีสวี่คิดเรื่องนี้เอาไว้อยู่แล้ว แต่เขาเองก็ไม่ได้คิดว่าลู่โจวจะกลับมาสอนในเร็ววันและกะทันหันแบบนี้ นั่นเป็นเพราะหลังจากกลับมาที่จีน ลู่โจวเองก็ได้กลายเป็นหัวหน้าผู้ออกแบบโครงการ STAR และเป็นหัวหน้าวิชาการของการวิจัยนิวเคลียร์ฟิวชันแบบควบคุมด้วย
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเงินทุนเลย แม้ว่าคุณจะมีเงินทุนวิจัยอยู่สักสองหรือสามสิบล้าน ผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องพุ่งความสนใจมาที่คุณแน่
หากคุณมีความเชี่ยวชาญอยู่ในระดับนักวิชาการอยู่แล้ว คุณก็จะสามารถมีโครงการวิจัยมากมายไว้ในกำมือได้
มันไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่นัก
แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้ลู่โจวรู้สึกสนใจไม่น้อย
และด้วยเหตุผลบางประการ เขาจึงไม่คิดจะพูดถึงเรื่องนี้อีก
ถึงอย่างไร คณบดีสวี่เองก็ไม่ได้คาดคิดว่าลู่โจวจะเป็นคนที่เริ่มพูดเรื่องนี้ขึ้นมา นั่นเป็นเพราะมันทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ยังไงก็เถอะ ผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป” ลู่โจวพลันกระแอมและมองไปยังคณบดีสวี่ “ถ้าเหล่านักเรียนได้อาจารย์ดี ผลการเรียนของพวกเขาก็จะดีไปด้วย และถ้ามองกลับกัน ถ้าสถาบันนั้นมีคณบดีที่แย่ อนาคตของหลายพันคนก็คงจะต้องย่อยยับแน่”
สำหรับลู่โจวแล้ว การคิดถึงคำถามง่าย ๆ ที่นอกเหนือจากงานวิจัยไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผ่อนคลายสมองเท่านั้น แต่มันยังช่วยให้เขารู้สึกเหมือนได้รับแรงบันดาลใจมากขึ้นอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น การวิจัยเองก็ไม่ใช่สิ่งที่คน ๆ เดียวจะทำได้สำเร็จ แต่ทว่า หากลู่โจวได้พร่ำสอนเด็กฝึกงานที่มีความสามารถสักสองสามคน ทุกอย่างมันก็คงจะง่ายขึ้นมาก
สำหรับงานประเภทนี้ มันก็ต้องมีขึ้นมีลงบ้างเป็นครั้งคราว
ท้ายที่สุดแล้ว ถ้าพูดถึงคนที่เป็นคณบดี ตัวเขาเองก็ไม่ได้ต้องการที่จะมีอำนาจอะไรมากนัก
“ยังไงก็เถอะ ผมเองก็ไม่ได้อยากทำงานพวกบริหารมากนักหรอก แต่มันก็ดูจะเป็นการตัดสินใจที่ดีไม่น้อย” คณบดีเผยยิ้มและพูดต่อ “งั้นตอนนี้ จินหลิงก็ถือเป็นวิทยาลัยที่มีเงินทุนรองรับแล้วสินะ”
“ไม่ใช่ว่าเป็นแบบนั้นมาตั้งนานแล้วหรือครับ?” ลู่โจวเผยยิ้ม
“ทั้งศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์และศาสตราจารย์ที่ทำงานอยู่ที่นี่ต่างก็แตกต่างกัน ฉันจะให้เวลานายลองคิดดูสักวันสองวัน ลองไปหาใครสักคนหรือคิดทบทวนดูก่อนก็ได้ หรือถ้านายไม่มีเวลาเลย เดี๋ยวฉันจะส่งคนไปหา แต่ยังไงก็เถอะ มันก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับนายอยู่แล้วแหละ”
“ผมเองก็ยังประหม่าอยู่บ้างนั่นแหละครับ” ลู่โจวตอบกลับ
จากนั้น เสียงเคาะประตูจากข้างนอกสำนักงานก็พลันดังขึ้น
ในไม่ช้า น้ำเสียงที่น่าเคารพปนแปลกประหลาดก็พลันดังขึ้นมา
“ศาสตราจารย์ลู่อยู่ที่นี่งั้นเหรอ?”
…
ยุโรป
สถาบันเวนเดลสไตน์เซเว่นเอ็กซ์เซเว่นเอ็กซ์
ตรงหน้าอุปกรณ์ที่กำลังปิดระบบลง หัวหน้าของสมาคมเฮล์มโฮลทซ์ก็พลันกล่าวคำพูดขึ้น
“ผลลัพธ์เป็นยังไง?”
