Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1224 แผนกอบกู้ (1)
“ทำไมเจ้าถึง…รู้จักชื่อนี้?”
มิสต์ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถึงแม้ข้าจะเกิดที่นี่ แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่รู้เรื่องโลกของเจ้า ไม่รู้ว่าเจ้าเคยได้ยินคำว่า ‘โลกแห่งจิตสำนึก’ ….หรือที่ว่า ‘แหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์’ หรือเปล่า?”
โรแลนด์นึกถึงข้อมูลที่คาบราดาบีเผยออกมาทันที เขาพุ่งเข้าไปหาหลานที่โต๊ะโดยไม่สนใจเก็บเศษแก้วที่แตก พร้อมถามเสียงคร่ำเคร่งว่า “นางอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึกงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่แน่นอน หากแต่เป็นโลกแห่งจิตสำนึกที่จดจำนางไว้ ใครก็ตามที่ได้รับพลังที่มากพอจะมีการทิ้งร่องรอยเอาไว้ที่นั้น” มิสต์ชะงักไปเล็กน้อย “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ เจ้าคิดจะถามหาวิธี จากนั้นก็จะไปจัดการกับปัญหานี้ด้วยตัวเอง หรือกระทั่งคิดจะหยุดสงครามแห่งโชคชะตา แต่ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้าไว้ก่อน เวลาเหลือไม่มากแล้ว”
“หมายความว่าไง?”
“โลกแห่งจิตสำนักไม่ใช่ภาชนะที่เหมาะจะเข้าไปอยู่เป็นเวลานาน เวลายิ่งทอดออกไปนานขึ้น จิตสำนึกของนางก็จะยิ่งเบาบางลง กระทั่งหายไปในที่สุด ซึ่งกระบวนการตรงนี้ไม่สามารถย้อนกลับได้ ดังนั้นต่อให้เจ้ารู้วิธี แต่ก็อาจจะทำให้มันเป็นจริงไม่ทัน ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังไม่ใช่สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดด้วย”
“สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคืออะไร?”
“การมีอยู่ของโลกแห่งความฝันนั้นได้ไปขัดขวางความตั้งใจของพระเจ้าอย่างรุนแรง มันไม่มีทางปล่อยให้สถานการณ์แบบนี้ดำเนินต่อไปแน่นอน พูดอีกอย่างก็คือในตอนที่พระเจ้าคิดว่าไม่มีวิธีไหนที่จะดึงให้สถานการณ์กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว ทั้งสองโลกก็จะพังทลายลงพร้อมๆ กัน ข้าเกรงว่าสถานการณ์ที่เร่งด่วนนี้มันจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่เจ้าคิดเอาไว้มาก นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมข้าถึงตัดสินใจมาพูดกล่อมเจ้า” มิสต์พูดช้าๆ ชัดๆ “เด็กน้อย ช่วยข้า มันก็เป็นการช่วยตัวเจ้าด้วย”
“ฟังแล้วเหมือนจะเป็นเช่นนั้น” โรแลนด์ไม่ได้ตกลงแล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธ “แต่เมื่อกี้เจ้าเป็นคนบอกเองว่ามีแต่สิ่งที่ข้าทำความเข้าใจได้ด้วยตัวเองถึงจะเป็นคำตอบที่แท้จริง นั่นก็หมายความว่าเรื่องที่เจ้าบอกให้ข้าฟังมันอาจจะเป็นเรื่องโกหกก็ได้…รวมไปถึงเรื่องที่ทำให้แอชเชสกลับมามีชีวิตอีกครั้งด้วย”
มิสต์ถอนหายใจ ก่อนจะนั่งพิงไปบนเกากี้ “เจ้าคิดแบบนี้มันก็ไม่ผิด เพราะข้าไม่อยากให้สุดท้ายแล้วเจ้าถึงจะมาคิดว่าข้ากำลังโกหก — การพูดมันออกมาแต่แรกมันก็เป็นการพิสูจน์ความจริงใจของข้าเหมือนกัน”
โรแลนด์นิ่งเงียบ
นี่เป็นปัญหาที่ยากจะตัดสินใจได้ทั้งคู่
จากข้อมูลที่เขารู้มา เขาแทบจะหาช่องโหว่ในคำพูดของอีกฝ่านไม่ได้เลย — อย่างเช่นการคุกคามของโลกแห่งความฝันเขาก็เคยได้ยินมาจากปากของสัตว์ประหลาดเวทมนตร์มาแล้วหลายครั้ง ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าโลกแห่งความฝันไปทำให้มันโกรธได้อย่างไร แต่ท่าทีที่เป็นศัตรูของพวกมันนั้นเป็นของจริง ถ้ารวมสิ่งเหล่านั้นเข้ากับข้อมูลของมิสต์ นั่นก็หมายความว่าสัตว์ประหลาดเวทมนตร์ก็คือ ‘ลูกน้อง’ ของพระเจ้า
