Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1214 หนังเวทมนตร์เรื่องที่สอง
หลังจากนั้นสองวัน ช่วงเวลาที่วิคเตอร์รอคอยก็มาถึง
การฉายรอบแรกของ ‘ฝุ่นแห่งการทำลายล้าง’ จะเริ่มขึ้นในเวลาบ่ายสามโมง เขามาถึงหน้าประตูโรงหนังก่อนหนังจะเริ่มฉายเป็นเวลานาน หลังจากตรวจตั๋วและเดินเข้าไปในโรงหนังแล้ว วิคเตอร์พลันพบว่าโรงหนังที่ไม่ได้เห็นมาเป็นเวลาหนึ่งปีนี้ถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมไปมาก ไม่เพียงแต่จะมีห้องฉายหนังเพิ่มขึ้นมาอีกหลายห้อง แต่ด้านนอกยังมีห้องและลานสำหรับนั่งรอเพิ่มขึ้นมาด้วย ถึงแม้เขาจะมาถึงล่วงหน้าเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง แต่ภายในห้องโถงก็ยังมีคนมารวมตัวกันอยู่ไม่น้อย
“ท่านนี้คือท่านการ์มอนจากหอการค้าเครสเซนต์มูนหรือเปล่า เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบ”
“อะไรกัน คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบพ่อค้าใหญ่จากอาณาจักรดอว์นที่นี่ การค้าหลังจากนี้ข้าต้องขอคำชี้แนะด้วยล่ะ”
“ที่ยืนอยู่ตรงนั้นมันนักแสดงของคณะละครเคเกนไม่ใช่เหรอ ไม่รู้ว่าจะได้เจอตัวท่านอาจารย์เคแกนหรือเปล่า”
“ถ้าท่านรู้จักท่านอาจารย์ล่ะก็ ได้โปรดแนะนำให้ข้าได้รู้จักด้วยสิ”
“ไม่มีปัญหา”
เหล่าผู้ชมจับกลุ่มพูดคุยเพื่อสร้างความสัมพันธ์กัน ก็เหมือนกับที่เขาคิดเอาไว้ คนที่จ่ายเงินหลายสิบเหรียญทองได้ ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นคนที่มีชื่อเสียงระดับต้นๆ และนี่ก็เป็นหนึ่งในคุณค่าที่แอบแฝงอยู่ในการฉายหนังรอบแรก
“เฮ้ นี่ัมันท่านวิคเตอร์นี่นา? ได้ยินว่าท่านไม่ทำธุรกิจอัญมณีแล้วเหรอ?” บางครั้งก็มีคนที่จำเขาได้พูดทักทายเขา
“ยังทำอยู่ เพียงแต่ช่วงนี้ธุรกิจไม่ค่อยดีเท่าไร”
“ข้าชอบผ้าห่มที่หอการค้าของพวกท่านทำออกมาใหม่มากเลย หลังเปลี่ยนไปแล้วมีลูกค้ากลับมาพักที่โรงแรมไม่น้อย นี่ข้าว่าจะสั่งเพิ่มอีกซัก 100 ชุด”
“ขอบคุณท่านที่อุดหนุน เดี๋ยวดูหนังเวทมนตร์เสร็จแล้วเราไปหาที่คุยกันดีว่า”
“ได้ อย่างนั้นเอาตามนี้”
ทิงเกิลที่อยู่ข้างๆ ฟังจนรู้สึกตกใจ สำหรับเธอแล้ว การพูดคุยเรื่องการค้าระดับหลายสิบไปจนถึงหลายร้อยเหรียญทองนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการได้ เมื่อถึงจังหวะที่ไม่มีคน เธอจึงดึงชายเสื้อของวิคเตอร์เบาๆ “ท่านวิคเตอร์ คนพวกนี้เขามาดูหนังหรือว่ามาคุยเรื่องการค้ากันแน่เจ้าคะ? แถมข้ายังเห็นหลายคนที่ไม่เคยรู้จักกับท่านมาก่อน ท่านไม่กลัวเขาหลอกหรือเจ้าคะ?”
