Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1228 ความเป็นปฏิปักษ์ของพระเจ้า
ลานตรงปากทางเข้าเมืองปริซึม
ในเวลานี้เสียงเครื่องจักรต่างๆ กำลังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไฟสปอร์ตไลท์ส่องจนพื้นที่ตรงนั้นสว่างเหมือนเวลากลางวัน ภารกิจช่วยเหลือดำเนินมาเป็นเวลาเกือบ 6 ชั่วโมง ผู้คุมร็อกรอฟังข่าวสุดท้ายอยู่ในในเต็นท์บัญชาการด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ
มีคนบอกว่าเขาใจแข็งเหมือนหิน ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนอารมณ์ของเขาก็ไม่เคยหวั่นไหวกับเรื่องภายนอก แต่ความจริงแล้วนั่นเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด การเสียสละของมิสต์ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก ถึงขนาดที่เขาแอบคิดโทษตัวเองว่าทำไมถึงไม่เป็นคนนำทีมออกไปเอง แต่เขาก็รู้ดีในเรื่องของลำดับความสำคัญของหน้าที่ ก่อนที่จะสืบหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ทางด้านล่างเมืองได้อย่างชัดเจน เขาไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งได้รับบาดเจ็บ
หลังอุโมงค์อพยพหมายเลข 4 ถูกลอบโจมตี อุโมงค์หมายเลข 1 กับหมายเลข 5 ก็เจอกับฟอลเลนอีวิลเช่นเดียวกัน โชคดีที่คนเหล่านี้ได้รับการแจ้งเตือนจากทีมของมิสต์ก่อนล่วงหน้าแล้ว พวกเขาสามารถกำจัดฟอลเลนอีวิวทั้งหมดได้โดยสูญเสียไปเพียงเล็กน้อย แต่ตัวเลขจำนวนผู้เสียชีวิตรวมทั้งหมดก็ยังทำให้ร็อกรู้สึกตกใจ ทุกอย่างนั้นเหมือนกับที่เกิดขึ้นในอุโมงค์อพยพหมายเลข 4 ศัตรูทุกคนล้วนแต่เป็นสมาชิกของสมาคมที่อยู่ในชั้นล่างสุดของเมือง ตอนนี้ศพที่แยกแยะออกมาได้ 320 ศพนั้นใกล้เคียงกับจำนวนของคนที่ทำงานอยู่ในวันนั้น
เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นที่ชั้นล่างนั้นพอจะคาดเดาผลลัพธ์ได้แล้ว
เขาไม่รู้ว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงเลือกที่จะหลอมรวมเข้ากับแกนพลังที่แปรสภาพหลังเกิดเรื่องเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง เมืองปริซึมนั้นมีระบบการช่วยเหลือฉุกเฉินที่เพียบพร้อม ถึงแม้จะถูกตัดขาดจากชั้นบน แต่ขอเพียงอดทนเอาไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง พวกเขาก็น่าจะรู้ว่าสมาคมจะต้องช่วยพวกเขากลับออกมาได้แน่
แต่ร็อกไม่มีเวลาจะไปนั่งคาดเดาว่ามันเกิดอะไรขึ้นแน่ เขาเพียงอยากรู้ว่าตอนนี้สภานการณ์ในคลังเก็บแกนพลังแห่งธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไร ต่อให้คนที่ประจำหน้าที่ทั้งหมดในวันนั้นกลายเป็นฟอลเลนอีวิว แต่มันก็แค่สามร้อยกว่าคน แต่แกนพลังที่เก็บอยู่ในคลังนั้นมีอยู่ทั้งหมดสามพันกว่าอัน นี่เรียกได้ว่ามีความสำคัญกว่าชีวิตของเขาหลายเท่านัก ถ้าหากมันหลุดออกไปข้างนอก ผลลัพธ์คงจะต้องเลวร้ายอย่างมาก