แต่การจะอาศัยข้อมูลแค่นี้แล้วมองว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาเป็นเรื่องจริงมันก็ดูจะบุ่มบามเกินไปหน่อย เพราะนี่เป็นข้อมูลที่มิสต์พูดออกมาแต่เพียงฝ่ายเดียว ถ้าเขาวิเคราะห์สถานการณ์ด้วยข้อมูลที่ผิดพลาด อย่างนั้นข้อสรุปที่ได้ก็จะยิ่งผิดเข้าไปใหญ่อย่างแน่นอน วิธีที่น่าเชื่อถือที่สุดก็คือตัวเองค่อยๆ พิสูจน์มันด้วยตัวเอง
แต่ปัญหานั้นอยู่ที่เวลา
เมื่อไม่สามารถบอกได้ว่าที่อีกฝ่ายบอกว่า ‘เวลาเหลือไม่มากพอ’ นั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ การเลือกวิธีที่น่าเชื่อถือที่สุดก็เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งเหมือนกัน
ขอเพียงหลับตาลง ภาพทิลลีที่ร่ำไห้ปานจะขาดใจในอ้อมอกของเขาก็จะปรากฏขึ้นมาในหัวอีกครั้ง ถึงแม้ตอนนี้เธอจะเก็บความเสียใจนี้เอาไว้ในใจและไม่แสดงมันออกมาทางสีหน้าแล้ว แต่ดวงตาทั้งสองข้างของเธอก็ไม่ได้สดใสเหมือนอย่างก่อนหน้านี้อีก เหมือนกับมีฝุ่นบางๆ มาเกาะอยู่บนอัญมณี มีคนบอกว่านั่นเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเธอกำลังเติบโต มีแต่ต้องลิ้มรสการสูญเสียถึงจะเข้าใจการรู้คุณค่า แต่โรแลนด์เห็นค้านกับคำพูดปลุกใจประเภทนี้ การไม่สูญเสียต่างหากถึงจะเป็นการเลือกของคนที่เติบโตแล้ว ส่วนความเจ็บปวดใครอยากจะลิ้มรสก็ลิ้มรสไป
ตอนนี้เมื่อมีความเป็นไปได้แบบนี้ เขาก็ไม่อาจทำเป็นทองไม่รู้ร้อนได้อีก
โรแลนด์สะกดอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่านอยู่ในใจตัวเอง ก่อนจะนั่งลงไปตรงหน้ามิสต์อีกครั้งโดยแสร้งทำเหมือนว่าตัวเองได้พยายามที่จะรับฟังอย่างเต็มที่
“แต่ข้าก็ไม่สามารถรับปากเจ้าง่ายได้เหมือนกัน เจ้าลองบอกวิธีมาหน่อยแล้วกัน ข้าต้องทำยังไงถึงจะทำให้นางกลับมาในโลกนั้นได้?”
“เรื่องนี้ไม่ขัดกับเรื่องที่ข้าต้องการความช่วยเหลือ พูดอีกอย่างก็คือแท้ที่จริงแล้วทั้งสองเรื่องนี้คือเรื่องเดียวกัน” มิสต์ค่อยๆ ตอบ “ก่อนอื่นเจ้าต้องหาโลกแห่งจิตสำนึกให้เจอก่อน จากนั้นก็เข้าไปในโลกแห่งจิตสำนึก และขั้นตอนนี้ก็ทำเป็นต้องทำในสองโลกพร้อมกัน ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่มีทางสำเร็จเด็ดขาด”
โรแลนด์ถามอย่างตกใจ “สอง…โลก? เดี๋ยวๆ เจ้าจะบอกว่า แหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์มันมีอยู่จริงๆ งั้นเหรอ?”
“ถูกต้อง มันไม่ใช่ภาพลวงตาที่ลอยไปลอยมา หากแต่เป็นสิ่งที่มองได้จริง จับต้องได้จริง ซึ่งแตกต่างจากรู้ที่เกิดขึ้นจากการกัดกิน” มิสต์พยักหน้า “ความจริงแล้วมันอยู่ติดกับทางเหนือของดินแดนแห่งรุ่นอรุณ พวกเราเรียกมันว่าบอทธ่อมเลสแลนด์”
โรแลนด์ใจเต้นขึ้นมาเล็กน้อย คำนี้…เหมือนจะเคยได้ยินที่ได้มาก่อน
“แต่ทางด้านเหนือถูกปีศาจยึดครองไปแล้ว เจ้ารู้จักปีศาจใช่ไหม? พวกมันคือศัตรูของสงครามแห่งโชคชะตาครั้งนี้”
“เกี่ยวกับเรื่องในโลกนั้น ข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ การเข้าไปแทรกแซงสงครามแห่งโชคชะตาคือข้อห้ามเด็ดขาดของพระเจ้า ในจุดนี้เจ้าต้องแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง” มิสต์พูดต่อว่า “เอาชนะพวกมัน จากนั้นเข้าไปยังบอทธ่อมเลสแลนด์ ถ้าเจ้าทำไม่ได้ ทุกอย่างมันก็สูญเปล่า”
เธอถึงได้บอกว่าถึงแม้จะรู้วิธี มันก็ไม่แน่ว่าจะทันการอย่างนั้นเหรอ…..
