Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1249 ภาพของอารยธรรม
เหตุผลที่เลือกพลังของลูน่านั้นง่ายมาก ถ้าเทียบกับความสามารถแบบเรียกใช้แล้ว ความสามารถแบบเกาะติดนั้นเหมาะที่จะใช้กับแกนเวทมนตร์มากกว่า อย่างเช่นไฟสีดำของอันนา ถึงแม้การหมุนวนของพลังของเธอจะคล้ายกับการหมุนของแกนเวทมนตร์ แต่แกนเวทมนตร์ก็ไม่สามารถใช้พลังออกมาได้อย่างอิสระเหมือนอย่างอันนา แต่พลังของลูน่านั้นไม่ยุ่งยากขนาดนั้น ขอเพียงใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปแล้วกระตุ้นแกนเวทมนตร์ก็สามารถใช้งานได้แล้ว
โดยพลังแม่เหล็กนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเมืองเนเวอร์วินเทอร์อย่างมาก
รุ่งอรุณหมายเลขหนึ่งนั้นเป็นแหล่งพลังงานที่ขาดแคลนมาโดยตลอด ถึงแม้จะมีพลัง ‘การเสก’ ของดอริสมาช่วย แต่มันก็ถือว่าแค่พอใช้ได้เท่านั้น ถ้าหลังจากนี้ต้องขยายโรงงาน เกรงว่าพลังงานไฟฟ้าคงจะตกอยู่ในสภาพขาดแคลนทันที
แต่การผลิตไฟฟ้ากับการส่งผ่านไฟฟ้านั้นเป็นศาสตร์ที่มีความซับซ้อนอย่างมาก ไม่ได้ด้อยไปกว่าวิศวกรรมเครื่องกลเลย จะใช้ความรู้ตอนมัธยมมาควบคุมเครื่องจักรหลอดไฟอะไรพวกนั้นยังพอไหว แต่ถ้าอยากจะสร้างกริดไฟฟ้าที่มีความน่าเชื่อถือนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากสำหรับโรแลนด์
ความจริงเขาเอาหนังสือเกี่ยวกับไฟฟ้าออกมาจากโลกแห่งความฝันไม่น้อย แต่เขากลับพบว่ามันยากเกินกว่าที่เขาจะทำความเข้าใจได้ เนื้อหาที่อยู่ในหนังสือนั้นเรียกได้ว่า ‘รู้จักตัวหนังสือทุกตัว แต่พอเอามันมาต่อกันแล้วกลับไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร’ แทนที่จะเรียนใหม่ตั้งแต่ตอน สู้เอาความหวังไปฝากไว้ที่แม่มดทาคิลาดีกว่า บางทีผ่านไปซัก 10 – 20 ปี พวกนางอาจจะเปล่งประกายในแต่ละสายอาชีพก็ได้ แต่ตอนนี้พวกนางยังไม่สามารถช่วยเมืองเนเวอร์วินเทอร์ในส่วนนี้ได้
ด้วยเหตุนี้การขยายการผลิตรุ่งอรุณหมายเลขหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก
โรงงานมีไฟฟ้าก็จะสามารถทำการผลิตได้ทั้งวันทั้งคืน ในเขตที่อยู่อาศัยมีไฟฟ้าก็จะสามารถทำงานตอนกลางวัน แล้วก็เรียนในเวลากลางคืนได้ ในอีกแง่หนึ่งก็หมายความว่าระบบไฟฟ้าถือเป็นอุปกรณ์ทางเวลาอย่างหนึ่ง
เซลีนบอกว่าเทคโนโลยีนี้ไม่มีความยากเลย ระดับการรับรู้พลังเวทมนตร์ของร่างต้นแบบนั้นเหนือกว่าคนธรรมดาอย่างมาก แม่มดธรรมดาที่ใช้หินวัดพลังก็ได้ทำได้แค่เพียงระดับและชนิดของพลังเวทมนตร์ที่วัด และในหัวของเธอก็สามารถจำลองโครงสร้างของการหมุนของพลังเวทมนตร์ขึ้นมาได้ ขอเพียงให้ลูน่ามาแสดงเวทมนตร์ต่อหน้าเธอซัก 2 – 3 ครั้งก็พอ
แต่ตอนที่เขาเอาเรื่องนี้ไปบอกลูน่า สาวน้อยกลับทำหน้าเศร้าสร้อยออกมา
เธอพูดงึมงำว่า “ถ้าแกนเวทมนตร์สามารถแทนที่พลังของหม่อมฉันได้….อย่างนั้นพวกพระองค์ก็ไม่ต้องการหม่อมฉันแล้วใช่ไหมเพคะ?”
