Scholar’s Advanced Technological System - ตอนที่ 1080 นี่มันบ้าอะไรกัน?
ในเขตชานเมืองของบอสตันมีสถาบันวิจัยที่ครอบคลุมพื้นที่กว่าหนึ่งร้อยเอเคอร์
สถาบันวิจัยแห่งนี้แต่เดิมแล้วเป็นหน่วยงานความร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีแมซซาชูเซตส์ซึ่งควบคุมโดยบริษัทเภสัชกรรมที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดประมาณสองพันล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยการวิจัยนั้นมุ่งเน้นไปที่ชีววิทยาทางคลินิกเป็นหลัก
อย่างไรก็ตามหลังจากที่กลุ่มการเงินบอสตันได้เข้ามาซื้อกิจการแล้ว พวกเขาก็เริ่มเปลี่ยนทิศทางออกไป การวิจัยของพวกเขามุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีไครโอนิกส์ของมนุษย์แทนที่แนวทางเก่า เงินทุนของพวกเขามาจากองค์กรการกุศลด้านโรคมะเร็งที่มีชื่อเสียงมากมายซึ่งได้ให้เงินสนับสนุนจำนวนหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐแก่พวกเขา เป้าหมายคือการส่งผู้ป่วยระยะสุดท้ายไปสู่อนาคตที่ซึ่งจะทำให้พวกเขามีโอกาสหายขาดมากขึ้น
สถาบันวิจัยชีววิทยาการเยือกแข็งแห่งนี้ได้รับการจัดการโดยสเปซ-เอ็กซ์ซึ่งรวมเข้ากับห้องปฏิบัติการพักตัวเยือกแข็งของสเปซ-เอ็กซ์ด้วย
สาเหตุของการควบรวมกิจการครั้งนี้เป็นเพราะทั้งสองฝ่ายต่างดำเนินการตามเทคโนโลยีการพักตัวเยือกแข็ง แต่ว่า ด้านหนึ่งก็ใช้เพื่อการบินและอวกาศ ในขณะที่อีกด้านหนึ่งคือการใช้เพื่อทางการแพทย์
และยังมีอีกหนึ่งเหตุผล…
นั่นคือทั้งสองฝ่ายมีความเกี่ยวข้องกับเดวิด ลอว์เรนซ์จากบอสตันไฟแนนเชียลกรุ๊ป
สถาบันวิจัยชีววิทยาการเยือกแข็งไม่ใช่สิ่งเดียวที่เขาลงทุนไป
เพราะเขาได้ลงทุนในโปรเจกต์ส่วนใหญ่ของสเปซ-เอ็กซ์ หรือแม้กระทั่งโปรเจกต์ที่ดูเหมือนจะไม่มีกำไรก็ตาม
ภายในห้องปฏิบัติการชีววิทยาการเยือกแข็ง
จานเพาะเชื้อทรงกระบอกขนาดใหญ่อยู่ระหว่างคอมพิวเตอร์สองเครื่องที่เชื่อมต่อกันด้วยสายไฟต่างๆ ตรงกลางจานเพาะเชื้อมีลิงตัวหนึ่งกำลังนอนอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะเส้นที่เต้นบนเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจก็คงไม่มีทางบอกได้ว่าลิงนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
หลังจากที่เดวิด ลอว์เรนซ์มองลิงเป็นเวลานาน เขาก็พูดขึ้น
“งานวิจัยเป็นยังไงบ้าง?”
