Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1235 สำนักซีคลาวด์
ไม่สิ วัลคีรีย์ส่ายหัวพร้อมบอกให้ตัวเองใจเย็นลง สำนักซีคลาวด์นั้นไม่มีอยู่แล้วแน่นอน นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ หลังจากที่ครอบครองพื้นที่ทางเหนือของดินแดนรุ่งอรุณ ทุกปีมันจะกลับไปยังยอดเขาแห่งนั้นครั้งหนึ่ง และใช้เวลา 1 – 2 วันอยู่ในซากสิ่งก่อสร้างที่ถูกทิ้งร้างมานาน
นั่นเพราะว่ามันก็เคยเห็นหนึ่งในสมาชิกของสำนักเหมือนกัน
บนยอดเขาแห่งนั้น มันไม่เพียงแต่จะเรียนรู้วิธีเชื่อมต่อกับโลกแห่งจิตสำนึก แต่มันยังเรียนรู้ความรู้ต่างๆ มากมายจากโลกของมนุษย์ด้วย คนที่สอนมันคือซิสทาลิสหรือ ‘ทรานฟอร์มเมอร์’ ซึ่งเป็นปีศาจที่ยกระดับแล้วตนหนึ่ง
ความสามารถในการต่อสู้ของอีกฝ่ายนั้นไม่โดดเด่น เรียกได้ว่าสู้ร่างระดับต้นที่แข็งแกร่งตัวหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องตลกในเผ่าพันธุ์ของมัน แต่วัลคีรีย์รู้ดีว่าถึงจะใช้หินเวทมนตร์ที่ไม่ได้มีความสามารถเกี่ยวข้องกับการต่อสู้มาหลอมรวมกับร่างกาย ความยากของพิธียกระดับก็ไม่ได้ลดลงเลย การหลอมรวมเข้ากับหินเวทมนตร์ทั้งสามครั้งของอีกฝ่ายนั้นเรียกได้ว่าไร้ที่ติ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนมันก็เป็นผู้ยกระดับที่แท้จริง
ก็เหมือนกับชื่อฉายาของมัน ในตอนที่หลอมรวมเข้ากับหินเวทมนตร์ก้อนที่สอง ทรานฟอร์มเมอร์ก็ได้รับความสามารถในการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเอง ด้วยเหตุนี้มันจึงแทบจะไม่เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของตัวเองเลย เวลาส่วนใหญ่มันมักจะอยู่ในร่างของมนุษย์ บวกกับการพูดภาษามนุษย์ที่คล่องแคล่วของมัน ถ้าไม่เคยรู้จักมันมาก่อน คงจะต้องคิดว่ามันเป็นมนุษย์แน่ๆ
และรูปร่างที่มันใช้บ่อยมากที่สุดก็คือ ‘มิสต์’ ที่อยู่ในโทรทัศน์
วัลคีรีย์จ้องมองใบหน้านั้น ภาพความทรงจำจำนวนนับไม่ถ้วนหลั่งไหลออกมา ผ่านมาพันกว่าปีแล้ว…ถึงแม้ใบหน้าและรายละเอียดบนเสื้อผ้าจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่มันก็ไม่มีทางลืมใบหน้านี้เด็ดขาด
ถ้าบอกว่านักปราชญ์ที่ก่อตั้งสำนักซีคลาวด์ขึ้นมาคือพวกประหลาดในหมู่มนุษย์ อย่างนั้น ‘ทรานฟอร์มเมอร์’ ก็คือพวกประหลาดในเผ่าพันธุ์ของพวกมัน เวลาที่มันเลือกหินเวทมนตร์ มันไม่เคยเลือกหินที่จะทำให้ความสามารถของมันแข็งแกร่งขึ้นเลย มันรู้สึกอยากรู้อยากเห็นต่อเรื่องที่มันไม่เคยลองมาก่อน แล้วก็เป็นปีศาจตัวแรกในเผ่าพันธุ์ที่เข้าไปติดต่อกับสำนักซีคลาวด์
