Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1294 เกาะที่โดดเดี่ยว
พอเหนื่อยก็ดำลงไปนอนใต้ทะเลแปบหนึ่ง ตื่นขึ้นมาก็เดินทางต่อไปข้างหน้า หิวน้ำก็เงยหน้าขึ้นมากินน้ำฝน หิวข้าวก็จับปลามากินซักสองตัว
โจนไม่รู้ว่าตัวเองผ่านวันเวลาแบบนี้มานานเท่าไรแล้ว
ตอนแรกเธอพยายามที่จะนับวันตามเวลากลางวันกลางคืนที่เปลี่ยนไป แต่พอพลาดไปครั้งสองครั้ง เธอก็นับวันคลาดเคลื่อนจากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน…ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าตัวเองว่ายน้ำมานานเท่าไรแล้ว แต่ว่า…อย่างน้อยๆ ก็น่ามาประมาณครึ่งปีแล้วหรือเปล่า?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ โจนก็รู้สึกเศร้าใจจนอยากจะร้องไห้ออกมา ความจริงเธอร้องไห้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว เพียงแต่น้ำตาของเธอหลอมรวมกลายเป็นส่วนหนึ่งของน้ำทะเลอย่างรวดเร็ว
เหนื่อยจัง
เหนื่อยจริงๆ เลย
เวลานอนเธอก็ไม่สามารถลอยตัวอยู่บนผิวน้ำอย่างสบายใจได้ เพราะว่าทำแบบนั้นมันจะเป็นการเรียกพวกนกเหยี่ยวหรือสัตว์นักล่าอื่นให้เข้ามาหา ถึงแม้มันจะกินเธอไม่ได้ แต่ถ้าโดนมันจิกเข้าก็ต้องเจ็บตัวไปหลายวัน ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะถูกปีศาจทะเลและเรือสัตว์ประหลาดพวกนั้นมาพบเข้าก็ได้
ความจริงในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ โจนได้เจอกับพวกศัตรูโดยบังเอิญมาหลายครั้งแล้ว
ทุกครั้งเธอมักจะรู้สึกกลัวจนวิญญาณแทบจะออกจากร่าง
โชคดีที่เธอมักจะใช้ความเร็วสลัดอีกฝ่ายได้ ถึงแม้บางครั้งเธอจะไม่ระวังจนทำให้บนตัวบาดแผลก็ตาม
เกล็ดที่เคยถูกฝ่าบาทชมเชยตอนนี้หลุดลอกออกไปหลายแห่ง ผิวหนังที่เปิดเผยออกมาเป็นเหมือนจุดขาวๆ แปลกๆ เนื่องจากเธอต้องแช่อยู่ในน้ำตลอดเวลา บาดแผลบางแห่งจึงเริ่มมีอาการเน่าขึ้นมา ที่เลวร้ายกว่านั้นคือหนอนปรสิตบางตัวคิดว่าเธอเป็นบ้านใหม่ของมัน พวกมันแบกเปลือกเข้ามาอยู่ในบาดแผลของเธอ ทุกครั้งที่ดึงมันออกมามักจะทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดไปถึงขั้วหัวใจ
เดิมร่างกายนี้มันก็ไม่ได้สวยงามอะไรอยู่แล้ว ตอนนี้ดูแล้วยิ่งน่าเกลียดเข้าไปใหญ่
เธอคิดถึงเตียงนอนนุ่มๆ ที่เนเวอร์วินเทอร์และอ้อมกอดอันอบอุ่นของเวนดี้อย่างมาก
คิดถึงชีวิตที่ไม่ต้องมีอะไรมาผูกมัดแล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอันตราย
นอกจากนี้ถึงแม้ในทะเลจะมีปลาให้กินเยอะ แต่เธอก็ต้องกินมันดิบๆ เท่านั้น เห็นอยู่ว่าเมื่อก่อนเธอก็กินแบบนี้โดยไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่าในปากมีกลิ่นคาวอยู่ตลอดเวลา
เธออยากจะกินปีกไก่ย่างที่ไลต์นิ่งทำ
พอคิดๆ ไปโจนก็ร้องไห้ออกมา แต่ถึงแม้น้ำตาจะไหลออกมาไม่หยุด เธอก็ยังไม่หยุดสะบัดหางของตัวเอง
แต่ว่า…อีกนานเท่าไรถึงจะกลับไปยังจุดเดิมได้?
ความเร็วของเธอเร็วกว่าปลาจำนวนมาก
แม้แต่สโนวบรีสของฝ่าบาทก็ยังไม่อาจสู้ได้
เมื่อคำนวณจากเวลาดูคร่าวๆ แล้ว ระยะทางที่เธอว่ายมาในตอนนี้น่าจะไปกลับจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ถึงเกาะชาโดว์ได้ประมาณ 5 รอบแล้ว แต่ทำไมข้างหน้าของเธอยังมองไม่เห็นปลายทางเสียที?
ไหนบอกโลกนี้กลมไง ฝ่าบาท…คงจะไม่หลอกเธอใช่ไหม?
