Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1470 แตกหัก
“เป็น ไปไม่ได้”
บลัดดี้คองเคอเรอร์มองดูท้องฟ้าที่เป็นสีแดง ในมือกำขวานศึกพร้อมคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ถึงแม้มันจะมองไม่เห็นสถานการณ์บนพระผู้สร้าง แต่ไม่ว่าจะเป็นเพลิงสีแดงที่พุ่งขึ้นไปบนเมฆ หรือว่าเสียงระเบิดที่ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องก็ล้วนแต่แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ทางนั้นไม่สู้ดีนัก ในฐานะที่เป็นหนึ่งในราชาที่ยกระดับขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ ของเผ่าพันธุ์ นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้เห็น ‘ฝนเพลิง’ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เท่าที่มันจำได้ มีแต่ภัยพิบัติบนแบล็คสโตนเท่านั้นถึงจะทำให้เกิดเปลวเพลิงและเสียงที่ดังสนั่นต่อเนื่องแบบนี้ได้
แต่ในตอนที่คลื่นพลังเวทมนตร์ที่รุนแรงจนผู้ยกระดับระดับสูงสัมผัสได้ถาโถมเข้ามา การคาดเดาที่เลวร้ายที่สุดก็ได้รับการยืนยัน นั่นมันไม่ถึงกับเป็นความหวั่นไหว หากแต่เป็นความหดหู่ที่กระแทกเข้ามาในใจ มีเพียงการจากไปของจักรพรรดิเท่านั้นถึงทำให้เกิดการสั่นสะเทือนที่ชัดเจนขนาดนี้ได้
ถ้าจะสังหารจักรพรรดิ ก็จำเป็นต้องบุกเข้ามาในพระผู้สร้าง นั่นหมายความว่าต้องสู้กับร่างยกระดับระดับต้นจำนวนหลายพัน ร่างระดับต้นหลายแสนตัวและร่างซิมไบออนท์พร้อมๆ กัน บลัดดี้คองเคอเรอร์นึกภาพไม่ออกเลยว่าพวกมนุษย์ทำแบบนี้ได้ยังไง
“ทางนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่? อันดีเซิร์ฟกับเดอะแมสก์มันทำอะไรอยู่?” ในเวลานี้ความโกรธของมันพุ่งขึ้นถึงขีดสุด เจ้าสองตัวนี้รับปากซะดิบดีว่าจะปกป้องพระผู้สร้างเอาไว้ให้ได้ แต่หลังผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง พระผู้สร้างกลับถูกศัตรูยึดไป ถ้าตอนนี้พวกมันอยู่ในค่าย บลัดดี้คองเคอเรอร์คงจะฉีกพวกมันออกเป็นชิ้นๆ อย่างไม่ลังเลแน่!
“เดี๋ยวๆ เจ้าจะไปไหน?”
ในขณะที่บลัดดี้คองเคอเรอร์เดินออกไปนอกค่ายด้วยความโกรธ เดธสการ์พลันรั้งมันเอาไว้
“ยังต้องถามอีกเหรอ? ก็ไปฆ่าพวกแมลงน่ะสิ! ถอยไป!”
“แล้วเจ้าจะจัดการพวกนกเหล็กที่บินอยู่บนฟ้าได้ยังไง?” อีกฝ่ายไม่ยอมถอย “ยิ่งไปกว่านั้นหากพระผู้สร้างถูกยึดไป หอคอยแห่งการให้กำเนิดที่นี่ก็จะเป็นแหล่งละอองชีวิตเพียงแหล่งเดียวที่เหลืออยู่ในแถบนี้ พวกพ้องที่ยังมีชีวิตอยู่จะต้องถอยมาที่อาร์เรียตาอย่างแน่นอน เจ้าคิดจะเดินฝ่าออกไปอย่างนั้นเหรอ?”
“แล้วมันยังไงล่ะ? ใครขวางข้า ข้าจะบดขยี้มัน!” บลัดดี้คองเคอเรอร์ถ่มน้ำลายออกมา
“จากนั้นก็ทำลายขวัญและกำลังใจของปีศาจที่อพยพมา?” เดธสการ์พูดเสียงคร่ำเคร่ง “แค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้ก็ทำให้ภายในค่ายตื่นตระหนกอย่างมากแล้ว แล้วถ้าตอนนี้เจ้าออกไปคนเดียวอีก พวกมันจะต้องคิดว่าเจ้าขี้ขลาดแอบหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวแน่! แบบนั้นระเบียบทั่วทั้งกองทัพก็จะพังทลายลง”
“เหลวไหล!” บลัดดี้คองเคอเรอร์คำรามออกมา “ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพของอาณาจักรซีสกายข้าก็ยังไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว แต่นี่เจ้ากลับบอกว่าข้าขี้ขลาดอย่างนั้นเหรอ?”
