Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1225 แผนกอบกู้ (2)
“นี่ก็เป็นพลัง….ของเวทมนตร์งั้นเหรอ?”
“ถูกต้อง แค่เรื่องที่จะอธิบายรูปแบบของเวทมนตร์เพียงอย่างเดียว ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็อธิบายได้ไม่หมด ถ้าจะใช้คำพูดของพวกเจ้ามาอธิบายให้เข้าใจล่ะก็ มันก็คือสิ่งที่อยู่เหนือแรงพื้นฐานทั้งสี่ แล้วก็เป็นผลสุดท้ายของการรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน” มิสต์ใช้น้ำเสียงที่ราบเรียบพูดอธิบายเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ “แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะเข้าไปในดินแดนของพระเจ้าและเข้าไปแทรกแซงสงครามแห่งโชคชะตาได้ตามใจชอบ เพราะว่าโลกนี้มันค่อนข้างเป็นอิสระ เหมือนกับมีฟิล์มหนาๆ มาคั่นแต่ละชั้นเอาไว้อยู่ และก็เป็นเพราะคุณสมบัติพิเศษตรงนี้ถึงทำให้ข้ามีโอกาสมานั่งอยู่กับเจ้าตรงนี้ได้”
ภายในหัวโรแลนด์มีภาพคนเป่าฟองอากาศปรากฏขึ้นมา ท่ามกลางฟองอากาศที่ค่อยๆ ลอยขึ้นไป เหมือนจะมีหนึ่งในฟองอากาศนั้นที่เป็นโลกแห่งความฝัน “อย่างนั้นต้องทำยังไงถึงจะผ่านชั้นที่กั้นอยู่เข้าไปได้?”
“วิธีเดียวกับที่พลังเวทมนตร์เข้ามาในโลกของเรา” มิสต์ชะงักไปเล็กน้อย “กัดกิน”
“เอ่อ…พูดให้มันละเอียดหน่อยได้ไหม?”
“เจ้าน่าจะสังเกตเห็นแล้วว่าโลกนี้มันไม่เหมือนกับโลกนี้มันไม่เหมือนกับตอนแรกที่มันถือกำเนิดขึ้นมา” คำพูดของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของโรแลนด์เต้นเร็วขึ้น “จริงอยู่ที่ตอนแรกมันเป็นแค่การสะท้อนจิตสำนึกของเจ้าออกมา แต่ตอนนี้มันกลับมีอะไรหลายอย่างที่แม้แต่เจ้าก็ไม่เคยเห็นปรากฏออกมา และการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ก็เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่เจ้าเก็บเอาพลังแห่งธรรมชาติมา”
“เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?” โรแลนด์แปลกใจเล็กน้อย
“เพราะว่านับตั้งแต่ที่ข้าให้กำเนิดตัวเองขึ้นมา ข้าก็วนเวียนอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึกมาโดยตลอด แล้วก็มีความรู้สึกที่ค่อนข้างไวต่อการเปลี่ยนแปลงพวกนี้” มิสต์พูดอย่างไม่อ้อมค้อม “ฟังนะเด็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นโลกแห่งความฝันหรือว่าดินแดนของพระเจ้าก็ล้วนแต่อาศัยพลังเวทมนตร์ในการทำให้มันคงอยู่ สิ่งที่สะท้อนออกมาในความเป็นจริงก็คือพลังแห่งธรรมชาติพวกนั้น การเก็บรวบรวมพวกมันจะทำให้โลกนี้ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไปทับซ้อนกับดินแดนที่พระเจ้าอยู่และทำให้เกิดรอยแตกการกัดกินขึ้นมา”
ทฤษฎีนี้ฟังแล้วคล้ายกับตอนที่เธอพูดในงานต้อนรับสมาชิกใหม่ “จากที่ข้ารู้มา ในสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เก็บรวบรวมแกนพลังธรรมชาติที่แปรสภาพเอาไว้จำนวนมาก ถ้าอยากจะเก็บรวบรวมพวกมันให้เร็วที่สุด อย่างนั้นไปอยู่ฝั่งเดียวกับฟอลเลนอีวีลมันจะไม่ดีกว่าเหรอ?”