และในตอนนั้น เผ่าพันธุ์ของมันก็พอจะรู้เรื่อง ‘สงครามแห่งโชคชะตา’ มาบ้าง แล้วก็มองมนุษย์ที่ครอบครองดินแดนแห่งรุ่งอรุณเป็นศัตรู
วัลคีรีย์รู้สึกขอบคุณปีศาจผู้ที่ช่วยถ่ายทอดความรู้หลายๆ อย่างให้มันมาโดยตลอด มันไม่เคยเกิดความรู้สึกดูถูกที่อีกฝ่ายไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้เลย มันรู้ดีว่าทรานฟอร์มเมอร์นั้นมีระดับความเข้าใจต่อโลกแห่งจิตสำนึกหรือก็คือแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์มากกว่าปีศาจตัวอื่นๆ ในเผ่า มันเขียนหนังสือขึ้นมาสิบกว่าเล่ม เกือบครึ่งหนึ่งในนั้นกลายเป็นบันไดให้เผ่าพันธุ์ได้นำไปใช้ในการยกระดับ ตามคำพูดของมนุษย์ มันเรียกได้ว่าเป็น ‘อาจารย์’ ของมนุษย์จำนวนมากด้วยซ้ำ
ความจริงแล้ว บางทีทรานฟอร์มเมอร์อาจจะเป็นปีศาจตัวแรกๆ ของเผ่าพันธุ์ที่ได้รับการหลอมรวมหินเวทมนตร์ถึงสี่ครั้ง
ถ้าหากสำเร็จ มันจะกลายเป็น ‘ราชา’ ตัวแรกของเผ่าพันธุ์ เพราะในสมัยนั้นแม้กระทั่งร่างยกระดับระดับต้นก็ยังมีแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชาเลย
เสียดายที่ิสุดท้ายพิธียกระดับในครั้งนั้นก็ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนมันก็ถูกพลังเวทมนตร์กลืนกลินจนไม่เหลือแม้กระทั่งกระดูก
วัลคีรีย์จำภาพเหตุการณ์นั้นได้เป็นอย่างดี เพราะว่าตอนนั้นมันก็อยู่ข้างๆ อีกฝ่าย มันเห็นร่างกายอีกฝ่ายค่อยๆ พังทลายลงไปทีละน้อย นี่ถึงทำให้มันรู้สึกว่า ‘มิสต์’ ดูแปลกหน้า เพราะหลังผ่านมาเป็นเวลาพันกว่าปี มันก็ไม่เคยให้เห็นใครที่มีหน้าตาคล้ายอีกฝ่ายอีก
วัลคีรีย์เคยถามทรานฟอร์มเมอร์ว่าทำไมถึงต้องเปลี่ยนเป็นรูปร่างแบบนี้ เพราะว่ามันไม่เหมือนกับหน้าตามนุษย์คนๆ อื่นที่มันลอกเลียนแบบออกมา วัลคีรีย์เชื่อว่าใบหน้านี้ไม่ได้เป็นของนักปราชญ์คนไหนเลย
ซึ่งคำตอบของอีกฝ่ายก็ทำให้มันไม่เข้าใจ
ทรานฟอร์มเมอร์บอกว่านี่เป็นหน้าตาของเทวทูตตนหนึ่ง
ส่วนเรื่องที่ว่าเทวทูตเป็นใคร ทรานฟอร์มเมอร์บอกว่าตัวเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ในตอนที่มันใช้พลังเวทมนตร์เข้าไปในโลกแห่งความฝัน บางครั้งมันจะเจอกับจิตสำนึกหนึ่งที่แตกต่างออกไป อีกฝ่ายเหมือนกำลังส่งเสียงกระซิบอยู่ในหัวของมัน ถึงแม้มันจะไม่เคยเจอหน้ามาก่อน แต่พอออกมาจากโลกแห่งจิตสำนึกมันกลับนึกถึงหน้าตาของอีกฝ่ายขึ้นมาได้