“ท่านร็อก” ทันใดนั้นเอง ผู้ชายใส่สูทคนหนึ่งพลันวิ่งเข้ามาในฐานบัญชาการ ก่อนจะกระซิบข้างหูเขาสองสามประโยค
“โชคร้ายแบบนี้เลยเหรอ?” ร็อกขมวดคิ้วขึ้นมา จากข่าวที่แจ้งกลับมาจากทีมช่วยเหลือ ในตอนที่การกัดกินจู่ๆ ก็ขยายตัวขึ้นมา ในเมืองปริซึมนั้นมีคณะทัวร์ผู้ฝึกยุทธ์จากคาบสมุทรคาร์กาดสองกลุ่ม โครงสร้างส่วนกลางของเมืองถูกการกัดกินกลืนกินจนได้รับความเสียหาย ทำให้ชั้นที่อยู่ใกล้ๆ การกลืนกินไหลเข้าไปในหลุมกลืนกินทั้งชั้น และคณะทัวร์สองคณะนั้นก็บังเอิญอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นพอดี
เมื่อดูจากสถานการณ์ช่วยเหลือในตอนนี้ ชะตาชีวิตของพวกเขาอาจจะไม่ค่อยดีสักเท่าไร
“ทำยังไงดีครับ?” ชายใส่สูทสีหน้าดูแย่ “ในนั้นมีผู้ฝึกยุทธ์ชื่อดังของคาร์กาดอยู่ด้วย ถ้าจัดการได้ไม่ดี เกรงว่าอาจจะทำให้เกิดปัญหาทางการทูตได้นะครับ”
“พยายามคนหาให้เต็มที่ ช่วยได้เท่าไรเท่านั้น เรื่องอื่นเรายังจะทำยังไงได้อีก? นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะควบคุมได้”
“แต่ด้วยนิสัยของผู้คุมฝั่งโน้น เขาคงจะไม่ค่อยพอใจแน่…”
ร็อกนิ่งเงียบไปครู่ “ฉันรู้แล้ว เรื่องนี้ปิดเอาไว้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันติดต่อท่านประธานของสกายซิตี้ให้เข้ามาช่วยประนีประนอมแล้วกัน”
ในขณะที่ชายใส่สูทเพิ่งจะเดินออกไป เจ้าหน้าที่ประสานงานคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นมา
“มีข่าวแจ้งมาจากทางอุโมงค์หมายเลข 1 ครับ! พวกเขาเปิดทางอุโมงค์ที่ถูกปิดตายได้แล้ว ตอนนี้กำลังเข้าไปในเมืองครับ!”
“เชื่อมสัญญาณขึ้นจอภาพเลย” ร็อกสั่งเสียงเข้ม
“รับทราบ!”
หลังจากนั้นไม่นานภาพจากแนวหน้าก็ถูกเชื่อมขึ้นมาฉายบนหน้าจอ ภาพที่ส่ายไปส่ายมาน่าจะมาจากกล้องติดหมวกของหัวหน้าทีม ด้านล่างของเมืองยังมีแสงสว่างอยู่ ถ้าหลอดไฟยังมีแสงสว่างก็หมายความว่าเครื่องปั่นไฟฉุกเฉินยังคงทำงานอยู่ แบบนี้แล้วอุปกรณ์ขนส่งอื่นๆ อย่างเช่นลิฟท์ก็ต้องใช้งานได้ตามปกติแน่นอน นี่ทำให้ทีมช่วยเหลือประหยัดเวลาได้มาก
แต่ในศูนย์บัญชาการไม่มีเสียงเฮเลยแม้แต่นิดเดียว สายตาทุกคนจับจ้องไปยัง ‘จุดแดง’ ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ โครงร่างของมันไม่มีกฎเกณฑ์ แต่มันกลับฝังอยู่ในพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างสมบูรณ์แบบ เหมือนกับเป็นผลงานศิลปะที่ถูกจงใจสร้างขึ้นมาให้เป็นแบบนี้
แต่ร็อกรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งที่สัมผัสการกัดกินจะถูกกลืนกินไปจนหมด ต่อให้เป็นพลังแห่งธรรมชาติก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
และก็เป็นเพราะมันที่ทำให้เมืองปริซึมแยกออกเป็นสองส่วนแบบนี้
“ยังไม่ต้องไปสนใจความเสียหายของสำนักงานใหญ่” เขาออกคำสั่ง “รีบไปยังชั้นล่างดูซิว่าคลังเก็บแกนพลังเป็นยังไงบ้าง?”
