Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1146 ชื่อ ‘โรส’
โรแลนด์รู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นอย่างที่ยากจะบรรยายได้ปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกาย ใช่จริงๆ ด้วย เขาถูกใครบางคนจับตาดูอยู่ ในโลกแห่งความฝันที่เดิมควรจะเป็นเพียงภาพมายา
เขาเงยหน้าขึ้นมากวาดตามองดูคนที่อยู่รอบๆ ตัวอย่างรวดเร็ว
ใคร เป็นใคร?
บริกร? นายทุน? ผู้ตื่นรู้?
ภายในงานยังคงครึกครื้น ทุกคนกำลังมีความสุขกับการพูดคุยและงานเลี้ยง สิ่งเดียวที่ไม่ปกติเหมือนจะเพียงตัวเขาเท่านั้น
โรแลนด์สูดหายใจเพื่อให้หัวใจเต้นช้าลง
นัดหมาย…ไม่มีทางหมายถึงอย่างอื่นแน่ คนที่ส่งข้อความมาน่าจะเป็นคนเดียวกับคนที่ทิ้งกระดาษโน้ตเอาไว้ในหนังสือ
‘โรสคาเฟ่ หมายเลข 302’
มีคนที่อยากเจอเขาอย่างแน่นอน
วิธีแบบนี้มันเหนือกว่าที่พลังแห่งธรรมชาติจะทำได้ ผู้ฝึกยุทธ์ไม่ใช่แม่มด แล้วก็ไม่ได้มีพลังอะไรหลากหลายเหมือนอย่างพวกเธอ ผู้ที่ตื่นรู้มีเพียงแค่พลัง ความเร็ว และประสาทสัมผัสที่แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น เมื่อฝึกฝนไปถึงระดับหนึ่งจะทำให้ปล่อยปราณออกมาได้ ทำให้เกิดผลคล้ายๆ กับพลังเวทมนตร์ แต่โดยสรุปแล้วก็ค่อนข้างเอนเอียงไปทางรูปแบบการต่อสู้มากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงการกระเพื่อมของพลังแห่งธรรมชาติเลย
พูดอีกอย่างก็คือคนที่ทำอักษรแปลกๆ นี้อาจจะมาจากระดับชั้นของพลังระดับสูง
บางทีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เขาก็ไม่เข้าใจของโลกแห่งความฝันอาจจะเกี่ยวข้องกับคนๆ นี้ก็ได้
“โดน NPC จับตามองอยู่จริงๆ ด้วย” โรแลนด์บ่นพึมพำออกมาเบาๆ เวลาในโลกแห่งความฝันจะหยุดลงเมื่อเขาตื่นขึ้นมา นี่ทำให้เขายากจะเชื่อมโยงมันเข้ากับความจริงได้ นอกจากแม่มดที่มาจากข้างนอกและผู้พ่ายแพ้ที่ถูกซีโร่กลืนกินเข้ามาแล้ว เขาคิดว่าคนอื่นๆ ที่เหลือล้วนแต่เป็นสิ่งที่โลกแห่งความฝันสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเหมือนจริงแค่ไหน มันก็ยังขาด ‘ความเป็นตัวเอง’ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอยู่ แต่ตอนนี้กลับมี ‘ผู้ที่ถูกสร้างขึ้นมา’ กำลังสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา แถมยังเป็นฝ่ายส่งข้อความมาหาเขาด้วย
มันเริ่มจากตอนไหน?
ตอนที่เขายืมหนังสือที่อยู่ในสมาคมมาจากการ์เซีย หรือว่าตอนที่เขาพบว่าภาพของคนที่มีชีวิตอยู่ในสมัย 800 ปีก่อนในวิหารภาพสะท้อนนั้นมีหน้าตาเหมือนกับมิสต์ที่อยู่ในโลกแห่งความฝัน?
หรือว่าจะก่อนหน้านั้นขึ้นไปอีก อย่างเช่น…ตอนที่ซีโร่ดึงเขาเข้ามาในสงครามแห่งวิญญาณ?
