Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1392 ประสานงานการรบ
สภาพอากาศบนภูเขามักจะช้ากว่าด้านล่างภูเขา
เมื่อก่อนแคทคลอว์ไม่เคยเข้าใจคำพูดประโยคนี้เลย แต่ตอนนี้เขาเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันแล้ว
เมื่อเดือนแห่งปีศาจจบลง ในเมืองหลายๆ เมืองก็เริ่มเข้าสู้ช่วงเวลาที่หิมะละลาย เวลาเดินไปที่ไหนก็มักจะได้ยินเสียงน้ำดังเปาะแปะๆ ในดินโคลนที่เฉอะแฉะข้างทางก็จะมองเห็นต้นอ่อนของต้นไม้ที่งอกขึ้นมาใหม่ แต่บนเทือกเขาสิ้นวิถี ทุกอย่างมันยังคงเหมือนเดิม พื้นที่ส่วนใหญ่ยังคงมีหิมะปกคลุมเป็นสีขาวโพลน ริมขอบหน้าผามีเสาน้ำแข็งที่สูงกว่าตัวคน เวลาเดินผ่านทางเล็กๆ ที่อยู่ด้านล่างเขามักจะเกิดความรู้สึกกังวลว่าแท่งน้ำแข็งเหล่านี้มันจะตกลงมาใส่หัวหรือเปล่า
ถ้าไม่เป็นเพราะมีฮัมมิ่งเบิร์ดกับแม่มดอาญาสิทธิ์คอยช่วย พวกเขาก็อย่าหวังเลยว่าจะขนเอาอาวุธขึ้นไปบนแนวรบด้านบนภูเขาได้
แต่สิ่งที่ทำให้ภายในใจแคทคลอว์รู้สึกกลัวว่ากว่านั้นก็คือเป้าหมายของภารกิจครั้งนี้ ป้อมปราการเคลื่อนที่ของพวกปีศาจ
มันใหญ่โตมโหฬารเสียจริงๆ
เห็นๆ ว่าอยู่ห่างกันตั้ง 20 กว่ากิโลเมตร แต่เขากลับมองมันได้ตรงๆ โดยไม่ต้องใช้กล้องส่องทางไกล มันกินพื้นที่เกือบครึ่งของท้องฟ้าทางเหนือ รูปร่างหน้าตาของมันดูไม่ได้เข้ากับโลกที่อยู่รอบๆ เลย หินสีดำที่งอกออกมาเป็นเหลี่ยมเป็นมุมเหมือนถูกมีดแกะสลักออกมาอย่างไรอย่างนั้น ดูแล้วช่างแตกต่างจากที่ราบลุ่มบริบูรณ์ที่ถูกฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อย่างมาก
เหนือแผ่นดินลอยฟ้ามีหมอกแดงปกคลุมอยู่เต็มไปหมด พวกมันลอยสูงสุดอยู่ตรงจุดกึ่งกลางของป้อมปราการลอยฟ้า จากนั้นค่อยๆ ไหลกระจายออกมารอบข้าง มองไกลๆ แล้วเหมือนมีริบบิ้นสีแดงมาแขวนอยู่รอบๆ แผ่นดิน
ความใหญ่โตของมันทำให้แคทคลอว์รู้สึกกดดันอย่างมาก
ที่ผ่านมาระยะห่าง 20 กิโลเมตรนั้นหมายถึงความปลอดภัย ทั้งฝ่ายเราและฝ่ายศัตรูนั้นเป็นเพียงจุดดำเล็กๆ บนแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็นอีกฝ่ายหรือปะทะกันก็ล้วนแต่ยากจะเกิดขึ้นได้ แต่ตอนนี้ระยะทางนี้กลับเหมือนอยู่ใกล้แค่คืบ เขารู้สึกเหมือนตัวเองอาจจะถูกภูเขาลอยฟ้าลูกนี้ลอยเข้ามาบดขยี้ได้ทุกเมื่อ
เมื่อเทียบกับป้อมปราการของศัตรูแล้ว แนวรบและปืนใหญ่ของฝั่งตัวเองนั้นดูเล็กนิดเดียว
น่าจะเป็นเพราะทางกองบัญชาการเองก็คิดถึงเรื่องนี้เอาไว้ ทางนั้นถึงได้สั่งให้พวกเขามารวมตัวอยู่ด้วยกัน
เขาหดตัวกลับเข้าไปในป้อมพร้อมกับถอนหายใจเอาควันสีขาวออกมา
การสูดหายใจลึกๆ จะช่วยผ่อนคลายความตื่นเต้นได้ นี่คือสิ่งที่ฝ่าบาททรงสอนพวกเขาอยู่บ่อยๆ
“ทำไม กลัวเหรอ?” โพเมโลเอี้ยวตัวเข้ามา
“ถุย!” แคทคลอว์ถลึงตาใส่อีกฝ่าย “อย่างข้าเนี่ยนะจะกลัว!”
“มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าขายหน้าอะไรนี่นา” อีกฝ่ายหยิบเอากล้องส่องทางไกลออกมา ก่อนจะยื่นหน้าออกมาจากช่องสังเกตการณ์ “บอกตามตรง นี่ทำให้ข้านึกถึงตอนที่กองพันปืนใหญ่เจอกองทัพอัศวินของลองซองบุกเข้ามาครั้งแรกเลย”
แคทคลอว์ตะลึงไปเล็กน้อย
เขาย่อมต้องไม่มีทางลืมประสบการณ์การรบครั้งแรก ตอนนั้นเดือนแห่งปีศาจเพิ่งผ่านพ้นไปไม่นานเหมือนกัน แล้วก็เจอกับศัตรูที่โหมกระหน่ำบุกเข้ามาเหมือนกัน มีอยู่หลายครั้งที่เขาเกือบทำปืนใหญ่ที่ขนมาทับใส่เท้าตัวเอง ก่อนที่เขาจะกลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งในกองทัพ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่ตัวเองออกมายืนขวางหน้าอัศวินที่พุ่งทะลวงเข้ามาแล้วสู้กับพวกเขาซึ่งๆ หน้า แทนที่จะหวาดกลัวจนต้องคุกเข่าร้องขอชีวิตหรือว่าวิ่งหนีไป
ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะนึกว่าตัวเองคงต้องจบเห่แล้ว ขาทั้งสองข้างเองก็สั่นจนยืนแทบจะไม่ไหวก็ตาม
แต่ครั้งนี้ ศัตรูก็แค่เปลี่ยนเป็นแผ่นดินลอยฟ้าเท่านั้น
ในตอนที่ความทรงจำในหัวมันซ้อนทับกับภาพความจริง แคทคลอว์ก็พบว่าใจที่กำลังเต้นแรงของตนพลันสงบลง
“ข้าจำได้แล้ว ตอนนั้นเจ้ากลัวจนพูดไม่เป็นคำเลย”
“เหอะ อย่าว่าแต่ข้าเลย แม้แต่หัวหน้าแวนนาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้าเท่าไร” โพเมโลมองดูเป้าหมายพร้อมพูดต่อว่า “แต่อย่างน้อยพวกเราก็ไม่ลืมที่จะยิงปืนใหญ่ แค่นั้นก็พอแล้ว”
แคทคลอว์พยักหน้าเห็นด้วยเล็กน้อย
ถูกต้อง ความกลัวมันไม่ใช่เรื่องน่าอาย ขอเพียงพวกเขาทำหน้าที่ของตัวเองให้สำเร็จก็พอ ไม่ว่าศัตรูจะเป็นอัศวินของขุนนางหรือว่าแผ่นดินลอยฟ้า สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องทำก็คือยิงปืนใหญ่ออกไป
“เดี๋ยวๆ บนป้อมปราการมีความเคลื่อนไหว!” จู่ๆ โพเมโลพูดเสียงเบาลง “นั่นมันอสูรสยอง ปีศาจมีความเคลื่อนไหวแล้ว!”