สุดท้ายโรแลนด์ก็ปลอบเธออยู่พักใหญ่กว่าเธอจะยอมรับปาก
ยิ่งไปกว่านั้นแกนเวทมนตร์ที่เลียนแบบพลังแม่เหล็กของเธอก็ต้องตั้งชื่อตามเธอด้วย นั่นคือเครื่องลูน่า
จากคำพูดของอีกฝ่ายนั้นบอกว่า “แบบนี้ต่อให้พวกพระองค์ไม่ต้องหม่อมฉันแล้ว แต่พวกพระองค์ก็จะจำชื่อนี้เอาไว้ได้…นอกจากนี้หม่อมฉันขอเครื่องดื่มยุ่งเหยิงเพิ่มสองขวดได้ไหมเพคะ เพราะเป็นการชดเชยความรู้สึกเสียใจของหม่อมฉัน?”
จากนั้นเธอก็ถูกลิลลีที่มาเป็นเพื่อนลากออกไป
การปรับแกนเวทมนตร์นั้นต้องใช้เวลาหลายวัน การคำนวณกริดไฟฟ้าที่จะกระจายไปทั่วทั้งเมืองก็ใช้เวลาอย่างมากเช่นเดียวกัน ถึงแม้โรแลนด์จะใช้แค่ความรู้พื้นฐานทางด้านไฟฟ้า อย่างเช่นการต่อแบบอนุกรม หรือการต่อแบบขนาน แล้วก็พยายามจะคิดคำนวณให้มันง่ายที่สุด แต่โรแลนด์ก็ยังรู้สึกเหนื่อยอย่างมาก
และในช่วงเวลานี้เอง เมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็มีแขกที่เหนือความคาดหมายกลุ่มหนึ่งมาเยี่ยมเยียน
ริคส์ได้พาสมาชิกของแปลกสิบกว่าคนมายื่นหนังสือขอเข้าเฝ้าราชาแห่งเกรย์คาสเซิล
โรแลนด์รีบมาที่ห้องรับแขกเพื่อเจอกับนักสำรวจอีกประเภทหนึ่งของฟยอร์ด
“ข้านึกว่าเจ้าจะไม่มาแล้วซะอีก”
โรแลนด์พูดอย่างสบายๆ หลังจากให้คนใช้เสิร์ฟของหวานและน้ำชา
นับตั้งแต่ที่ริคส์และซิมบาดี้จากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ไป จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาสามเดือนกว่าแล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะทางดินแดนทางใต้สุดมีการส่งซากโบราณวัตถุมาอยู่ตลอด เกรงว่าเขาคงจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
ในขณะที่พูด โรแลนด์ก็คอยสังเกตดูสีหน้าท่าทางของคนกลุ่มนี้ด้วย
น่าจะเป็นเพราะล่องเรือมาเป็นเวลานาน สีหน้าของทุกคนถึงได้ดีค่อนข้างเหนื่อยล้า ดูเหมือนที่ฟยอร์ดจะมีแต่คนที่ขึ้นเรือไม่ได้เท่านั้นถึงจะเลือกเดินเส้นทางนี้
“ขออภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ริคส์พูดอย่างรู้สึกผิด “การรวบรวมสมาชิกคนอื่นของสมาคมของแปลกนั้นใช้เวลานานมากไปหน่อย เสียดายที่ความสามารถของกระหม่อมมีจำกัด ถึงแม้จะมีหนังสือที่พระองค์มอบให้กระหม่อมเป็นเครื่องยืนยัน แต่สมาชิกหลายๆ คนก็ยังมีความเคลือบแคลงสงสัย แล้วก็ไม่ยินดีที่จะมอบผลงานของพวกเขาให้พระองค์ โดยเฉพาะหลังจากที่กระหม่อมเล่าให้พวกเขาเรื่องที่พระองค์ทรงสร้างเครื่องจักรที่พาคนบินขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกเขาต่างก็คิดว่ากระหม่อมกลายเป็นบ้าเหมือนฟานไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วคนพวกนี้ล่ะ?”
“พวกเขายินดีเชื่อพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ริคส์พูดพร้อมโค้งตัว “ครั้งนี้ทุกคนพาครอบครัวมาด้วย พวกเขาเตรียมที่จะปักหลักใช้ชีวิตอยู่ที่เกรย์คาสเซิล เงื่อนไขที่พระองค์เสนอมา พวกเขาก็ยอมรับได้ทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก” โรแลนด์จิบชา “หลังจากนี้ขอแค่ผ่านการตรวจสอบจากสำนักบริหาร พวกเจ้าก็ถือเป็นประชาชนของเกรย์คาสเซิลแล้ว” ความจริงการมอบหนังสือให้อีกฝ่ายก็นั้นถือเป็นการคัดเลือกอย่างหนึ่ง เพราะว่าชาวฟยอร์ดที่เข้าไปอยู่ในสมาคมของประหลาดนั้นล้วนแต่เป็นคนที่ไม่มีทางไปเป็นนักสำรวจได้ ดังนั้นในบรรดาพวกเขาย่อมต้องมีทั้งคนที่ดีและไม่ดีแน่ ถ้ามองไม่เห็นคุณค่าของความรู้ที่อยู่ในหนังสือ เช่นนั้นก็ไม่มีค่าที่เขาจะไปจ้างคนเหล่านั้น
“ไม่ทราบว่าการตรวจสอบที่ว่านั้นคือ….”