มิสต์ไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้านอะไรออกมา หากแต่ยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “เสียดายที่ข้าเป็นแค่ลูกศิษย์ของผู้คุม เลยไม่สามารถพาเจ้าเข้าไปในคลังเก็บพลังแห่งธรรมชาติที่อยู่ใจกลางเมืองปริซึมได้”
“ถึงแม้ต้องกลายเป็นศัตรูกับสมาคมก็ไม่เป็นไรเหรอ?”
“ถ้าเจ้าสามารถหยุดยั้งสงครามแห่งโชคชะตาได้ โลกแห่งความฝันก็จะไม่ถูกกัดกินอีกต่อไป ในอีกแง่หนึ่งมันก็ตรงกับปณิธานของสมาคม เพียงแต่ว่า…เด็กคนนั้นคงจะรู้สึกเสียใจอย่างมากแน่ เพราะนางฝากความหวังเอาไว้ที่เจ้าสูงมาก”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ บนใบหน้าของมิสต์ก็เผยให้เห็นสีหน้าที่จนปัญญาและเศร้าใจ
เธอหมายถึง…การ์เซียเหรอ?
โรแลนด์แอบรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนที่รับใช้พระเจ้า อย่างนั้นเกรงว่าเธอคงจะมีชีวิตอยู่มาเป็นล้านปีแล้ว คนแบบนี้น่าจะเห็นทุกอย่างมาจนชินแล้วถึงจะถูก ทำไมเธอถึงได้มารู้สึกเห็นใจลูกศิษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งแบบนี้ได้?
เป็นเพราะอีกฝ่ายเคยชินกับการแสดงหรือว่าได้รับผลกระทบจากสถานะที่เป็นอยู่ในตอนนี้ไปโดยไม่รู้ตัว?
“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าต้องทำแบบนั้นนี่นา” โรแลนด์คิดจะใช้กาแฟมาทำลายบรรยากาศที่ตึงเครียดนี้ แต่เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าแก้วกาแฟของตนตกแตกไปแล้ว เขาจึงได้แต่ต้องหดมือที่ยื่นออกไปกลับมา “ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าก็บอกเองนี่นาว่าต้องเข้าไปในโลกแห่งจิตสำนึกจากทั้งสองโลกพร้อมกันมันถึงจะได้ผลใช่ไหมล่ะ? ไม่แน่พอถึงตอนนั้นแกนพลังที่รวบรวมมาได้คงจะมีมากพอแล้ว ปัญหาเดียวก็คือข้าจะรู้ได้ยังไงว่าโลกแห่งความฝันมันทับซ้อนกับดินแดนของพระเจ้าแล้ว? การกัดกินที่อยู่ในเมืองปริซึทเหล่านั้นคงจะไม่ใช่การกัดกินใช่ไหมล่ะ?”
“ถูกต้อง รูที่การกัดกินพวกนั้นสร้างขึ้นมาคือเขตแดนที่ว่างเปล่าในโลกแห่งจิตสำนึก มันมีกฎที่แตกต่างกับที่นี่โดยสิ้นเชิง แล้วก็ไม่สามารถใช้เป็นอุโมงค์ได้ด้วย” มิสต์พยักหน้า “ส่วนเรื่องที่ว่าจะรู้ได้ยังไงว่ามันทับซ้อนกันแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะรู้เอง แต่ว่านั่นก็จะเป็นการเริ่มนับเวลาถอยหลังของการดับสูญของสรรพสิ่งด้วย เจ้าจำเป็นต้องเปิดทางไปสู่บอทธ่อมเลสแลนด์ก่อนที่เวลานั้นจะมาถึง”
“จากนั้นล่ะ?”