โรแลนด์ครุ่นคิดอยู่ครู่ “เอาล่ะ ต่อให้เจ้าไม่พูดอะไรข้าก็จะกำจัดปีศาจออกไปจากดินแดนแห่งรุ่งอรุณอยู่ดี อย่างนั้นจากโลกแห่งความฝันจะไปถึงโลกแห่งจิตสำนึกได้ยังไง…ในเมื่อมันเป็นโลกที่สร้างขึ้นมาจากจินตนาการ มันก็คงจะไม่ต้องยุ่งยากอะไรขนาดนั้นใช่ไหมล่ะ”
“ก่อนที่ข้าจะตอบเจ้า ข้าอยากจะถามเจ้าข้อนึง” มิสต์มองออกไปทางนอกหน้าต่าง “เจ้าคิดว่าว่าโลกนี้มันไมใช่ของจริงงั้นเหรอ?”
โรแลนด์ตกตะลึงก่อนจะมองตามสายตาของอีกฝ่ายออกไป คลื่นมนุษย์นักเรียนและพนักงานออฟฟิศได้ผ่านไปแล้ว คนที่เดินไปเดินมาบนถนนก็น้อยลงไปมาก ในที่สุดเหล่าพ่อค้าที่ขายของกินอยู่ข้างทางก็ได้หยุดพัก มีบางคนเริ่มนับเงินที่ได้ในเช้าวันนี้ด้วยสีหน้าดีใจ บางคนก็จุดบุหรี่ขึ้นมาสูบพร้อมกับนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไปพลาง
สิ่งที่เข้ามาแทนที่นักเรียนและพนักงานออฟฟิศก็คือเหล่าคุณตาคุณยายที่อาศัยอยู่ที่นี่ พวกเขาถือตะกร้าใส่กับข้าวแล้วเดินทางถนนแคบๆ เส้นนี้ไป ในตอนที่เดินผ่านร้านโรสคาเฟ่ก็จะมีการส่งสายตาดูถูกออกมา หรือไม่ก็หันไปกระซิบคนที่อยู่ข้างๆ เหมือนกับว่ากำลังหัวเราะเยอะรสนิยมเจ้าของร้านอย่างไรอย่างนั้น
โรแลนด์รู้ว่าถ้าตัวเองออกไปทะเลาะกับพวกเขา สิ่งที่เขาจะได้รับกลับมานั้นไม่ใช่บทพูดที่ถูกเขียนเอาไว้ล่วงหน้าอย่างแน่นอน หากแต่เป็นคำด่าที่แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมทางภาษาชุดใหญ่ ส่วนพวกพ่อค้าที่เหลือก็ไม่มีทางที่จะอยู่เฉยๆ พวกเขาจะต้องเข้ามาล้อมวงเพื่อดูสงครามปะทะฝีปากที่แน่นอน
เมื่ออยู่ต่อหน้าโลกแบบนี้ จู่ๆ เขาพลันรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถพูดคำว่า ‘ใช่’ ออกมาได้
“เราจะกำหนดได้อย่างไรว่าอันไหนจริงไม่จริง?” มิสต์ถามเสียงเบาๆ ขึ้นมา “ต้องมีร่างกายถึงจะนับว่าเป็นชีวิตที่มีอยู่ตรงงั้นเหรอ? ถ้าความคิดๆ หนึ่งมีความรู้สึกรักโลภโกรธหลง มีจิตสำนึกเป็นของตัวเอง แต่เพียงแค่มันลอยไปลอยมาไม่นิ่ง หรือไม่ก็คงอยู่ในรูปของร่างพลังงาน อย่างนั้นจะถือว่ามีชีวิตด้วยหรือเปล่า?”
“เอ่อ….ข้าคิดว่าน่าจะใช่นะ”
เธอหันหน้ากลับมามองโรแลนด์ “เช่นนั้นก็ต้องปกป้องที่นี่ เพราะทันทีที่มันถูกทำลาย ชีวิตนับล้านๆ ชีวิตที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ก็จะดับสูญไป ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเรียกได้ว่าหนักหนากว่าโลกภายนอกเสียอีก เพราะถ้าเจ้าสูญเสียมันไป โลกแห่งจิตสำนึกก็จะตัดขาดจากเจ้าไปตลอดกาล”
“หรือว่า…ทางเข้าของโลกแห่งจิตสำนึกอยู่ในเมืองนี้?”
“พูดให้ถูกคือที่นี่คือโลกแห่งจิตสำนึก” มิสต์พูดแก้ “ตอนนี้เจ้าอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึก”
ดวงตาโรแลนด์เบิดโพลงด้วยความตกใจ
พูดอีกอย่างก็คือร่างกายของเขายังคงนอนหลับอยู่ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ แต่วิญญาณเขากลับข้ามมาอยู่ในบอทธ่อมเลสแลนด์ที่อยู่ห่างออกไปนับพันๆ กิโลทางเหนือของทวีปงั้นเหรอ?
……………………………………………………………………..