ทรานฟอร์มเมอร์ยังบอกอีกว่าบางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ความสามารถของมันยังไม่ดีพอ ถ้าสามารถสร้างดินแดนที่มีความเสถียรขึ้นมาได้ในโลกแห่งจิตสำนึกที่เป็นเหมือนกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ไม่แน่มันอาจจะเชื่อมต่อกับอีกฝ่ายได้ก็ได้
ตอนนั้นวัลคีรีย์ไม่เข้าใจคำพูดนี้เลย มันเพิ่งจะกลายเป็นร่างยกระดับได้ไม่นาน ความรู้ความเข้าใจที่มีต่อโลกแห่งจิตสำนึกนั้นยังว่างเปล่า เรียกได้ว่าทรานฟอร์มเมอร์น้ำหน้าปีศาจตัวอื่นๆ ในเผ่าไปหลายร้อยปี จนกระทั่งก่อนที่สงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สองจะอุบัติขึ้น จักรพรรดิจึงสามารถสร้างดินแดนที่เป็นของตัวเองขึ้นในโลกแห่งจิตสำนึกได้สำเร็จ
มันเคยถามจักรพรรดิว่าเคยเจอเทวทูตหรือไม่ แต่จักรพรรดิกลับปฏิเสธกลับมา
เมื่อมาคิดดูดีๆ แล้ว สถานการณ์ในตอนนี้อาจจะมีความเป็นไปได้สองอย่าง
หนึ่งคือดินแดนแห่งนี้เป็นของเทวทูต ‘มิสต์’ แต่จากเนื้อหาที่อยู่ในโทรทัศน์ มิสต์เหมือนจะตายไปแล้ว นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย ขอเพียงไม่ออกไปจากโลกแห่งจิตสำนึก ผู้ที่สร้างดินแดนขึ้นมาก็น่าจะไม่มีวันตายถึงจะถูก
ความเป็นไปได้ที่สองคือก่อนที่ทรานฟอร์มเมอร์จะถูกพลังเวทมนตร์กลืนกิน มันได้เอาจิตสำนึกของตัวเองเข้ามาอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึกและสร้างดินแดนแห่งหนึ่งขึ้นมาได้สำเร็จ ถึงแม้การคาดเดาอันนี้จะสามารถอธิบายได้ว่าทำไมมนุษย์เห็นมันแล้วถึงไม่รู้สึกแปลกใจ แต่มันก็ไม่สามารถอธิบายสิ่งของที่อยู่รอบๆ ที่มันไม่เคยเห็นมาก่อนเหล่านี้ได้
ตอนแรกวัลคีรีย์คิดเพียงแต่จะหาทางออกไปจากสถานที่แปลกๆ นี้โดยเร็วที่สุด แต่ตอนนี้มันกลับมีความคิดอื่นเพิ่มขึ้นมา
คำพูดของทรานฟอร์มเมอร์ในตอนที่ยกระดับครั้งที่สี่ล้มเหลวทำให้มันรู้สึกกังวลมาโดยตลอด อีกฝ่ายบอกว่าต่อให้ชนะสงครามแห่งโชคชะตา แต่เผ่าพันธุ์ของมันก็ไม่มีทางที่จะไปถึงดินแดนของพระเจ้าได้ มันพยายามทำความเข้าใจว่าอะไรที่ทำให้อาจารย์ของมันพูดแบบนั้น
บางทีตอนนี้อาจจะเป็นโอกาสที่ทำให้มันได้หาคำตอบนั้น
…..