คิดคำตอบไม่ออก
ถึงแม้จะรู้ไปมันก็ไม่มีประโยชน์
สิ่งสำคัญนั้นอยู่ที่อีกฝ่ายอยากจะพูดอะไร
“พี่โรแลนด์?” เสียงของดาเนนดังแทรกความคิดเขาขึ้นมา “มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เปล่า…ไม่มีอะไร” โรแลนด์ได้สติกลับมา ก่อนจะส่ายหน้ายิ้ม
หลังเขาแน่ใจแล้วว่าในแก้วเหล้าไม่มีความผิดปกติใดๆ เขาก็วางมันลงไปบนโต๊ะอาหารใกล้ๆ จากนั้นจึงเดินไปหาเหล่าแม่มด
“อันนี้กินเข้าไปแล้วนุ่มมากเลย! ลองชิมสิคะ แต่พี่ต้องรอแปบนึงนะ…”
เซนต์มิลานส่งตับห่านที่เพิ่งย่างเสร็จใหม่ๆ มาให้เขา กลิ่นหอมลอยฟุ้งขึ้นมาเตะจมูก
โรแลนด์มองดูเหล่าแม่มด ก่อนจะเอามือขึ้นมากุมขมับ แม่มดทั้งสามคนไปยืนเฝ้าอยู่หน้าโต๊ะทำอาหารสามตัว พร้อมกับเอาอาหารที่พ่อครัวเพิ่งจะทำเสร็จร้อนๆ มาจนหมด ท่าทางของพวกเธอเหมือนจะบอกว่า ‘ตรงนี้ถูกฉันจองเอาไว้แล้วนะ’
ผู้ชายที่อยู่รอบๆ นั้นยังดีหน่อย ไม่มีใครที่จะไปแย่งอาหารมาจากมือสาวน้อย แต่ผู้หญิงนั้นพากันส่งเสียงต่อว่าขึ้นมา
ด้วยความสามารถในการฟังอันยอดเยี่ยม เขาได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
“นี่ใครพามาเนี่ย?” “หน้าตาน่ารักขนาดนี้ ทำไมถึงทำตัวเหมือนไม่เคยกินอาหารอร่อยๆ มาก่อนอย่างนั้นแหละ” “ดูเสื้อผ้าร้องเท้าของพวกเธอแล้ว คงจะไม่ใช่คนจากข้างนอกแอบมั่วเข้ามาในงานหรอกนะ?” “จุ๊ๆ รู้สึกเหมือนพวกเธอหิวมาหลายร้อยปีอย่างนั้นแหละ”
เดิมโรแลนด์คิดอยากจะบอกให้พวกเธอสำรวมหน่อย แต่หลังได้ยินคำต่อว่าพวกนี้ เขาก็เปลี่ยนความคิดทันทีพร้อมกับถลึงตาใส่พวกที่กำลังนินทาอย่างดุร้าย
ขอโทษด้วยนะ พวกเธอไม่ได้กินของอร่อยๆ มาหลายร้อยปีจริงๆ นั่นแหละ
“อย่าลืมเอากลับไปฝากคนที่บ้านด้วยนะ”
“ได้เลย!”
หลังกัดตับห่านย่างที่แม่มดเอามาให้เขาแล้ว โรแลนด์ก็กลับมาคิดเรื่องก่อนหน้านี้ใหม่
ในเมื่ออีกฝ่ายมีความสามารถแบบนี้ ทำไมถึงไม่มาคุยกับเขาตรงๆ? ทำไมต้องทำอะไรลับๆ ล่อๆ แบบนี้ด้วย?
กลัวเขาตกใจงั้นเหรอ หรือว่าไม่มีโอกาส?
อย่างแรกนั้นไม่น่าจะใช่ ถ้าเป็นคนหัวใจไม่ดีมาเจอเหตุการณ์นี้คงจะช็อคตายไปแล้ว
ส่วนอย่างหลัง…ภายในหัวเขามีข้อความที่อยู่ในกระดาษโน้ตนั้นลอยขึ้นมา
“วันที่เจตจำนงของพระเจ้าปรากฏขึ้นบนโลก เจอกันตามเวลาที่นัดหมายไว้….อย่างนั้นเหรอ?” โรแลนด์ท่องคำพูดเหล่านี้อยู่ในใจสองสามรอบ ก่อนจะสูดปากด้วยความตกใจขึ้นมา
“หรือว่า….”