“เร็วขนาดนี้เลยเหรอ!” แคทคลอว์ตกใจ
“จำนวนเยอะมาก…พระเจ้า” โพเมโลกลืนน้ำลาย “อาจจะมากกว่า 100 ตัว!”
เขารีบยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมา ก่อนจะเห็นว่าในหมอกแดงมีจุดสีดำบินออกมาอย่างต่อเนื่อง แถมยังตั้งเป็นแถมอยู่ริมแผ่นดินลอยฟ้า แคทคลอว์คุ้นเคยกับภาพเหตุการณ์นี้อย่างมาก เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังรวมพลอยู่ การโจมตีกำลังจะเปิดฉากขึ้นแล้ว แต่ว่าตำแหน่งรวมพลของปีศาจมันดูแปลกๆ….
ทั้งสองคนสบตากัน พวกเขาแทบจะคิดขึ้นมาได้พร้อมๆ กัน “พวกมันเจอค่ายหลอกแล้ว!”
เมื่อเทีบกับแนวรบที่แท้จริง แนวรบที่ปลอมขึ้นมาอีกที่หนึ่งก็มีปืนใหญ่ตั้งอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แต่ว่าปืนใหญ่เหล่านั้นล้วนแต่ใช้ไม้ทาสีปลอมขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ได้ใช้ตาข่ายพรางตาคลุมทับด้วย ตอนนี้ดูแล้วแผนการนี้เหมือนจะได้ผลทีเดียว!
ตามแผนการที่วางไว้ ทางอัศวินอากาศจะเป็นจนหยุดศัตรูที่มาจากบนท้องฟ้า
ยิ่งเพื่อนต่อสู้ได้ดี ศัตรูก็จะยิ่งรู้ตัวช้าว่าพวกมันถูกหลอก
“ไม่รู้ว่าพวกเขาสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของศัตรูหรือยัง…” แคทคลอวพูดงึมงำ เนื่องจากแผ่นดินลอยฟ้านั้นมีหมอกแดงอยู่บนนั้น ทางกองทัพที่หนึ่งจึงไม่ได้จัดให้แม่มดมาเข้าร่วมทีมโจมตีด้วย นี่จึงทำให้ทหารหน่วยปืนใหญ่ไม่สามารถติดต่อกับทั้งกองทัพได้ เมื่อเทียบกับตอนที่มีไลต์นิ่งกับเมซี่ค่อยช่วยสนับสนุนแล้ว ตอนนี้ทัศนวิสัยของพวกเขาแคบลงกว่าเดิมมาก แต่เมื่อคิดถึงว่าหลังจากนี้จะต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้เยอะขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงได้แต่ต้องพยายามทำความเคยชินกับการเปลี่ยนแปลงนี้
“วางใจได้” โพเมโลกำหมัดขึ้นมา “เจ้าก็รู้นี่ว่าใครเป็นคนนำกองทัพอัศวินอากาศ!”
…..
“นี่คือเมซี่ ศัตรูมีความเคลื่อนไหวผิดปกติจิ๊บ!” ในเครื่องบินของทิลลีมีเสียงรายงานของทีมนักสำรวจดังขึ้นมา “ทิศทาง สามนาฬิกาตะวันออก จำนวน 103 ตัว ในขบวนมีอสูรสยองขนาดใหญ่ มากกว่า 1 ตัวจิ๊บ!”
“รับทราบ” ทิลลีใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปในรูนสดับอีกอัน “ศัตรูเคลื่อนไหวแล้ว มีความเป็นไปได้ที่อาจจะมีปีศาจดวงตาที่เคลื่อนไหวได้ ให้ซีกัลป์บินวนไปก่อน รอฟังคำสั่งต่อไป”
“รับทราบ” คนที่ตอบเธอคือแอนเดรีย “พระองค์จะออกไปแล้วเหรอเพคะ?”