“หาวว….” โรแลนด์หาวออกมาพร้อมใช้มือข้างเดียวกุมพวงมาลัยขับรถตู้ไปบนถนนวงแหวนสายสอง
ถึงแม้เขาจะพยายามเหยียบคันเร่ง เครื่องยนต์เองก็ส่งเสียงคำรามออกมา แต่ด้านข้างยังคงมีรถที่แซงหน้าเขาขึ้นไปอยู่ตลอดเวลา
“ทำไม นอนไม่พอเหรอ?” คนที่นั่งอยู่ข้างคนขับคือการ์เซีย ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่เขารู้สึกว่าตั้งแต่อีกฝ่ายนอนหลับไปในห้องของเขา น้ำเสียงของอีกฝ่ายเวลาที่พูดจาฟังดูนุ่มนวลขึ้นมาเดิมมาก
“วันนี้ร้านกาแฟหยุด ตอนแรกคิดจะนอนถึงบ่ายค่อยตื่นขึ้นมา สมาคมนี่ก็ช่างเลือกเวลาเสียจริงๆ” โรแลนด์บ่นออกมา หลังจัดการเรื่องประชาสัมพันธ์แผนการเคลื่อนย้ายประชากรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ความง่วงอย่างรุนแรงก็เข้าเล่นงานเขาอีกครั้งจนทำให้เขาแทบจะลืมตาไม่ขึ้น เมื่อคิดถึงว่าความเร็วในการเดินของเวลาในโลกแห่งความฝันนั้นเท่ากับประมาณ 3 เท่าของโลกแห่งความเปนจริง เขาจึงตัดสินใจมานอนพักในโลกแห่งความฝันให้เต็มอิ่ม เพื่อที่จะได้ประหยัดเวลา แล้วก็พาแม่มดทาคิลามาพักผ่อนด้วย
ตอนนี้พวกเธอสามารถหาความสุขได้ด้วยตัวเองโดยที่เขาไม่ต้องไปตามดูแล้ว
อันที่จริงนอกจากจะมาหาความสุขแล้ว แม่มดอาญาสิทธิ์ยังมีภารกิจไล่ตามหาสัตว์ประหลาดเวทมนตร์ตัวใหม่ที่ปรากฏขึ้นมาจากการกัดกินพวกนั้นด้วย เขายังไม่ลืมคำพูดของมิสต์ที่บอกว่าโลกนี้ถูกประเจ้าจับตาดูอยู่ ถ้าอยากจะกำจัดการกัดกินและเข้าไปยังดินแดนของพระเจ้า วิธีที่ได้ผลดีที่สุดก็คือกำจัดฟอลเลนอีวิลพวกนั้น แล้วใช้พลังของพวกมันมาทำให้โลกแห่งความฝันขยายใหญ่ขึ้น
แต่ความเป็นจริงที่เกิดกลับต่างจากที่คิดเอาไว้….ในตอนที่นอนจนถึงเที่ยง การ์เซียโทรมาปลุกเขาแล้วบอกว่าทางสมาคมจะจัดให้มีการเข้าไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บ ดังนั้นผู้ฝึกยุทธ์ชื่อดังและสมาชิกระดับสูงของสมาคมทุกคนต้องมาที่โรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่ถูกช่วยออกมาเหล่านั้น
ตอนนั้นเขานึกว่านี่เป็นคำเชิญจากการ์เซียเพียงฝ่ายเดียว เขาจึงคิดจะหาข้ออ้างปฏิเสธไป แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าที่สมาคมเรียกนั้นไม่ใช่เธอ หากแต่เป็นตัวเองที่มีใบอนุญาตไล่ล่า
“เมืองปริซึมเสียหายอย่างหนัก สภาพจิตใจผู้คนย่ำแย่ การให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้าไปเยี่ยมนั้นก็เป็นวิธีการสร้างความเชื่อมั่นอย่างหนึ่ง” การ์เซียเลิกคิ้ว “ฉันว่าการประชุมที่จะจัดขึ้นตอนเย็นมากกว่าถึงจะเป็นส่วนที่สำคัญที่แท้จริง”
โรแลนด์ครุ่นคิด จู่ๆ การกัดกินก็ขยายใหญ่ขึ้น อาศัยเพียงแค่การปลอบโยนนั้นไม่เพียงพออย่างแน่นอน ยิ่งเกิดความวุ่นวายก็ยิ่งต้องแสดงพลัง ในสถานการณ์แบบนี้หากไม่โจมตีศัตรูกลับให้หนัก ต่อให้พูดเยอะแค่ไหนมันก็ไร้ประโยชน์ ด้วยเหตุนี้การประชุมที่ว่าจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับสัตว์ประหลาดเวทมนตร์ที่ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่
นี่ถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับเขาที่
…………………………………………………………..