Scholar’s Advanced Technological System - ตอนที่ 475 ในฐานะนักวิจัยผู้มีความฝัน (รีไรท์)
- Home
- Scholar’s Advanced Technological System
- ตอนที่ 475 ในฐานะนักวิจัยผู้มีความฝัน (รีไรท์)
ตอนที่ 475 ในฐานะนักวิจัยผู้มีความฝัน (รีไรท์)
โดย
Ink Stone_Fantasy
[คุณมีเพื่อนอยู่ในสาขาวัสดุศาสตร์หรือไม่? ทำไมไม่สมัครเข้าเรียนที่สถาบันเพื่อการศึกษาขั้นสูงจินหลิงล่ะ?] ลิงก์: หน้ารับสมัคร.
[สิ่งที่คุณต้องมีคือความหลงใหลในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ระดับการศึกษาขั้นต่ำ: ปริญญาเอก มีประสบการณ์มากกว่าสิบสองเดือนในการทำงานเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์หรือนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์ขององค์กร]
[คุณไม่จำเป็นต้องจบปริญญาเอกด้านวัสดุศาสตร์ ปริญญาเอกคณิตศาสตร์ฟิสิกส์และสาขาวิชาอื่น ๆ สามารถส่งประวัติย่อของคุณได้เช่นกัน โปรดแนบใบสมัครโครงการวิจัยอย่างเป็นทางการมาพร้อมกับประวัติส่วนตัวของคุณ]
สิบสองนาฬิกา ณ ห้องปฏิบัติการวัสดุศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โฮ่วจินลี่ที่อยู่ในห้องทดลองรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย
เช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ เดิมที เขามักจะสนใจในเรื่องอื่นอย่างเช่นรางวัลโนเบล ทว่าตอนนี้ เขากลับกำลังให้ความสนใจกับการรับสมัครนักวิจัยเพิ่มเป็นพิเศษ
โฮ่วจินลี่พลันเลื่อนดูช่องความคิดเห็นบนหน้าจอ
[การศึกษาขั้นต่ำคือระดับปริญญาเอกและมีประสบการณ์การวิจัยทางวิทยาศาสตร์อย่างน้อยสิบสองเดือน… เทพลู่! ผมกำลังเรียนปริญญาตรีอยู่เลย ผมจะสามารถจองตำแหน่งก่อนได้ไหมนะ?]
[ถามจริง? แบบนี้ต้องกดปุ่มรายงาน!]
[นักเรียนมัธยมปลายได้ไหม? ฉันสามารถถูพื้น รินน้ำชา ขายของ ทำได้หมดเลยนะคะ]
[ไม่ต้องการนักชีววิทยาเลยงั้นหรือ?!]
โฮ่วจินลี่ขมวดคิ้ว
ทันทีที่ได้เห็นความคิดเห็นเหล่านั้น เขาก็แทบจะกุมขมับ ไม่นาน… โฮ่วจินลี่จึงตัดสินใจไม่อ่านต่อ
ภายในหนึ่งปีจะมีบัณฑิตจบมาสักกี่คนกัน? แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้ว
นี่เป็นความจริง หากดูจากสภาพแวดล้อมสำหรับการพัฒนาวัสดุทั้งในประเทศและต่างประเทศ
อัตรากำไรจะน้อยกว่าสามสิบเปอร์เซ็นต์ และวงจรการพัฒนาผลิตภัณฑ์จะต้องใช้เวลาประมาณแปดปี คำถามที่แท้จริงก็คือมีอสังหาริมทรัพย์กี่แห่งที่เพียงพอสำหรับการพัฒนาในครั้งนี้? การต่อยอดผ่านทางอินเทอร์เน็ตนั้นเพียงพอแล้วหรือยัง?
แน่นอน วัสดุในประเทศยังคงมีความสำคัญอยู่พอสมควร อีกทั้งยังต้องมีการสนับสนุนอีกมาก
มิฉะนั้น ธุรกิจก็จะไม่เติบโตและงอกงาม บริษัทจำนวนมากต้องพึ่งพาเงินอุดหนุนจากรัฐและเงินวิจัย
และสำหรับนักวิจัยที่เลือกสายงานนี้ พวกเขายังต้องหารือกันเรื่องงานวิจัยต่อไป ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเงินเลยด้วยซ้ำ
โฮ่วจินลี่ถึงกับตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไม
ในระหว่างนั้น เขาเองก็หวังว่าสักวันหนึ่งจะได้แสดงแนวคิดที่เป็นเหมือนกับคู่มือปริญญาเอกออกมา ทั้งหมดล้วนเป็นโครงการระดับสูง ซึ่งจะต้องมีการพูดคุยหารือและทำการจดทะเบียนของบริษัท
ถึงอย่างไร มันก็เป็นแนวคิดที่ใช้ได้ แต่ความเป็นจริงก็โหดร้ายใช่ย่อย
ไม่ต้องพูดถึงเงินทุนระดับล้านเลย เขาไม่มีห้องทดลองเป็นของตัวเองด้วยซ้ำ
ทางออกที่ดีที่สุดน่าจะต้องให้ผ่านไปอีกสักสองปีหลังจากจบปริญญาเอก…
ถึงอย่างไร มันก็เป็นอุดมคติที่ดี แต่ทว่าสัดส่วนของโครงการเหล่านั้นคืออะไร?
