Scholar’s Advanced Technological System - ตอนที่ 1268 เงินมากกว่านี้
ในทะเลทรายแห่งหนึ่งในแอฟริกาตะวันออก มีฐานทัพร้างตั้งอยู่ที่ชายแดนของประเทศหนึ่ง
เนื่องจากทหารที่ประจำการที่นี่ถอนกำลังไปแล้ว หมู่บ้านขนาดเล็กที่ใกล้กับฐานทัพก็ถูกทิ้งร้างโดยสมบูรณ์ มีแค่บ่อน้ำแห้งขอดและกระเบื้องสีเทา-เหลืองที่หลงเหลืออยู่
เนื่องจากภูมิประเทศใกล้เคียงไม่เหมาะกับการตั้งรับทางการทหาร จึงไม่มีอุปกรณ์ถูกทิ้งไว้ที่นี่ พื้นที่ทั้งหมดถูกทิ้งร้าง
แต่ในวันที่ไม่ปกตินี้ ฐานทัพร้างกำลังต้อนรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ…
รถกระบะโตโยต้าขับผ่านจุดตรวจที่ถูกทิ้งร้างและเข้าไปด้านในฐานทัพ กลุ่มทหารแอฟริกันพร้อมปืนอาร์ก้ากระโดดลงจากรถกระบะ
ที่โรงเก็บเครื่องบินร้างมีทหารรับจ้างหลายคนใส่ชุดอุปกรณ์ที่ผลิตโดยอเมริกายืนอยู่ข้างรถฮัมเมอร์ พวกเขาสอดนิ้วชี้เตรียมพร้อมปืนทันทีอย่างไม่จำใจ
มาแรคมีหนวดเฟิ้มบนใบหน้า เขาเดินไปหากลุ่มคนตรงนี้ เขาไม่ได้สนใจอาวุธปืนในมือทหารรับจ้าง เขาเดินไปหยุดตรงชายหนุ่มในชุดสูทหน้ากลุ่มคนนี้
“ของอยู่ที่ไหน?”
ชายในชุดสูทยิ้มเล็กน้อย เขาหันไปมองโรงเก็บเครื่องบินร้างและพูดว่า “มันอยู่ข้างหลังผม…ให้แขกของเราไปดูสิ”
ประตูโรงเก็บเครื่องบินเปิดออก
โรงเก็บเครื่องบินร้างถูกเติมเต็มไปด้วยกล่องทหารสีเขียวขนาดใหญ่
กล่องที่อยู่ใกล้ประตูที่สุดถูกเปิดออก ข้างในกล่องเต็มไปด้วยกองอาวุธและกระสุนปลอกสีส้ม มันยังมีอุปกรณ์การทหารพิงอยู่ด้านข้างกล่อง
มีแววตาโลภปรากฏขึ้นที่หน้าของมาแรค
ในฐานะขุนศึกที่มีชื่อเสียงในย่านนี้ เขาอาจจะดูเหมือนคนสุดจ๊าบ แต่ในความเป็นจริงชีวิตของเขาค่อนข้างตึงเครียด เหมืองเพชรและบ่อน้ำมันที่แพงที่สุดถูกควบคุมโดยกองทัพ ZF พวกเขาไม่กล้ายุ่งกับกลุ่มนี้
โดยทั่วไปแล้วแหล่งรายได้ที่มากที่สุดไม่มีอะไรมากเท่ากับการสั่งการให้เรือยอชต์ไปปล้นเรือตกปลา เขาตามหาคนในครอบครัวของตัวประกันแล้วแบล็กเมลพวกนั้น สำหรับเรือสินค้าที่ถูกคุ้มครองโดยเรือรบ พวกเขาก็ไม่กล้าเข้าไปแตะต้องเช่นกัน สุดท้ายแล้วไม่มีใครอยากเสี่ยงถูกยิง
จากการคาดการณ์ของเขามูลค่าของอาวุธในโรงเก็บนี้เพียงอย่างเดียวมีมูลค่าอย่างน้อย 10 ล้านดอลลาร์
ราคาขายที่แอฟริกาตะวันออกคงมากกว่านั้นสองเท่าเป็นอย่างน้อย
อาวุธในโรงเก็บต่อหน้าเขาดูเหมือนหีบสมบัติ เขาไม่ได้สนใจทหารติดอาวุธ
มันเป็นอาณาเขตของเขา
ถ้าเกินมันจำเป็น เขาสามารถเริ่มสงครามกองโจรได้เลย
แต่เขาอยากฟังความเห็นของคนพวกนี้ก่อนว่าจะตัดสินใจร่วมมือด้วยหรือว่าทำลายพวกมัน
“สิ่งนี้มีค่ายี่สิบล้านดอลลาร์” ชายในชุดสูทพูดย้ำถึงมูลค่าที่แท้จริงของสินค้าระหว่างที่ยื่นซิการ์ให้กับเขา “นี่เป็นซิการ์ที่ดีที่สุดจากูบาร์”
เขาจุดซิการ์
มาแรคพ่นควันออกมาลวกๆ เขาหรี่ตามมองไปรอบโรงเก็บเครื่องบิน
“แค่นี้เหรอ?”