“กฎที่ตั้งขึ้นมาเพื่อกลายเป็นประชากรของเกรย์คาสเซิลอย่างเป็นทางการ หลักๆ แล้วก็คือการบันทึกข้อมูลสถานะของพวกเจ้า ไม่ใช่ว่าต้องไปเซ็นสัญญาอะไร”
ทุกคนโล่งใจขึ้นมาทันที โรแลนด์มองออก ถึงแม้พวกเขาจะพาครอบครัวมา แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจกับอนาคตของตัวเอง
เขาน่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้คนเหล่านี้มากขึ้นหน่อย
โรแลนด์เรียกฌอนเข้ามา
“ฝ่าบาท ไม่ทราบว่ามีอะไรให้กระหม่อมรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“คนเหล่านี้ถือเป็นแขกที่เพิ่งจะมาที่นี่เป็นครั้งแรก พาพวกเขาไปเดินเล่นทำความคุ้นเคยกับเมืองหลวงแห่งใหม่ของเกรย์คาสเซิลหน่อย” โรแลนด์ผายมือ “โดยเฉพาะตึกมหัศจรรย์ ถ้าหากสมาคมนักประดิษฐ์แห่งใหม่ตั้งขึ้นมาเมื่อไร ข้าก็จะตั้งสำนักงานให้อยู่บนชั้นบนสุดของตึกมหัศจรรย์เหมือนกับศาสตร์แห่งปราชญ์อื่นๆ ดังนั้นตอนนี้พาพวกเขาไปชมที่นั่นหน่อยแล้วกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
หลังจากเห็นทุกคนเดินตามฌอนออกไปด้วยสีหน้างุนงง เขาจึงอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นจึงพูดเสียงเบาๆ กับไนติเกลว่า “เจ้าตามไปดูหน่อยแล้วกัน”
…..
หลังจากนั้นสองชั่วโมง ไนติงเกลก็กลับมายังห้องทำงาน
“เป็นยังไงบ้าง?” โรแลนด์เทเครื่องดื่มยุ่งเหยิงให้เธอ
“พระองค์ทรงรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอเพคะ?” เธอเบะปาก ก่อนจะดื่มเครื่องดื่มลงไปรวดเดียวจนหมด “จริงๆ เลยเชียว ทรงทำเหมือนเด็กอวดของเล่นของตัวเองไปได้เพคะ วางใจได้ หม่อมฉันคิดว่าตอนนี้ต่อให้พระองค์ไล่พวกเขาไป พวกเขาก็คงไม่ยอมไปแล้วล่ะเพคะ”
“ที่ไหนกัน ข้าก็แค่สร้างความเชื่อมั่นให้พวกเขาเท่านั้น”
ไนติงเกลกรอกตาใส่เขา
“อะแฮ่มๆ เอาล่ะ ที่เจ้าว่ามามันก็ถูกนิดหน่อย”
“ถือว่าพระองค์ทรงยอมรับได้เร็วเพคะ” เธอยื่นแก้วเปล่าไปวางไว้ข้างหน้าโรแลนด์อย่างไม่เกรงใจ “อยากฟังรายละเอียดมากกว่านี้ไหมเพคะ?”
“อยาก” โรแลนด์ยอมรับตรงๆ
“อย่างนั้นเตรียมเครื่องดื่มยุ่งเหยิงเอาไว้อีกสองขวดเลยเพคะ”
ในฐานะที่เป็นตึกสัญลักษณ์ของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ เมื่อไปยืนอยู่บนยอดตึกจะสามารถเมืองเห็นพื้นที่เมืองได้เกือบครึ่ง รวมไปถึงเขตเมืองทิศเหนือที่จะมีควันพวยพุ่งขึ้นมาอยู่ตลอดเวลากับแม่น้ำแดงที่มีเรือซีเมนต์รูปแบบต่างๆ จอดอยู่เต็มไปหมด ตรงกลางระหว่างทั้งสองที่มีรถไฟที่บรรทุกวัตถุดิบวิ่งผ่านเขตเมือง ส่วนทางทิศใต้ที่ไกลออกไปก็จะมีภาพเครื่องบินปีกสองชั้นบินขึ้นไปท้องฟ้าอยู่ให้เห็นตลอด ถ้าเป็นตอนกลางคืนก็จะได้เห็นโรงงานที่เปิดไฟสว่างอยู่ริมแม่น้ำ แสงไฟที่ลอดออกมจากหน้าต่าง่องไปบนแม่น้ำเปล่งประกายเหมือนดวงดาว
และเรื่องราวก็เป็นเหมือนอย่างที่เขาคิดเอาไว้
สำหรับคนที่ไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อนแล้ว วินาทีที่พวกเขาขึ้นไปถึงยอดตึกก็หมายความว่าพวกเขาได้มาถึงโลกใบใหม่แล้ว
พวกเขากำลังมองดูอารยธรรมของมนุษยชาติอยู่
……………………………………………………..