อีลอนยิ้ม “ไปได้สวย สมาชิกสภาคองเกรสที่เรารู้จักได้เกลี้ยกล่อมสํานักงานวิเคราะห์และติดตามการใช้งบประมาณแห่งรัฐสภาว่าเทคโนโลยีการพักตัวเยือกแข็งเป็นส่วนสำคัญของการบินและอวกาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการตั้งอาณานิคมของกาแลคซีที่อยู่ห่างไกลออกไป มันนี้ทำให้เราได้รับออเดอร์จากนาซา—”
“ผมไม่ได้ถามเรื่องนั้น”
เดวิด ลอว์เรนซ์มองดูลิงที่อยู่ในจานเพาะเชื้อและพูดว่า “ผมมีเงินมากพอแล้ว ผมไม่สนหรอกว่ามันจะสามารถทำเงินได้เท่าไหร่ ผมต้องการแค่ทำตามแผนให้สำเร็จก็พอ”
อีลอนมองลอว์เรนซ์และกลืนน้ำลายลงคอ
ไม่นานเขาก็เงียบลงและพูดขึ้น
“ผมเข้าใจ ลอว์เรนซ์…อันที่จริงผมไม่สนใจเรื่องเงินเหมือนกัน การบรรลุความฝันในวัยเด็กเป็นการเติมเต็มชีวิตของผมอย่างมาก แต่การที่จะทำให้ความฝันเป็นจริงเราก็ต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเช่นกัน”
ลอว์เรนซ์พยักหน้าและกล่าวว่า “หากนาซามีสิ่งที่คุณต้องการก็ทำต่อไป ผมแค่หวังว่าคุณจะไม่ลืมว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ผมไม่สนว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยชีวิตคนจนได้กี่คน เทคโนโลยีนี้สำคัญสำหรับผม และผมต้องการมัน”
อีลอนพยักหน้าด้วยความเคารพ
“เข้าใจครับ”
อีลอนเป็นดาวเด่นคนใหม่ของซิลิคอนแวลลีย์ที่ต่างพากันเรียกว่า ‘ไอรอนแมน’ ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เขารู้ว่าสัตว์ประหลาดในวอลล์สตรีทที่ไร้หัวใจเหล่านี้ไม่ได้สนใจชื่อเสียงของเขาเลยสักนิด
เพราะความมั่งคั่งของพวกเขาสะสมมานานหลายศตวรรษ แม้แต่กรมสรรพากรแห่งสหรัฐอเมริกาก็ไม่รู้ว่าพวกเขามีเงินเท่าไหร่กันแน่
พวกเขามีเส้นสายในระบบการเงินทั้งหมด
จนบางครั้งพลังอำนาจก็น่ากลัวกว่าการมีแค่เงิน
ลอว์เรนซ์มองดูลิงแล้วพูดขึ้นทันที
“ผมมีเรื่องอื่นที่ฉันสนใจอีกอย่าง”
อีลอนถามทันที “อะไรครับ?”
“บริษัทของคุณน่ะ นิวรัลลิงก์และโปรเจกต์นิวรัลเลซ” ลอว์เรนซ์มองดูอีลอนและพูดว่า “ผมอยากรู้ความคืบหน้าของมัน”
นิวรัลเลซเป็นเทคโนโลยีที่สอดตาข่ายบางเฉียบพร้อมอิเล็กโทรดเข้าไปในสมอง
การใช้เทคโนโลยีนี้ ผู้ใช้จะสามารถส่งสัญญาณสมองของตนเองผ่านอิเล็กโทรดไฟฟ้าภายนอกได้ซึ่งทำให้สามารถควบคุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ แถมยังสามารถเชื่อมต่อจิตสำนึกของตนกับอินเทอร์เน็ตโดยตรง และโต้ตอบกับผู้คนที่อยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์ได้อีกด้วย
ผู้คนได้พัฒนาเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกันมาเป็นเวลานาน แต่มันเพิ่งได้รับแรงผลักดันไม่นานมานี้
“เรามีความคืบหน้าไปบ้างแล้ว…แต่ก็ไม่มาก” อีลอนกล่าว เขาหยุดชั่วครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “การสร้างส่วนต่อประสานระหว่างสมองกับคอมพิวเตอร์ผ่านสายนาโนนั้นเป็นไปได้ในทางเทคนิคอย่างไม่ต้องสงสัย ปัญหาก็คือถึงแม้เราจะทำให้นิวรัลเลซบางพอ แต่ก็ยากที่จะป้องกันไม่ให้มันทำลายสมองอย่างถาวร…”
ลอว์เรนซ์พยักหน้าและเริ่มคิด
อีลอนสงสัยว่าทำไมลอว์เรนซ์ถึงสนใจนิวรัลลิงก์เมื่อเขาพูดขึ้น
“ถ้าหากร่างกายอยู่ในสถานะพักตัวเยือกแข็ง ไม่ใช่สมองล่ะ…เป็นไปได้ไหมที่จะรับประกันว่ามีเพียงส่วนหนึ่งของสมองเท่านั้นที่จะอยู่เฉยๆ?”