มันอาจจะไม่ใช่โครงการระดับสูงขนาดนั้นก็ได้
กลับมาดูความคิดเห็นอีกครั้ง โฮ่วจินลี่เหลือบไปเห็นคำว่าสถาบันการศึกษาขั้นสูงจินหลิง เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องที่ทำให้เกิดการถกเถียงกันอย่างดุเดือดในแวดวงวิชาการเมื่อไม่นานมานี้
หน่วยวิจัยนิวเคลียร์ฟิวชั่นแบบควบคุมแห่งใหม่ตั้งรกรากอยู่ที่เมืองจินหลิง อีกทั้งหัวหน้านักออกแบบดูเหมือนจะเป็นลู่โจว
แม้ว่าจะไม่มีรายงานข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แต่ก็ไม่ใช่ความลับสำหรับโลกวิชาการ
บางคนก็เริ่มคิดว่าลู่โจวกำลังจะผงาดขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนบางคนก็คิดว่าเขาบ้าไปแล้ว แม้กระทั่งบางคนก็ยังพยายามพิสูจน์และหาความเป็นไปได้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว นิวเคลียร์ฟิวชันแบบควบคุมยังคงเป็นเรื่องที่ไกลตัวไม่น้อย แต่ถ้ามันเข้ามาใกล้ ก็เกือบจะยากเกินกว่าจะควบคุม…
แม้ว่าโครงการเช่นนี้จะไม่มีมานานกว่าห้าสิบปีแล้วก็ตาม
โฮ่วจินลี่อดไม่ได้ที่จะคาดเดาถึงนักวิจัยระดับปริญญาเอกในสถาบันการศึกษาขั้นสูงของจินหลิง ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์ฟิวชันแบบควบคุมทั้งสิ้น
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น โฮ่วจินลี่จึงเปิดลิงก์หนึ่งขึ้นมา และเขาก็ได้เห็นข้อความสรุปการรับสมัคร
ทันทีที่มองดู ดวงตาของเขาก็พลันเบิกกว้างขึ้นมาทันใด
นักวิจัยทางการมีเงินเดือนกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นต่อปี!
อีกทั้ง ยังมีรางวัลส่งท้ายปีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นประกัน เงินอุดหนุน ที่พักและอาหาร…
แน่นอน สิ่งที่ทำให้เขาถึงกับอ้าปากค้างไม่ใช่เรื่องเงินเดือน แต่มันคือคำอธิบายต่อจากนั้นต่างหาก
ตามคำอธิบายในสรุปการรับสมัคร ตราบใดที่การสัมภาษณ์ผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากการฝึกงานหนึ่งถึงหกเดือน… ก็จะได้รับคุณสมบัติเป็นนักวิจัยอย่างเป็นทางการ!
โดยทั่วไปแล้ว สำหรับบุคคลที่ไม่ใช่ดุษฎีบัณฑิต กระบวนการปกติคือต้องฝึกงานสองถึงสามปีในมหาวิทยาลัย จากนั้น ก็ทำวิจัยร่วมกับผู้ช่วยวิจัยและรองศาสตราจารย์ ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณหกปี ทว่า หากโชคร้ายต้องไปทำงานกับบุคคลที่ไม่เอาไหน ก็อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยที่สุดถึงแปดปีเพื่อให้สำเร็จ
แต่ใครอยากจะรอถึงแปดปีกัน?