ทีมช่วยเหลือที่ได้รับคำสั่งเดินลงไปยังชั้นล่าง ระหว่างทางนั้นไม่มีศัตรูปรากฏตัวออกมา แต่ว่าร็อกเองก็ไม่เห็นร่องรอยการต่อสู้มากนัก บริเวณรอบๆ ตกอยู่ในความเงียบ ข้าวของทุกอย่างยังคงอยู่ในสภาพเดิม เหมือนกับว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เกิดภัยพิบัติอะไร หากแต่ถูกคนจงใจทิ้งร้างอย่างไรอย่างนั้น
ในตอนที่ทีมช่วยเหลือมาถึงหน้าคลังเก็บแกนพลัง ในศูนย์บัญชาการชั่วคราวพลันมีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมา
แม้แต่ร็อกเองก็ยังกัดฟันขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ศพของผู้คุมอีกคนที่ชื่อฟิวเรียสเฟลมขาดออกเป็นสองท่อน ซากศพครึ่งบนติดอยู่บนประตูเหล็กกล้าที่หนาหลายสิบเซนติเมตร เสื้อผ้าแทบจะถูกเผาจนเป็นเถ้าถ่าน ส่วนตรงกลางประจูก็มีรูขนาดใหญ่อยู่รูหนึ่ง เมื่อดูจากขอบที่ไม่ราบเรียบแล้ว มันน่าจะถูกวัตถุที่มีความร้อนสูงบางอย่างเจาะทะลุเข้าไป
เกรงว่าฟิวเรียสเฟลมคงจะเอาตัวเองเป็นเกราะชั้นสุดท้ายในการป้องกันผู้บุกรุก แต่เสียดายที่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่สามารถป้องกันศัตรูเอาไว้ได้
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฟอลเลนอีวิลจะทำได้
หลังจากใช้เวลานิดหน่อย ทีมช่วยเหลือก็เปิดประตูเหล็กออก พื้นที่เก็บแกนพลังเวทมนตร์ที่แปรสภาพอยู่ในสภาพว่างเปล่า
ภายในศูนย์บัญชาการตกอยู่ในความเงียบทันที ทุกคนมองดูหน้าจอด้วยสายตาที่เหม่อลอย
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย….ร็อกกำหมัดแน่น เขารู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางที่จู่ๆ คนเหล่านั้นจะรับเอาแกนพลังที่แปรสภาพแน่! “ไปเอาภาพจากกล้องวงจรปิดมา ฉันจะดูหน่อยสิว่าไอพวกที่บุกเข้ามามันเป็นสัตว์ประหลาดแบบไหน!”
เสียงของเขาดังขึ้นมาในเต็นท์เหมือนสายฟ้าฟาดจนทุกคนต่างสะดุ้งไปตามๆ กัน การทำงานของเครื่องปั่นไฟฉุกเฉินทำให้ระบบกล้องวงจรปิดไม่ได้รับผลกระทบมากนัก นอกจากกล้องตรวจจับบางตัวที่เสียแล้ว กล้องส่วนใหญ่ยังคงใช้งานได้อยู่ ทีมเทคนิคที่ตามเข้าไปที่หลังรีบทำการเชื่อมต่อกับกล่องบันทึกภาพอย่างรวดเร็ว ภาพที่ถูกบันทึกถูกส่งผ่านสายไฟเบอร์ไปยังจอภาพ เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่อยู่ในฐานบัญชาการต่างได้เห็นภาพเหตุการณ์อันน่าเหลือเชื่อ
ในเสี้ยววินาทีที่การกัดกินขยายตัว ในรูสีแดงพลันมี ‘หยดเลือด’ เหนียวๆ ไหลออกมา ก่อนจะหยดลงไปที่พื้น จากนั้นของเหลวที่เป็นเหมือนหยดเลือดเหล่านี้ก็ค่อยๆ ขยับแล้วกลายสภาพเป็นรูปร่างคน หนึ่งในนั้นเหมือนจะมีความสามารถในการละลายสิ่งของ แค่พริบตามันก็เผาพื้นจนทะลุแล้วลงไปชั้นล่างของเมือง แต่ยังมีสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวกว่านั้นอยู่อีกหนึ่งตัว มันเหมือนจะสามารถควบคุมผู้ฝึกยุทธ์ได้ทันทีที่มองหน้า ทำให้พวกเขากลายเป็นหุ่นเชิดที่ไม่มีความคิด ดูแล้วเหมือนกับฟอลเลนอีวิลชั้นต่ำที่ถูกพลังแห่งธรรมชาติล่อลวงอย่างไรอย่างนั้น