ถ้าฝ่าบาททรงหลอกเธอจริงๆ หลังจากนี้ถ้ามีโอกาสได้เจอพระองค์ เธอก็จะ…ก็จะเอาเกล็ดปลาไปกรีดหน้าพระองค์!
แต่ว่า มันก็ต้องเจอพระองค์ให้ได้ก่อนอะนะ….
โจนสูดหายใจแล้วพูดให้กำลังใจตัวเอง ห้ามยอมแพ้เด็ดขาด! เธออยากจะกลับไปทุกคน!
เสียงร้อง ‘ยาา ยาา ยา’ ดังลอยไปบนผิวทะเล
หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็มีเสียงดังสะท้อน ‘ยาา ยาา’ กลับมา
โจนสะดุ้งทันที ก่อนจะหันมองไปทางต้นเสียงที่สะท้อนกลับมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ — สภาพอากาศวันนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร บนผิวน้ำทะเลมีหมอกบางๆ ระยะทางที่มองเห็นได้นั้นแค่ไม่กี่กิโลเมตร เหมือนกับเวลาที่อยู่ในหมู่เกาะชาโดว์ตอนที่น้ำทะเลลดอย่างไรอย่างนั้น เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรปรากฏขึ้นมา เธอถึงว่ายไปยังทิศทางนั้นอยู่หลายสิบนาที สุดท้ายก็เหมือนจะมองเห็นเงาดำลางๆ อยู่ท่ามกลางกลุ่มหมอก
มันดูแล้ว…เหมือนกับหินโสโครกที่ลอยอยู่บนน้ำ
โจนดีใจขึ้นมาทันที
โจนรู้ดีว่าวัตถุในทะเลหลายๆ อย่างที่ดูแล้วไม่ได้ใหญ่โตอะไร ความจริงแล้วมันมีขนาดที่ใหญ่โตอย่างมาก การที่มันสามารถโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำได้เหมือนกับหินโสโครกเช่นนี้ มันจะต้องไม่ใช่อะไรที่เล็กๆ แน่ บวกกับการที่สามารถสะท้อนเสียงร้องของตัวเองได้ มีความเป็นไปได้สูงว่ามันจะเป็นภูเขาขนาดใหญ่ ถ้ามีภูเขาปรากฏออกมา พื้นทวีปยังจะอยู่อีกไกลเท่าไรล่ะ?
หรือว่าที่ตัวเองมองเห็นจะเป็นเทือกเขาสิ้นวิถี?
โจรรู้สึกร่างกายมีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที เธอเร่งความเร็วว่ายเข้าไปหาเงาดำที่อยู่ข้างหน้า
เมื่อระยะทางหดสั้นลง โครงร่างสีดำที่อยู่ภายใต้หมอกก็ค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นมา
มันเป็นภูเขาขนาดใหญ่อย่างที่เธอคิดไว้จริงๆ แต่ด้านล่างภูเขากลับไม่ใช่ท่าเรือของดินแดนตะวันตก หากแต่เป็นเกาะเรียบๆ แห่งหนึ่ง ด้านหลังเกาะเหมือนจะเชื่อมต่อกับพื้นทวีปที่กว้างใหญ่เอาไว้ เพียงแต่ทั้งสองอยู่ห่างกันไกลเกินไปจนทำให้มองเห็นไม่ชัด
ไม่ว่ายังไง มีพื้นทวีปมันก็ยังดีกว่าไม่มี
โจนตั้งสมาธิเต็มที่แล้วว่ายเข้าไปยังหาดทรายที่อยู่ใกล้ที่สุด
เมื่อขึ้นฝั่งแล้วเธอถึงได้สังเกตเห็นว่าเกาะแห่งนี้นั้นใหญ่กว่าเกาะเซียริ่งเฟลมซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของฟยอร์ดหลายเท่า นอกจากภูเขาที่เขียวชอุ่มนั่นแล้ว มันก็แทบจะไม่มีเนินดินหรือยอดเขาอื่นเลย หากแต่ราบเรียบไปเหมือนกับทุ่งหญ้าอย่างไรอย่างนั้น
แต่ในความเป็นจริง มันก็เป็นทุ่งหญ้าจริงๆ
เมื่อเทียบกับพวกเกาะแห้งแล้งในความทรงจำของโจนแล้ว ที่นี่เหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากลมทะเลและสภาพอากาศที่เลวร้ายเลย ใต้เท้าของเธอเป็นต้นหญ้าที่สูงเลยข้อเท้าขึ้นมา บางแห่งยังมองเห็นดอกไม้เล็กๆ ที่เบ่งบานด้วย เธอไม่สามารถจินตนาการได้ว่าในสถานที่ที่มีคลื่นยักษ์ที่พร้อมจะทำลายพืชพรรณทุกอย่าง ทำไมถึงมีสถานที่แบบนี้ปรากฏขึ้นมาได้ บวกกับหมอกที่ปกคลุมอยู่รอบๆ เกาะ ทำให้ที่นี่ดูเหมือนเป็นเกาะที่แยกตัวออกมาจากโลกเลย
โจนเปลี่ยนหางเป็นขาสองข้างแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปกลางเกาะ
หลังจากนั้นบนพื้นหญ้าก็เริ่มมีแผ่นหินปรากฏขึ้นมาให้เห็นประปราย ตอนแรกเธอยังไม่ได้สนใจอะไร แต่พอผ่านไปไม่นานเธอก็พบว่าถึงแม้แผ่นหินเหล่านี้จะมีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน แต่มันก็วางเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ
ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งเข้าไปใกล้ศูนย์กลางเกาะ จำนวนแผ่นหินก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนตอนท้ายเธอเห็นมันตั้งเรียงเป็นวงกลม แล้วก็หดเล็กลงเรื่อยๆ เหมือนว่ามันกำลังล้อมอะไรเอาไว้อยู่
ภาพแบบนี้เธอเหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…
โจนคุกเข่าลงหน้าแผ่นหินพร้อมกับมองดูตัวแผ่นหินอย่างละเอียด บนแผ่นหินนั้นมีร่องรอยถูกแกะสลักเอาไว้อยู่ เพียงแต่ว่าโจนไม่รู้ว่ามันเป็นรูปที่ถูกวาดขึ้นมาเล่นๆ หรือเป็นตัวหนังสือที่มีความหมายอะไรซักอย่าง แต่สิ่งที่ทำให้โจนรู้สึกแปลกใจแผ่นหินเหล่านี้ดูแล้วค่อนข้างเก่าแก่ แต่บนแผ่นหินกลับมีฝุ่นเกาะอยู่แค่เพียงเล็กน้อย เหมือนกับมีคนคอยทำความสะอาดมันอย่างไรอย่างนั้น
หรือว่า…นี่ใครอยู่บนเกาะแห่งนี้?
แต่เดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว โจนก็ต้องตกตะลึงไปทันที
ตรงหน้าเธอพลันมีหลุดขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นมา ขนาดของมันเกรงว่าคงจะกว้างหลายกิโลเมตร ด้านล่างลึกจนมองไม่เห็นก้นหลุม เส้นโค้งตรงขอบหลุมดูเรียบรื่น ไม่มีทางที่มันจะยุบตัวลงไปเองตามธรรมชาติแน่นอน ส่วนแผ่นหินเหล่านั้นก็ตั้งเรียงล้อมรอบปากหลุมกลายเป็นเหมือน ‘คลื่น’ ที่กระเพื่อมกระจายตัวออกมา
เธอเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้าเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ท่ามกลางหมอกบางๆ ที่ปกคลุม พระจันทร์สีแดงยังคงดูเด่นชัด อันนึงลอยอยู่บนฟ้า อีกอันก็อยู่ใต้เท้า แต่ทั้งสองกลับมีขนาดที่คล้ายกันอย่างมาก เหมือนกับว่าถูกแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกันอย่างนั้น เธอถึงขนาดมีความคิดแปลกๆ ปรากฏขึ้นมา ถ้าเกิดพระจันทร์สีแดงตกลงมา มันน่าจะลงไปอยู่ในหลุมได้พอดีหรือเปล่า?
“สวัสดี” ทันใดนั้นเอง เสียงใสๆ เสียงหนึ่งพลันดึงมาจากด้านหลังของเธอ
“ยาา….!” โจนตกใจจนส่งเสียงร้องออกมา ก่อนจะหมุนตัวแล้วถอยหลังไปสองก้าวจนชนกับแผ่นหินแผ่นหนึ่ง
อีกฝ่ายก็เหมือนจะตกใจเหมือนกัน ผ่านไปครู่หนึ่งเธอจึงเอ่ยปากขึ้นมา “เจ้า…ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ในตอนนี้โจนถึงได้พบว่าคนที่พูดนั้นไม่ใช่สัตว์ประหลาด หากแต่เป็นหญิงสาวที่งดงามคนหนึ่ง เธอสวมชุดกระโปรงสีขาว ปลายผมสีดำตกลงมาปรกตรงหน้าอก ดูแล้วช่างสดใสจนทำให้คนที่เห็นรู้สึกดี เพียงแต่สีหน้าของเธอดูค่อนข้างสับสน เหมือนไม่รู้ว่าควรจะเดินเข้ามาโจนดีหรือว่ายืนดูอยู่ข้างๆ ต่อ
“ยา ยา….”
เดิมโจนอยากจะถามว่าเจ้าเป็นใคร แต่สิ่งที่เธอเปล่งเสียงออกไปกลับเป็นแค่เสียงร้อง หลังจากไม่ได้ติดต่อกับผู้คนมาเป็นเวลาครึ่งปี ความสามารถทางภาษาของเธอกลับไปเป็นเหมือนตอนที่เธออยู่คนเดียวอีกครั้ง
แต่อีกฝ่ายเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่พยายามจะพูดออกมา ในแววตาของเธอเผยให้เห็นถึงความโดดเดี่ยว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เธอก็ยังตอบกลับไปพร้อมรอบยิ้มเล็กๆ
“ข้าเหรอ?….ข้าเป็นแค่ผู้เฝ้ามองที่ถูกขังอยู่ที่นี่เท่านั้น”
…………………………………………………..