“มันเป็นแค่เงินชำระล่วงหน้า” ชายในชุดสูทพูดพร้อมรอยยิ้ม “มันจะมีสินค้ามูลค่าเกือบ 80 ล้านดอลลาร์ในอนาคต ผมเชื่อว่าคุณต้องสนใจ”
มาแรคใจเย็นลงเมื่อได้ยินว่ามันเป็นการชำระเงินล่วงหน้า
มันไม่ใช่หลักของมืออาชีพ มันเป็นเพียงแค่สำหรับผลประโยชน์ส่วนตัวของเขา
“ฟังดูดี…คุณเอาของพวกนี้มาได้อย่างไร?”
ขายในชุดสูทยิ้มให้และตอบว่า “เรามีเครื่องบินขนส่งขนาดใหญ่และเรามีคนที่ศุลกากร คงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ เรายังสามารถจัดหา C-130 ให้คุณได้อีกด้วย”
เมื่อมาแรคได้ยินคำว่า C-130 สีหน้าเขาเปลี่ยนไป
เครื่องบินขนส่งคืออะไร?
นั่นหมายความว่าเขาสามารถขนส่งสินค้าไปพื้นที่ห่างไกลได้ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธหรือของใช้จำเป็น เขาสามารถก้าวออกจากธุรกิจโจรสลัดและเริ่มธุรกิจใหม่ในฐานะคนค้าขายอาวุธ
มีโอกาสธุรกิจที่มองไม่เห็นหลายโอกาสในทะเลทรายแห่งนี้
สำหรับนักบิน…
มันอาจจะมีปัญหา แต่น่าจะแก้ปัญหาด้วยเงินได้
“คุณต้องการอะไรล่ะ? โจมตีรถขนน้ำมัน? บ่อน้ำมันไหนดี?” มาแรคพูดพร้อมกับเลียปากตัวเองไปด้วย
มาแรคดูสนใจเป็นอย่างมาก ชายในชุดสูทเพียงแค่ยิ้มให้โดยไม่ได้พูดอะไร เขาหยิบหนังสือพิมพ์จากกระเป๋าแล้วโยนให้มาแรค
หนังสือพิมพ์มาจาก BBC
มาแรคมองดูเรือสำราญบนหน้าแล้วมีสีหน้าไม่ได้สนใจอะไร
แต่เมื่อเขามองดูข้อความใต้รูป แววตาของเขาค่อยๆ จริงจังมากขึ้น
ความเคร่งขรึมของเขากลายเป็นความโกรธ
“สิ่งนี้มันต่างจากการฆ่าตัวตายอย่างไรกันล่ะ?” เขาโยนหนังสือพิมพ์ลงพื้น มาแรคมองดูชายในชุดสูทด้วยสายตาโกรธ “นี่ล้อเล่นกันหรือไง?!”
โจมตีเรือสำราญของราชวงศ์
เรือสำราญที่มีบุคคลสำคัญจากประเทศอื่น!
นี่มันสงครามชัดๆ!
ถึงคนจะเป็นคนโลภ แต่เขาก็ไม่ได้โง่!
ทหารรับจ้างที่ยืนใกล้ๆ ถืออาวุธในมือแน่น ทหารที่ตามชายมีเคราคนนี้มาก็ทำแบบเดียวกัน
จู่ๆ บรรยากาศหน้าโรงเก็บเครื่องบินตึงเครียดขึ้นมา
เมื่อเห็นรังสีอำมหิตของขุนศึก สีหน้าของคนในชุดสูทก็เหมือนเดิม เขาพูดเสียงเบา
“ใช่ มันคือการฆ่าตัวตาย
“คนที่ไปจู่โจมเรือสำราญจะไม่รอดแน่นอน แต่ก่อนที่พวกเขาจะตาย ผมอยากให้คุณให้คนพวกนั้นฆ่าคนคนหนึ่งบนเรือ”
มาแรคหรี่ตามองเขา
ดูเหมือนว่ามาแรคกำลังคิดถึงข้อดีข้อเสียอยู่ในใจ ผ่านไปสักพัก เขาถามว่า “ใคร?”
“ผมส่งข้อมูลของเขาไปที่อีเมลของคุณแล้ว”
อาจจะเป็นเพราะความโลภที่เอาชนะเขาได้หรือเขามั่นใจว่าจะไม่มีใครรู้ว่าเรื่องนี้สาวมาถึงเขาได้ มาแรคเลยค่อยๆ พูดว่า “ผมไม่สามารถการันตีความปลอดภัยของผู้โดยสารคนอื่นบนเรือได้”
“คุณไม่ต้องรับประกันเรื่องนี้” ชายในชุดสูทยิ้มให้และพูดด้วยน้ำเสียงยินดี “ไม่ว่าจะเป็นการระเบิดเรือหรือปกปิดว่าเป็นอุบัติเหตุ มันก็แล้วแต่คุณ ตราบใดที่คุณยืนยันได้ว่าเป้าหมายเสียชีวิต คุณจะได้รับเงินส่วนที่เหลือ”
“แล้วคุณจะเลือกอะไรล่ะ?”