“เจ้าไม่หวาดกลัวแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร? สิ่งสำคัญคือความคิดของผู้ยกระดับตนอื่นๆ ต่างหาก ถึงแม้การคาดเดากับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงมันจะไม่สอดคล้องกัน แต่ในช่วงเวลาที่เกิดความวุ่นวายและวิกฤตมันก็สามารถทำให้คนรู้สึกสงสัยได้เหมือนกัน ที่จู่ๆ พลันมีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
บลัดดี้คองเคอเรอร์ลืมตาโตขึ้นมาทันที มันไม่มีทางลืมแน่นอนว่าเจ้าของเสียงนี้คือใคร
นี่คือสกายลอร์ดที่หายตัวไปเป็นเวลานาน!
มันยกขวานขึ้นแล้วหมุนตัวกลับไปฟันอย่างไม่ลังเล พลังเวทมนตร์อันรุนแรงระเบิดออก ทำให้บนพื้นมีหลุมกว้างหลายฟุตปรากฎขึ้นมา
ฝุ่นควันยังไม่ทันจางหายไป เฮคซอดพลันเดินออกมาจากประตูมิติอีกบานหนึ่ง
“เจ้า — คนทรยศ!” บลัดดี้คองเคอเรอร์เหลียวหน้าไปมองพร้อมส่งเสียงคำราม
“ข้าถึงได้บอกไงว่าต่อให้การคาดเดามันจะไร้สาระแค่ไหนก็ไม่มีใครสนใจหรอกว่าความจริงมันเป็นยังไง” มันพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ว่าจะเป็นตอนไหน ข้าก็ไม่เคยทรยศต่อเผ่าพันธุ์”
“หลายเดือนมานี้เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา?” สีหน้าของเดธสการ์ตกตะลึงอย่างมาก ถึงแม้มันจะไม่ได้แสดงความโกรธออกมาเหมือนกับบลัดดี้คองเคอเรอร์ แต่มันก็มีท่าทีระมัดระวัง
“ข้าไปบอทธ่อมเลสแลนด์มา…หรือก็คือโลกแห่งจิตสำนึก แหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์ที่เผ่าพันธุ์เราพูดถึง” เฮคซอดพูดช้าๆ ชัดๆ
“เจ้าว่า…อะไรนะ?” เดธสการ์ตกตะลึง
“มันอยู่ระหว่างดินแดนรุ่งอรุณกับแบล็คสโตน บนทะเลที่ปกคลุมไปด้วยหมอก” สกายลอร์ดเล่าเรื่องที่ตัวเองพบเจอออกมาคร่าวๆ “และคนที่บอกข้าเรื่องนี้ก็คือวัลคีรีย์”
ข่าวคราวที่น่าตกตะลึงนี้ทำเอาราชาทั้งสองตัวลืมตาโตพูดไม่ออกไปทันที แล้วก็ทำให้ปีศาจตัวอื่นๆ ที่ล้อมเข้ามาเนื่องจากเห็นความวุ่นวายพากันพูดคุยกระซิบกระซาบกัน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง บลัดดี้จึงพูดขึ้นมาว่า “เจ้าก็เลยร่วมมือกับมันทรยศจักรพรรดิ? การโจมตีครั้งนี้ก็เป็นแผนที่พวกเจ้าร่วมมือกับมนุษย์ใช่ไหม?”
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีทางเข้าใจ ก็เหมือนกับที่เจ้าหุนหันพลันแลนจะออกไปล้างแค้นพวกมนุษย์หลังจากถูกทำให้โกรธโดยโยนผลประโยชน์ของเผ่าพันธุ์ทิ้งไป” เฮคซอดหันหน้าไปมองเดธสการ์ “แต่เจ้าไม่เหมือนกับบลัดดี้ เจ้าน่าจะเข้าใจว่าเบื้องหลังของเบาะแสอันนี้มันหมายความว่าอย่างไร นอกจากนี้ ถึงแม้ข้าจะเคยติดต่อกับพวกมนุษย์ แต่ข้ากลับไม่เคยเข้าไปมีส่วนรวมในแผนการโจมตีของพวกมัน ที่บอกว่าข้าจับมือกับพวกมันนั้นเป็นคำพูดที่เหลวไหลทั้งเพ”
เดธสการ์นิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะพูดขึ้นมา “ถูกต้อง ข้าไม่ใช่บลัดดี้ ดังนั้นคำพูดเล่นลิ้นจึงใช้กับข้าไม่ได้ — แต่มันก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นเดียวกันว่าการที่เจ้าหายตัวไปมันทำให้ความสามารถในการป้องกันของเมืองจักรพรรดิอ่อนแอลง ต่อให้ไม่ได้มีส่วนร่วม แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการโจมตีครั้งนี้มันไม่เกี่ยวกับเจ้า การนั่งมองดูเฉยๆ ไม่ทำอะไรมันก็คือการช่วยเหลือมนุษย์อย่างหนึ่ง”
“ไม่ต้องพูดมากแล้ว!” บลัดดี้คำราม “เจ้าในพลังควบคุมมันซะ ข้าจะสับมันเป็นชิ้นๆ!”