ในฐานะนักวิจัย มันถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน
หากเขาต้องการสมัครเป็นนักวิจัยทางการให้สำเร็จ ก็อาจต้องใช้เวลาสักหน่อย
โฮ่วจินลี่พลันคิดว่าตนจะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ ทว่าในขณะนั้นจิตใจของเขาเริ่มร้อนรนขึ้น
เอกลักษณ์ของนักวิจัยที่เป็นทางการคือต้องมีห้องทดลองเป็นของตัวเอง ต้องมีส่วนร่วมในการค้นคว้าอิสระและต้องมีความก้าวหน้าเพื่อการแสวงหาประโยชน์ที่รวดเร็ว
เงื่อนไขเหล่านี้อาจไม่น่าสนใจสำหรับคนใหญ่คนโตบางคนที่ได้ตำแหน่งมาจากการใช้อำนาจ แต่สำหรับนักวิจัยเหล่านี้แล้ว นี่ถือเป็นสิ่งที่จะดึงตัวพวกเขาออกมาจากความทุกข์ทรมาน
…
สำหรับโฮ่วจินลี่แล้ว การนอนดึกถือเป็นเรื่องปกติ
ในวันรุ่งขึ้น โฮ่วจินลี่พลันเปิดคอมพิวเตอร์และดาวน์โหลดไฟล์พร้อมแนบบนเว็บไซต์จัดหางาน
ขณะนั้นเพื่อนของเขาก็พลันเข้ามาในห้อง
ทันทีที่ซันห่าวเดินผ่านหน้าจอ เขาก็เหล่ตามองพร้อมพูดขึ้น “การศึกษาขั้นต่ำคือระดับปริญญาเอกและมีประสบการณ์การวิจัยทางวิทยาศาสตร์อย่างน้อยสิบสองเดือน…โห! เกณฑ์คัดเลือกสูงขนาดนี้ สถาบันวิจัยไหนกันน่ะ?”
“สถาบันการศึกษาขั้นสูงจินหลิงน่ะ”
ซันห่าวพลันตกใจทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
“สถาบันการศึกษาขั้นสูงจินหลิง? บ้าน่า! นายกล้ารายงานในห้องทดลองของผู้ที่ชนะรางวัลโนเบลด้วยเหรอ?!”
“ไม่ลองก็ไม่รู้หรอก ใช่ไหมล่ะ?”
อีกทั้ง เขายังทำงานอยู่ในตำแหน่งสายวิชาการของมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮ่องกงอีกด้วย นอกจากนี้ คุณวุฒิทางการศึกษาของเขายังค่อนข้างได้เปรียบ
แน่นอน… มันยากที่จะพูดว่าได้เปรียบขนาดไหน
“แต่น่าเสียดาย ฉันเพิ่งจะอยู่ตำแหน่งนี้มาได้แค่เจ็ดเดือนเอง แต่ก็จะลองส่งใบสมัครไปดูแหละ” เขามองไปยังคู่มือการรับสมัครบนหน้าจอ ในตอนนั้นเอง ซันห่าวกล่าวด้วยความอิจฉา “ถ้านายได้ไปทำงานที่นั่นจริงๆ อย่าลืมคว้ารางวัลโนเบลมาด้วยล่ะ”
“คงต้องรออีกสักพัก ฉันกลัวว่าการแข่งขันมันจะสูงน่ะสิ”
ดูเหมือนจะมีคนสนใจเป็นจำนวนมาก
นั่นเป็นเพราะข่าวสารเรื่องการรับสมัครนั้นได้กระจายไปยังหาวิทยาลัยใหญ่ชื่อดังทั่วประเทศ
และในเงื่อนไขแบบนี้ โฮ่วจินลี่ก็กลัวว่ามันจะไม่ใช่แค่การประกาศในมหาวิทยาลัยในประเทศเท่านั้น แต่รวมไปถึงต่างประเทศด้วย ซึ่งต้องมีคนสนใจเป็นจำนวนไม่น้อยแน่…
วันเวลาผ่านไป หลังจากรออย่างใจจดใจจ่อและได้รับคำเชิญการสัมภาษณ์ โฮ่วจินลี่ก็รีบนั่งรถไฟความเร็วสูงเพื่อตรงไปยังเมืองจินหลิงโดยเร็ว
ขณะนี้เขาได้เดินตามเส้นทางบนแผนที่ เขาก็ขึ้นรถแท็กซี่ไปยังสถาบันการศึกษาขั้นสูงจินหลิง
ทว่า ทันทีที่กดจองโรงแรมระหว่างทาง เขาก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเท่าไหร่
บอกได้เลยว่ามันคือลางสังหรณ์
และเมื่อมองดูผู้คนจำนวนมากที่อยู่ชั้นล่างของสถาบันวิจัย หัวใจของเขาก็เกือบจะตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาแทบจะรู้สึกหมดหวังกับอาชีพของตัวเองเป็นครั้งแรกเลย…
……………………………………………..