“อืม” เธอตอบอย่างสบายๆ “ฝากถามซาวีแทนข้าหน่อย ความรู้สึกที่ได้ขับเครื่องบินไม่เลวเลยใช่ไหม?”
“องค์หญิง…เมื่อไรพระองค์จะเสด็จกลับมาเพคะ หม่อมฉัน หม่อมฉันรู้สึกเหมือนมันจะตกลงไปอยู่ตลอดเลยเพคะ!” ในรูนสดับมีเสียงเหมือนจะร้องไห้ของซาวีดังขึ้นมา
“ตั้งสมาธิเข้าไว้!” จากนั้นก็มีเสียงเวนดี้ดังขึ้นมา “จับคันบังคับให้แน่น ทำเหมือนตอนที่ฝึกซ้อมนั่นแหละ เรื่องอื่นเดี๋ยวข้าช่วยเจ้าเอง”
หลังจากที่ได้ฟินิกส์มา ทิลลีนก็เริ่มมองหาคนที่จะมาแทนตน เมื่อเทียบกับการซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังแล้ว เธออยากจะแก้แค้นให้แอชเชสด้วยมือตัวเองมากกว่า สุดท้ายซาวีก็เป็นคนรับหน้าที่นี้แทน แถมยังสร้างสถิติใช้เวลาตั้งแต่ฝึกบินจนถึงบินจริงสั้นที่สุดด้วย แน่นอนว่านอกจากเป็นเพราะว่าเธอตั้งใจสอนอย่างมากแล้ว เวนดี้ที่ควบคุมลมได้ชำนาญขึ้นเรื่อยๆ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ซาวีสามารถควบคุมซีกัลได้เร็วขนาดนี้ เมื่อมีเวนดี้คอยช่วยเหลือ ขอเพียงไม่ประหม่าจนบังคับผิดพลาดก็ยากที่จะมีปัญหาเกิดขึ้นได้
“เอ่อ…สถานการณ์คร่าวๆ ก็เป็นแบบนี้แหละเพคะ” แอนเดรียกุมขมับ “นอกจากซิลเวียที่เวียนหัวเล็กน้อยแล้ว คนอื่นๆ ล้วนแต่“ดีมาก อย่างนั้นข้าออกเดินทางล่ะ
“องค์หญิง!” จู่ๆ เสียงของแอนเดรียพลันดังขึ้นมา
“ข้าฟังอยู่”
“รักษาตัว…ด้วยนะเพคะ”
ทิลลียิ้มเล็กน้อย “อื้อ ทุกคนก็เหมือนกันนะ”
เธอยื่นมือไปเปิดวิทยุ ก่อนจะหมุนปรับความถี่ไปยังช่องรวม จากนั้นจึงหยิบไมค์วิทยุขึ้นมา “ทุกคนฟัง ตอนนี้อสูรสยองได้ปรากฏตัวขึ้นมาแล้ ทำการสกัดมันตามแผนที่วางเอาไว้ ท้องฟ้าผืนนี้เป็นของพวกเรา!”
ถึงแม้ตอนนี้จะมีเฮฟเว่นเฟลมเพียงสองลำที่ทำการติดตั้งวิทยุเอาไว้ แต่นี่ก็เพียงพอที่จะให้แบ่งออกเป็นสามทีมเพื่อใช้การโจมตีสกัดรูปแบบกรรไกรแล้ว
“หัวหน้าทีมสอง กู๊ดรับทราบ”
“หัวหน้าทีมสาม ไฮส์รับทราบ”
“ตอนนี้ ออกโจมตีได้!” ทิลลีเหยียบคันเร่งนำเฮฟเว่นเฟลมทีมละ 25 ลำออกมาจากเส้นทางการลาดตระเวนของซีกัล พร้อมบินมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนืออย่างรวดเร็ว
……………………………………………………………