มาแรคนิ่งไปอีกชั่วครู่อีกครั้ง
อยู่ดีๆ เขาพูดขึ้นว่า
“หลังจากงานนี้ ผมอาจจะต้องกบดานไปอีกสักพัก”
ชายในชุดสูทยิ้มให้
“เป็นการตัดสินใจที่ฉลาด นั่นน่าจะดีที่สุด”
“ผมยังพูดไม่จบ”
มาแรคดึงซิการ์ออกจากปาก เขามีแววตาดุร้ายเหมือนกับว่าเขาตัดสินใจแล้ว
“ค่าใช้จ่ายด้วยอาวุธไม่พอ”
“ผมต้องการเงินมากกว่านี้”
…
นับตั้งแต่ที่ทำโปรเจกต์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้เสร็จ ลู่โจวตกเป็นเป้าหมายในสายตานักการเมืองจากทั่วทั้งโลก
เพราะมันมีเหตุผลเพียงแค่ข้อเดียวเท่านั้น
ในฐานะผู้คิดค้นฟิวชั่นที่ควบคุมได้ ผู้ถือหุ้นอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ และประธานขององค์กรวิจัยทางวิทยาศาสตร์จีนนับไม่ถ้วน เขาไม่ได้มีแค่สถานะแค่นักวิชาการ เขาเป็นคนที่สามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของประเทศ
ในสายนิวเคลียร์ฟิวชั่น คำพูดของเขาเป็นคัมภีร์ไบเบิล
พลังนี้สามารถตัดสินอนาคตของประเทศหนึ่งในอีกครึ่งศตวรรษข้างหน้าได้
ในฐานะหนึ่งในห้าประเทศนอร์ดิก สวีเดนหวังมาตลอดว่าจะเป็นประเทศแรกที่ได้เจรจาโปรเจกต์เครื่องปฏิกรณ์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้กับจีน โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์นี้จะมีอำนาจเหนือกริดพลังงานนอร์ดิก
พวกเขาได้ยื่นข้อเสนอพิเศษให้ อาทิเช่น การให้บริษัทจีนได้มีส่วนร่วมกับโปรเจกต์สิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะและให้การละเว้นโทษผู้ต้องหา เป็นต้น
คอร์เครื่องปฏิกรณ์ฟิวชั่นเป็นที่ต้องการของทุกประเทศทั่วโลก
ดังนั้นการเดินทางไปโคเปนเฮเกนครั้งนี้จึงเป็นเรื่องการทูต
ไม่เพียงแต่ว่ามีราชวงศ์สวีเดนอยู่บนเรือ แต่ก็มีนักธุรกิจนอร์ดิกและคนร่ำรวยหลายคนบนเรือสำราญ ‘ออโรร่าโบเรลิส’ แล้วก็มีผู้ประกอบการและทูตจากจีน
ทั้งสองฝ่ายหวังว่าจะพัฒนาการร่วมมือกันทั้งด้านเศรษฐกิจและการค้า พวกเขายังมีโอกาสการร่วมมือและตลาดสำหรับประเทศของตัวเอง
เจ้าหญิงลิเลียยืนอยู่ข้างพ่อของเธอ เจ้าชายเฟรเดอริก เธอเล่นหูเล่นตาใส่ลู่โจวตอนที่พ่อของเธอไม่ได้สนใจ
สาวน้อยดูโกรธกับสิ่งที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงเมื่อวันก่อนนู้น
แต่ลู่โจวไม่ได้กังวลอะไรอยู่แล้ว เขาเพียงแค่ยิ้มให้กับเธอ เจ้าหญิงตัวน้อยกระทืบเท้าด้วยความโกรธและหันหน้าหนี ไม่สนใจเขาต่อ
ลู่โจวก็ไม่สนอยู่ดี
เขายืนมองดูท้องฟ้าและทะเลกว้างไกลที่ดาดฟ้าเรือ
เมื่อเขามองดูคลื่นซัด เขารู้สึกเหมือนว่ามีเรื่องกำลังจะเกิดขึ้น
“ลมที่ดาดฟ้าพัดแรง”
หวังเผิงพูดขึ้น
“ผมรู้สึกว่าคุณกำลังอารมณ์ดี”
“ผมเหรอ?”
หวังเผิงพยักหน้าให้และพูดอย่างจริงจัง
“มากกว่าปกติ”
ลู่โจวได้ยินคำนี้แล้วยิ้มอย่างประหม่า
เขาไม่คิดว่ามันจะชัดเจนขนาดนี้
เขายอมรับว่าช่วงนี้เขาอารมณ์ดีจริงๆ ในความเป็นจริง เขาแทบดีใจโลดเต้น
ระหว่างที่หวังเผิงมองดูรอยยิ้มสุขใจของลู่โจว เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรตอบ เขาเลยนิ่งเงียบ
แต่ลู่โจวยิ้มได้ไม่นาน
เพราะจู่ๆ มีเสียงกริ่งเตือนภัยดังขึ้น…