อีกฝ่ายกำลังหมายถึงวันที่พระจันทร์สีแดงจะปรากฏขึ้นมาบนโลกแห่งความเป็นจริง?
การปรากฏขึ้นของพระจันทร์สีแดง ก็หมายถึงการเริ่มต้นของสงครามแห่งโชคชะตา
แล้วก็มีแต่ตอนนั้นที่ ‘ผู้ส่งสาร’ จะพูดคุยกับเขาได้?
แต่ว่า…คนนที่อยู่ในโลกแห่งความฝัน จะไปรู้เรื่องเรื่องที่เกิดขึ้นในอีกโลกหนึ่งได้ยังไง? เพราะว่าถ้าเขาไม่ได้เข้ามาในความฝัน ที่นี่ก็จะอยู่ในสภาพหยุดนิ่งไปตลอดกาล!
ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกจนปัญญามากที่สุดก็คือต่อให้มันเป็นอย่างที่เขาคาดเดาเอาไว้จริงๆ แต่สถานที่นัดหมายยังคงเป็นปริศนาอยู่
มีแต่ผีเท่านั้นแหละถึงจะรู้ว่าโรสคาเฟ่นั้นมันอยู่ตรงมุมไหนของเมือง
ทำไมถึงไม่เลือกตึกถงจึหรือแลนมาร์คสักแห่งในเมืองเป็นที่นัดหมายละเนี่ย!
ในขณะที่โรแลนด์กำลังคิดบ่นกับตัวเองอยู่นั้น ชายวัยกลางคนที่ดูท่าทางเหมือนเถ้าแก่สองคนเดินผ่านเขาไป
“ได้ยินว่าสนาฟกอล์ฟของคุณกำลังจะเริ่มสร้างแล้วเหรอ?”
“เพิ่งจะได้รับอนุมัติเอง ผมจ่ายไปก้อนใหญ่แหน่ะ ทำไม ประธานเกาสนใจเหรอ?”
“ก็นิดหน่อย ปกติผมไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเท่าไร แต่ผมสนใจซินแสที่คุณหามาคนนั้นมากกว่า ได้ยินคนบอกว่าคุณจ่ายตั้งสามล้านกว่าเพื่อให้เขาตั้งชื่อให้?”
“ทำไงได้ จะได้โชคดีไง อาชีพอย่างพวกเราก็อยากให้อะไรๆ มันลื่นไหลหน่อย เงินจ่ายไปแล้วมันยังหากลับมาใหม่ได้ไม่ใช่เหรอไง แต่ชื่อที่เขาตั้งให้มันได้ผลทีเดียวนะ”
“ชื่ออะไร?”
“ไรน์กรีนฟิลด์ อยู่ตรงข้ามกับโปรเจคกรีนแลนด์ของกลุ่มทุนโคลฟเวอร์ที่อยู่ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำพอดีเลย”
“ฮ่าๆๆๆ….บังเอิญจริงๆ”
โรแลนด์ตกตะลึงไปเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ฟังสิ่งที่ทั้งสองคนพูดอีก
ชื่อ…เราตั้งเองได้นี่นา!
เขาเอาแต่ให้แม่มดไปหาโรสคาเฟ่ แต่เขากลับมองข้ามจุดนี้ไป ถ้าตัวเองเปิดร้านกาแฟเองแล้วตั้งชื่อว่าโรสคาเฟ่ล่ะ?
ถ้าอีกฝ่ายอยากจะมาเจอเขาจริงๆ อย่างนั้นก็ไม่ควรจะเลือกสถานที่ที่ไม่เคยได้ยินแม้กระทั่งชื่อมาก่อน
ในทางกลับกัน ในเมื่ออีกฝ่ายสามารถทำให้ตัวหนังสือมาแสดงอยู่ในแก้วเหล้าของเขาได้ อย่างนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่อีกฝ่ายจะรู้เรื่องที่เขาเปิดร้านกาแฟ
ชั้นสองของโกดังนั้นถูกเขาเช่าเอาไว้แล้ว แค่เช่าร้านที่อยู่ติดกันอีกสองด้านมาให้ได้ เขาก็จะมีที่พอสำหรับเปิดร้าน
นอกจากนี้เขายังสามารถทำห้องส่วนตัวขึ้นมาห้องหนึ่งแล้วติดป้ายหมายเลขเอาไว้ที่ประตูว่า 302 ได้!