แต่เดธสการ์กลับไม่เคลื่อนไหว “สิ่งที่ข้าอยากจะถามก็คือต่อให้ทุกอย่างมันมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าก็ยังคิดว่าตัวเองทำเพื่อเผ่าพันธุ์อย่างนั้นเหรอ?”
“สิ่งที่ข้าคิดมันไร้ความหมาย” เฮคซอดตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ความจริงก็คือการสืบทอดที่อยู่ในมือมนุษย์มันล้ำหน้าไปไกลกว่าที่พวกเราคิดเอาไว้มาก การจะทำลายพวกเขาให้สิ้นซากนั้นเป็นไปไม่ได้เลย ผลสุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้กันทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถมีชีวิตสืบทอดต่อไปในสงครามที่ไม่มีวันจบสิ้นนี้ได้ แต่ถ้าเราเปลี่ยนความคิด ถ้าหากสงครามแห่งโชคชะตาไม่ใช่สิ่งจำเป็น อย่างนั้นบางทีทั้งสองเผ่าพันธุ์อาจจะมีชีวิตรอดต่อไปได้”
“ทำไมฝ่ายที่ถอยถึงต้องเป็นพวกเรา?”
“….” ครั้งนี้น้ำเสียงของสกายลอร์ดฟังดูเศร้านิดหน่อย “เพราะคนที่ส่งผลกระทบต่อพระเจ้าได้…คือมนุษย์คนหนึ่ง”
“เจ้า…แน่ใจ?”
“ถ้าเจ้าได้เห็นโลกที่เขาสร้างขึ้นมา เจ้าจะไม่พูดเช่นนี้” สกายลอร์ดถอนใจออกมา “ได้ยินไนท์แมร์บอกว่าเผ่าพันธุ์ของเราก็เคยไปถึงขั้นนั้นเหมือนกัน ทรานฟอร์มเมอร์ที่สร้างสำนักซีคลาวด์ขึ้นมาก็เคยได้ยินเสียงกระซิบของเทวทูต และตอนนั้นมนุษย์ก็ยังเป็นแค่ฝุ่นทรายเท่านั้น”
เดธสการ์จ้องมองมันอยู่นาน เหมือนกำลังพยายามแยกแยกว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ สุดท้ายมันจึงพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมาว่า “ไนท์แมร์คิดจะมาเผ่าพันธุ์เดินไปทางไหนกันแน่? ไปสวามิภักดิ์มนุษย์คนนั้นเหรอ?”
“ไม่ พวกเราไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่พาเขาไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์เท่านั้น”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้…”
“เหลวไหล!” บลัดดี้กระทืบเท้าไปบนพื้น การพูดคุยของราชาทั้งสองถูกขัดจังหวะ “นี่มันก็จะต่างอะไรกับการยกมือยอมแพ้แล้วฝากโชคชะตาเอาไว้กับคนอื่น? เชื่อคำสัญญาของแมลงงั้นเหรอ? ข้าว่าพวกเจ้าบ้าไปแล้ว! ไนท์แมรท์เองก็เหมือนกัน!”
“นี่เป็นโอกาสเพียงหนึ่ง”
“ฮ่าๆๆ…เจ้ามองความเมตตาเป็นโอกาสงั้นเหรอ?” มันยกขวานขึ้นมา “หรือว่าการต่อสู้กับอาณาจักรซีสกายในช่วงเวลาหลายปีมานี้ไม่ได้ทำให้เจ้ากล้าหาญขึ้นเลย? อ้อ ข้าลืมไป เจ้าไม่มีความกล้าต่างหาก เพราะว่าพวกที่เอาแต่หลบอยู่ด้านหลังมันจะไปเคยเจอศัตรูที่แข็งแกร่งที่แท้จริงได้ยังไง?”
สีหน้าเฮคซอดคร่ำเคร่งขึ้นทันที
“ข้าเกิดมาเพื่อเลือดและการฆ่าฟัน! โชคชะตาที่ว่านั้นมีแต่ข้าที่ควบคุมมันได้!” บลัดดี้ส่งเสียงคำราม “วางอาวุธต่อหน้าศัตรู จากนั้นร้องขอความเมตตาจากมันงั้นเหรอ? ไม่…ข้าบลัดดี้คองเคอเรอร์ ยอมตาย แต่ไม่มันยอมแพ้ต่อศัตรูหน้าไหน!”
“ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าผลมันต้องออกมาเป็นแบบนี้ แค่ข้าก็ไม่อยากจะให้มันเกิดขึ้นเลย” เฮคซอดยกมือขึ้นมาดีดนิ้ว ประตูมิติบานใหม่ค่อยๆ เปิดขึ้นมาด้านหลังมัน
คนที่เดินออกมาจากประตูคือไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ที่สีหน้าราบเรียบ
ก้อนเมฆบนท้องฟ้าพลันจับตัวกัน
…………………………………………………