ในเวลานี้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ชั้นล่างทั้งชั้นพังพินาศ คนที่ยังมีชีวิตต่างก็เอาแกนพลังแห่งธรรมชาติที่แปรสภาพรวมเข้ากับร่างตัวเองอย่างเหม่อลอยและกลายเป็นหุ่นเชิดของศัตรู ส่วนสัตว์ประหลาดตัวนั้นหลังจากที่มัน ‘กลืน’ แกนพลังที่เหลือลงไป มันก็เจาะรูขึ้นมารูหนึ่งในคลังเก็บแกนพลังแห่งธรรมชาติ ก่อนจะหายตัวไปจากกล้องวงจรปิด
ร็อกเพิ่งจะเคยเห็นวิธีการใช้พลังแบบนี้เป็นครั้งแรก รวมไปถึงศัตรูที่ปรากฏตัวขึ้นมาจากการกัดกินด้วย
เขาอดนึกถึงปฏิบัติการกวาดล้างฟอลเลนอีวิลเมื่อครั้งที่แล้วไม่ได้ ที่ในรายงานของผู้รอดชีวิตมีการพูดถึงสัตว์ประหลาดปราตัวออกมาจาก ‘การกัดกินที่ถูกสร้างขึ้นมา’
ดูเหมือน….นิยามที่บอกว่าการกัดกินสามารถกลืนกินทุกอย่างคงต้องเปลี่ยนซักหน่อยแล้ว
ขณะเดียวกันสิ่งที่ต้องเปลี่ยนก็คือการกัดกินบางทีอาจจะไม่มีการแบ่งแยกความดีความชั่ว เมื่อดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน สัตว์ประหลาดที่มาจากด้านในการกัดกินและดูไม่เหมือนจะเป็นพวกฟอลเลนอีวิลนี้ได้แสดงความเป็นศัตรูต่อมนุษย์ออกมาอย่างชัดเจน
แต่ร็อกก็รู้ดีว่าต่อให้ศัตรูจะรับมือได้ยากแค่ไหน แต่ขอเพียงผู้ฝึกยุทธ์ร่วมแรงร่วมใจกัน สุดท้ายความเขาก็จะหาวิธีรับมือมันได้ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือปลุกขวัญและกำลังใจของทุกคนขึ้นมา ถ้าหากปล่อยทุกคนเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาในจิตใจเพราะศัตรูนั้นแข็งแกร่งกว่า ทุกอย่างก็คือต้องจบสิ้นลง
“ทุกคน ก็เหมือนที่ทุกคนได้เห็น นี่ไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดาๆ หากแต่เป็นบุกรุกที่เกิดจากการกัดกิน!” เขาลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันหน้าหาทุกคนแล้วพูดเสียงดัง “นี่ฟังดูแล้วเหมือนมันจะไม่สมเหตุสมผล แต่ความจริงมันก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าให้เราเห็นแล้ว ถ้าจะพูดให้ชัดเจนกว่านี้ นี่คือสงคราม! เป้าหมายของพวกมันชัดเจน นั่นคือช่วงชิงโลกที่เป็นของเรา! ฉันจะติดต่อสมาคมผู้ฝึกยุทธ์จากทุกที่ เพื่อรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีมาช่วยเหลือเมืองปริซึมกำจัดศัตรู!”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย “ก็เหมือนกันมิสต์ที่เป็นลูกศิษย์ข้าได้พูดเอาไว้ ทุกคน สงครามแห่งโชคชะตาได้เริ่มขึ้นแล้ว”
………………………………………………………………………