เมื่อรวมกับแม่มดทาคิลา ก็เรียกได้ว่าพนักงานและลูกค้าต่างก็มีครบแล้ว
ใครเป็นคนกำหนดล่ะว่าเปิดร้านเองแล้วจะซื้อเองไม่ได้?
เมื่อคำนวณเงินทุนที่มีอยู่ในมือแล้ว โรแลนด์ก็ทำการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
….
กระทั่งโรแลนด์ออกไปจากงานเลี้ยงแล้ว เฟยอวี่หานถึงได้เดินไปยังโต๊ะอาหารที่อยู่แถวสุดท้าย ก่อนจะหยิบแก้วแชมเปญขึ้นมา
เธอมองเห็นภาพ ‘นักล่า’ คนใหม่ของสมาคมกำลังจะโยนแก้วเหล้าทิ้งก่อนที่จะดึงแก้วกลับมาด้วยสีหน้าตกตะลึงอย่างชัดเจน เหมือนกับว่าสิ่งที่เขาถืออยู่ในมือนั้นไม่ใช่แก้วแชมเปญ หากแต่เป็นถ่านร้อนๆ ในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่เธอมองเห็นความลนลานที่อยู่บนใบหน้าของอีกฝ่าย
มีอะไรที่ทำให้นักล่าคนหนึ่งตกใจลนลานได้ขนาดนี้?
เธอคิดไม่ออก
สำหรับคนที่เดินอยู่บนความเป็นความตายตลอดเวลาแบบนี้ ต่อให้ความตายก็คงไม่ทำให้เขากลัวได้ขนาดนี้
แล้วนับประสาอะไรกับเหล้าธรรมดาๆ แก้วหนึ่ง
แต่เฟยอวี่หานรู้ว่าตัวเองไม่ได้ดูผิดไปแน่นอน
ตรงขาแก้วแชมเปญสามารถมองเห็นรอยร้าวได้อย่างชัดเจน นี่คือร่องรอยของการเผลอใช้แรงโดยไม่ได้ควบคุม มีแค่มือใหม่ที่เพิ่งตื่นรู้พลังแห่งธรรมชาติเท่านั้นถึงจะทำผิดพลาดแบบนี้
จากจุดนี้เธอสามารถวิเคราะห์ได้สิ่งที่เขามองเห็นนั้นจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เฟยอวี่หานยกแก้วเหล้าขึ้นมาดมๆ บริเวณขอบแก้ว แต่เธอก็ไม่พบกลิ่นที่ผิดปกติอะไร โรแลนด์ยังไม่ได้ดื่มแชมเปญจากแก้วนี้ นั่นหมายความว่าเรื่องที่เขาตกใจนั้นไม่เกี่ยวกับเหล้า
เธอค่อยๆ วางแก้วเหล้าลงหลังมั่นใจในการวิเคราะห์ของตัวเอง
นี่เป็นแค่เหล้าธรรมดาๆ เท่านั้น
เมื่อเทียบกับคำพูด ‘ราชาของทั้งสองโลก’ ‘เสนาบดีของข้า’ ที่ฟังดูเหมือนบทละครที่เด็กผู้หญิงทั้งสามคนคุกกับโรแลนด์ก่อนหน้านี้แล้ว เธอรู้สึกสนใจปฏิกิริยาของอีกฝ่ายในตอนที่ไม่ได้ระวังตัวมากกว่า มีแต่สิ่งที่เผลอทำออกมาโดยไม่ได้ระวังเท่านั้นถึงจะไม่มีทางโกหกคนได้
ตอนนั้นมันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ
เฟยอวี่หานวางแก้วลงพร้อมกับมองไปทางประตูทางเข้างาน ภายในใจเกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมาอย่างรุนแรง
……………………………………………………………