มิสต์ส่ายหัว
ดูเหมือนนี่จะเป็นข้อมูลที่ถูกมองว่าเป็น ‘ภัยต่อพระเจ้า’ ล่ะมั้ง โรแลนด์ครุ่นคิด แต่เขาก็ไม่ตัดความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายจะจงใจปิดบังตนเหมือนกัน สรุปแล้วจากการพูดคุยครั้งนี้ทำให้เขาพอจะเข้าใจสิ่งที่ตัวเองต้องทำแล้ว ความจริงไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกำจัดปีศาจออกจากดินแดนแห่งรุ่งอรุณหรือว่าปล้นฟอลเลนอีวิลเพื่อมาเป็นหาใช้จ่ายให้กับแม่มดโบราณก็ล้วนแต่เป็นแผนที่วางเอาไว้แต่แรกแล้ว จะมีหรือไม่มีข้อมูลตรงนี้มันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรมาก ถ้าจะให้เดาล่ะเรื่องหลังจากนั้นก็คงต้องเป็นเรื่องการจัดการกับสงครามแห่โชคชะตาและสู้กับปีศาจและฟอลเลนอีวิลล่ะมั้ง
สิ่งที่ไม่แน่ใจก็คือเขาจะเจอกับอะไรที่บอทธ่อมเลสแลนด์ นี่คือส่วนที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดถึงเลย ถ้าจะมีกับดักล่ะก็ ก็คงเป็นเรื่องที่เธอบอกให้เขาไปแทนที่พระเจ้า
เขาไม่คิดว่า ‘พระเจ้า’ ที่ว่านั่นจะยอมแพ้เมื่อเขาเปิดทางเข้าไปสู่โลกแห่งจิตสำนึกได้ บวกกับทุกเรื่องที่มิสต์เล่ามามันอาจจะมีอะไรที่มากกว่านั้นอยู่อีก หลังจากนี้เขาควรจะเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นจะดีกว่า
นอกจากนี้โรแลนด์ยังมีคำถามอยู่อีกข้อหนึ่ง นั่นคือทำไมถึงต้องเป็นเขา?
เมื่อดูจากแผนการทั้งหมด เขาไม่ได้มีอะไรที่จะไปแทนที่พระเจ้าได้เลย ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกของมิสต์จะเป็นมนุษย์ แต่โรแลนด์ไม่มีทางมองเธอเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างแน่นอน ตัวโรแลนด์กลับคิดว่าปีศาจเอาชนะสมาพันธ์ได้กับอาณาจักรซีสกายนั้นดูจะเหมาะสมกับเป้าหมายนี้มากกว่าอีก
จากที่อีกฝ่ายบอกมา บอทธ่อมเลสแลนด์นั้นอยู่ติดกับทางด้านเหนือของอาณาจักรรุ่งอรุณซึ่งตอนนี้ได้ถูกปีศาจยึดครองเอาไว้แล้ว อีกทั้งข้อมูลเกี่ยวกับอาณาจักรซีสกายที่คาบราดาบีบอกมานั้นแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ของปีศาจก็ไม่ค่อยดีเท่าไรเหมือนกัน มันจะสามารถรักษาฐานที่มั่นของตัวเองได้หรือไม่นั้นยังคงเป็นปัญหาอยู่ แต่ไม่ว่ายังไง ทั้งสองเผ่าพันธุ์นี้ก็มีความได้เปรียบที่เหนือกว่ามนุษย์มาก เรียกได้ว่าทั้งสองบรรลุเป้าหมายของตนเองไปกว่าครึ่งทางแล้ว
ถึงแม้บอทธ่อมเลสแลนด์จะไม่สามารถเข้าไปจากด้านนอกได้ แต่โรแลนด์ก็ไม่ได้นึกได้ใจเรื่องที่ตัวเองไปทิ้งร่องรอยเอาไว้ในโลกแห่งจิตสำนึก
เพราะอย่างน้อยซีโร่ก็มีความสามารถนี้ เขาแอบรู้สึกว่าบางที ‘สงครามแห่งวิญญาณ’ ของซีโร่นั้นอาจจะเป็นการยืมพลังของโลกแห่งจิตสำนึกมาใช้
และโลกแห่งความฝันก็ถือกำเนิดขึ้นมาด้วยหลักการเช่นนี้เหมือนกัน
เขาถามข้อสงสัยนี้ออกไป “ข้าคงจะไม่ใช่…คนแรกที่เจ้ามาขอความช่วยเหลือใช่ไหม?”