ศาสตราจารย์เเคริเบอร์พลันหายใจเข้าเฮือกใหญ่
“เรากำลังพยายามปรับปรุงแผนการควบคุมแล้วก็เวลาในการกักเก็บพลาสมาเพิ่มขึ้นนิดหน่อย แต่มันก็ยังคงมีปัญหาในเรื่องระยะเวลาอยู่”
“แล้วตอนนี้ได้เท่าไหร่ล่ะ?” มิลเลคพลันถามขึ้นอย่างสงสัย
ศาสตราจารย์เเคริเบอร์มองไปยังผู้ช่วยข้างกายพร้อมตอบกลับ
“หนึ่งร้อยสองวินาที…”
เมื่อไม่กี่เดือนก่อน การพัฒนาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีก็ยังคงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น ข้อมูลที่ได้จะสามารถนำไปจัดงานแถลงข่าวและพาดหัวในหนังสือพิมพ์ได้เลย
แต่ทว่า ในตอนนี้ ความคืบหน้าเพียงไม่กี่วินาทีนั้นก็หมดความหมายไปเสียแล้ว…
ศาสตราจารย์มิลเลคพยักหน้า แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
ศาสตราจารย์มิลเลคมาที่นี่พร้อมกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ ในฐานะนักวิชาการ เขาเองก็ไม่ต้องการที่จะเร่งรัดศาสตราจารย์เเคริเบอร์มากนัก
ทุกงานวิจัยก็มีกฎหมายที่ไว้ใช้พัฒนาวัตถุประสงค์ของตัวเอง นอกจากนี้ ความอดทนเองก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้
หลังจากความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่ ศาสตราจารย์มิลเลคก็พลันพูดขึ้น
“ตอนนี้ชาวอเมริกันกำลังวางแผนที่จะไล่ชาวจีนออกจากองค์กร ITER อยู่”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ศาสตราจารย์เเคริเบอร์ก็เผยสีหน้าสุดตกใจ
“ทำไมกันล่ะ?!”
“เรื่องทั้งหมดมันเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา…” ท้ายที่สุดแล้ว ทันทีที่เขาพลันพูดถึงรายละเอียดที่ลึกกว่านี้ หลายต่อหลายอย่างก็เริ่มที่จะครุมเครือ
“แล้วสภาจะเห็นด้วยไหม?”
“ถ้ามันจำเป็น พวกเขาก็อาจจะเห็นด้วย” ศาสตราจารย์มิลเลคตอบกลับ
ศาสตราจารย์เเคริเบอร์เผยท่าทีที่แปลกไป “แล้วเรื่องเงินทุนจากจีนล่ะ?”
“ดูเหมือนว่าสหรัฐฯจะให้คำมั่นสัญญาว่าจะรับเอาไว้”
ศาสตราจารย์เเคริเบอร์พลันบ่นออกมา “สัญญา? พวกเขาไม่เคยทำตามสัญญาเรื่องเงินทุนเลยสักครั้ง!””
“ยังไงเราก็คงไม่รู้เรื่องนั้นหรอก เราไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วยสักหน่อย” ศาสตราจารย์มิลเลครีบพูดขึ้นทันทีที่เห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของศาสตราจารย์เเคริเบอร์ “เราต้องลองไปหาความจริงกันดู”
ศาสตราจารย์เเคริเบอร์หายใจเข้าเฮือกใหญ่และสงบจิตใจ “ฉันไม่เข้าใจเลย แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่ออกไปเองล่ะ?”
เมื่อสิบปีที่แล้ว ชาวอเมริกันเหล่านั้นเรียกร้องและพยายามที่จะถอนตัวเองออกจากโครงการ ITER แต่ในตอนนี้ พวกเขากลับไม่คิดจะออกไปเลยด้วยซ้ำ แต่กลับจะไล่คนอื่นออกไปแทน
เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ ทันใดนั้น ศาสตราจารย์มิลเลคแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและพูดต่อ
“ทางองค์กร ITER กำลังพิจารณาปรับเปลี่ยนเตาปฏิกรณ์โทคาแมกเพื่อทำการสาธิตอยู่ แต่ยังโชคดี โครงการนี้ยังไม่ได้เริ่มขึ้นเลย การสูญเสียก็ยังคงไม่มากนัก และหลังจากการประชุมครั้งต่อไป เอกสารที่เกี่ยวข้องก็จะถูกเปิดเผยสู่ประชาชนอย่างเป็นทางการ ไม่เพียงแค่นั้น เวนเดลสไตน์เซเว่นเอ็กซ์เองก็จะมีบทบาทมากขึ้นอีกด้วย”
ศาสตราจารย์เเคริเบอร์เผยยิ้มอย่างขมขื่น “หมายความว่ายังไงกัน?”
นี่ถือเป็นเรื่องที่ไร้สาระไม่น้อย
การวิจัยไม่ใช่การต่อสู้
ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ทุกคนควรร่วมมือกันไม่ใช่หรือไง?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการวางแผนเผื่ออนาคต ความร่วมมือนั้นมีความหมายมากกว่าการแข่งขันเสียอีก
ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าศาสตราจารย์มิลเลคจะเข้าใจแล้วว่าทำไมศาสตราจารย์เเคริเบอร์ถึงเผยท่าทีเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่ได้พูดหรือแสดงความคิดเห็นอะไรเพิ่มเติม เขาทำเพียงแค่พยักหน้า
“ถ้าอยากจะเข้าใจ เราต้องนำหน้าพวกเขาให้ได้ก่อน”
………………………………………