อีลอนขมวดคิ้ว
“คุณกำลังจะบอกว่า…”
“ดูเหมือนคุณจะเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไรนะ” ลอว์เรนซ์ยิ้มและยกคางขึ้น เขาชี้ไปที่ลิงและพูดว่า “ผมต้องการที่จะรู้ และผมขอลองใช้นิวรัลเลซในขณะที่อยู่ในสถานะนิทราได้ไหม?”
“ผมไม่แน่ใจ…” อีลอนส่ายหัวแล้วพูดว่า “นี่ไม่ใช่สาขาเฉพาะของผม มันถือเป็นการขาดความรับผิดชอบในการสรุปเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ยังไม่ได้ประดิษฐ์ขึ้น”
“แต่ในทางทฤษฎี” อีลอนกล่าว “ถ้าเราต้องการให้ส่วนหนึ่งของสมองตื่นตัวอยู่เสมอ ผมเกรงว่าอินเทอร์เฟซของสมองกับคอมพิวเตอร์จะไม่ใช่สิ่งเดียวที่จะฝังอยู่ในสมอง เราจะต้องขนส่งออกซิเจนและสารอาหารไปยังสมองเพื่อให้อยู่รอดด้วย”
ลอว์เรนซ์ “จะบอกว่าในทางทฤษฎีมันเป็นไปได้เหรอ?”
อีลอนมองมาที่เขาและกลั้นหายใจ
เขาคิดว่าเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่บ้าไปแล้ว เขาไม่คิดว่าจะได้พบกับคนที่บ้ากว่าตัวเขาอีก
“ร่างกายมนุษย์คือภาระ จิตวิญญาณและจิตสำนึกของมนุษย์ต่างหากคือแก่นแท้ของมัน ผมคิดว่าเราเข้าใจกันในเรื่องนี้แล้วนะ” ลอว์เรนซ์กล่าวหลังจากเห็นอีลอนเงียบอยู่เป็นเวลานาน เขาดูผิดหวังขณะพูดว่า “แต่ก็ไม่สำคัญหรอก คุณแค่ต้องทำตามที่ผมบอกก็พอ”
เลขาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ เดินเข้ามาพร้อมกับโทรศัพท์มือถือและกระซิบคำสองสามคำกับลอว์เรนซ์
ลอว์เรนซ์ดูประหลาดใจเมื่อเขาจ้องที่โทรศัพท์ เขาเลิกคิ้วขณะพูด
“ดูเหมือนว่าจะมีสิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้นนะ”
อีลอนขมวดคิ้วและถามทันที “อะไร…”
ลอว์เรนซ์ยิ้มและพูดว่า “ดูโทรศัพท์ของคุณเอาเองว่าอะไรคือเทรนด์อันดับหนึ่งบนทวิตเตอร์”
อีลอนหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดแอปทวิตเตอร์ทันที
วินาทีที่เขาเห็นสิ่งที่อยู่บนหน้าจอของเขา…
หัวใจของเขาก็เต้นผิดจังหวะจนแทบจะหายใจไม่ออก
[สถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูงประสบความสำเร็จในเทคโนโลยีภาพจำลองเสมือนจริง ส่วนต่อประสานประสาททำให้เกิดการเชื่อมต่อที่ราบรื่นระหว่างระบบประสาทกับระบบคอมพิวเตอร์!]
[สตาร์สกายเทคโนโลยีเปิดรับสมัครผู้ทดสอบระบบนี้จากทั่วทุกมุมโลกอย่างเป็นทางการ!]
เมื่ออีลอนเห็นสิ่งนี้ ดวงตาของเขาแทบจะหลุดออกจากเบ้าตา
ให้ตายเถอะ!
สตาร์สกายเทคโนโลยี!
ไอ้เจ้านั่นอีกแล้วเหรอ!
……………………………