มิสต์ตอบอย่างไม่ลังเล “ถูกต้อง หลายพันปีมานี้มีอยู่หลายคนแล้ว”
ใช่จริงๆ ด้วย โรแลนด์ใจเต้นขึ้นมา “รวมไปถึงปีศาจด้วย?”
“ข้าไม่รู้เรื่องของทางนั้น หลังออกจากดินแดนของพระเจ้าไปแล้ว ข้าก็สูญเสียความสามารถในการติดต่อกับผู้รับใช้อื่นๆ —- ข้าบอกเจ้าได้เพียงว่าผู้ทรยศนั้นไม่ได้มีแค่คนเดียว
“คนก่อนหน้านี้คือใคร? ซีโร่เหรอ?”
“อัลฟีน่าผู้ส่งความฝัน นางมีชีวิตอยู่เมื่อ 869 ปีก่อน”
โรแลนด์คิดเล็กน้อย ก่อนจะพบว่านี่เป็นชื่อที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน “คนพวกนั้นไม่มีใครทำสำเร็จ?”
มิสต์ถอนหายใจ “บางทีเจ้าอาจจะคิดว่าการมาพูดคุยอย่างนี้เป็นเรื่องง่าย แต่ความจริงแล้วแม้แต่ก้าวแรกพวกนางก็ทำไม่สำเร็จด้วยซ้ำ พวกนางต้องทำการเปิดพื้นที่ที่มีความเสถียรในโลกแห่งความฝัน ไม่อย่างนั้นต่อให้ความสามารถของพวกนางจะเชื่อมต่อกับที่นี่ได้ แต่ข้าก็ทำได้เพียงแค่พูดกับพวกนางเพียงคำสองคำเท่านั้น ทำให้ยากต่อการที่จะพูดคุยกันให้รู้เรื่องได้ นอกจากนี้ทั้งสถานะ คำพูดและการกระทำของข้าไม่สามารถแยกตัวจากจิตสำนึกของพวกนางออกมาอยู่ตามลำพังได้ พูดอีกอย่างก็คือจำเป็นต้องอยู่ในขอบเขตความเข้าใจของพวกนางถึงจะทำให้สามารถส่งสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถ้าระดับความเข้าใจยิ่งสูง คำตอบก็จะยิ่งแม่นยำ นี่คือกฎเหล็กที่ไม่สามารถก้าวข้ามไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นพวกเจ้าหรือว่าปีศาจก็ล้วนแต่เป็นเช่นนี้เหมือนกัน”
“ถ้าคุยเรื่องที่นอกเหนือจากความเข้าใจพวกนางก็จะไม่รู้เรื่อง?”
“ถูกต้อง ความจริงเจ้าเป็นคนแรกที่บรรลุเงื่อนไขเหล่านี้ได้ ถึงแม้ข้าจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมความรู้ความเข้าใจของเจ้าถึงได้ก้าวข้ามยุคสมัยไปไกลขนาดนี้ แต่สำหรับข้าแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องโชคดี”
“อย่างนั้น…” โรแลนด์ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ตัดสินใจถามออกมา “ถ้าข้าล้มเหลวมันจะเป็นยังไง?”
มิสต์เงียบไปครู่ ก่อนจะตอบออกมาว่า “ข้าก็จะรอต่อไป รอให้คนที่เหมาะสมคนต่อไปปรากฏตัว จนสุดท้ายได้รับการปลดปล่อย…หรือไม่ก็ถูกพระเจ้าทำลาย”
………………………………………………………..