“วางใจได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพ่อค้า เดี๋ยวเจ้าก็ชินไปเอง” วิคเตอร์ยิ้มๆ เพราะการที่กล้าจ่ายเงินซื้อตั๋วชมหนังรอบแรกนั้นก็หมายถึงความสามารถอย่างหนึ่ง ทันทีที่ก้าวเข้ามาเหยียบในวงสังคมระดับนี้ ก็เท่ากับว่าได้รับการยอมรับจากคนอื่นๆ ไปโดยปริยาย หนังเวทมนตร์นั้นไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้ ดูจบก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ด้วยเหตุนี้ในอีกแง่หนึ่ง คนที่กล้าจ่ายเงินเพื่อเข้ามาดูมันจึงมีความน่าเชื่อถือมากกว่าคนที่สวมเครื่องประดับทั้งตัวเสียอีก
ในขณะที่เขากำลังเดินไปอธิบายไปอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีคนข้างๆ เดินมาชนเขา
“เอ่อ…ขอโทษ” เมื่อสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง วิคเตอร์จึงกล่าวขอโทษออกไปก่อน แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย วิคเตอร์ก็ต้องตกตะลึงไปทันที
มันคือใบหน้าที่ไม่มีอาการโกรธเลยแม้แต่น้อย หน้าตาของของเธอดูแล้วไม่ได้แย่ ถ้าแต่งหน้าอีกนิดหน่อยก็น่าจะสวยกว่าทิงเกิลเสียอีก แต่ผิวที่ขาวซีดและดวงตาที่ว่างเปล่าของเธอได้ทำลายความสวยทั้งหมดนี้ลง มันทำให้คนเกิดความรู้สึกเหินห่างขึ้นมา — สีหน้าที่ดูอมทุกข์แบบนี้ไม่ได้เข้ากับบรรยากาศในโถงแห่งนี้เลย
หญิงสาวไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงแค่เหลือบมองดูเขา ก่อนจะเดินจากไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
แปลกคนจริงๆ….วิคเตอร์บ่นในใจ
“นายท่าน!” ทิงเกิลที่ไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้คว้ามือเขาไว้แล้วตะโกนออกมา “หนังจะเริ่มฉายแล้ว พวกเรารีบเข้าไปกันเถอะเจ้าค่ะ!”
“เอ่อ…อื้อ” วิคเตอร์ส่ายหัวโยนความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป ก่อนจะเดินตามทิงเกิลเข้าไปในห้องฉายหนัง
…..
“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?” โจมองฟาร์รีน่าอย่างกังวล
“ไม่มีอะไร” ฟาร์รีนาพูดเสียงเบาๆ “ก็แค่คนที่ไม่ดูทางน่ะ ไปเถอะ ในเมื่อพาข้ามาที่นี่ก็อย่ามัวแต่ยืนงง”
“ก็ ก็ใช่” โจอยากจะเอื้อมมือไปจับมือเธอไว้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ยื่นออกไป “อย่าลืมนะว่าข้าจะอยู่ข้างกายเจ้าตลอด”
ฟาร์รีนาไม่ได้ตอบอะไร การตามเขามาที่นี่คือสิ่งสุดท้ายที่เธอจะตอบแทนเขาได้แล้ว
พวกเธอมาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์เกือบครึ่งปีแล้ว เหล่าแม่มดที่บอกว่าตัวเองมาจากช่วงเวลาเมื่อ 400 ปีก่อนนั้นไม่ได้โกหก อาการบาดเจ็บของเธอค่อยๆ ถูกรักษาให้หายทีละน้อย จากที่ไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิดเดียวจนสามารถเดินได้ด้วยตัวเอง ถึงแม้บนร่างกายจะมีร่องรอยบาดแผลจากการเฆี่ยนตีหลงเหลืออยู่ แต่ฟาร์รีน่ากลับไม่ได้บ่นอะไรเลยแม้แต่น้อย ถ้าเธอเป็นแม่มดที่ตกอยู่ในมือของศาสนจักร จุดจบของเธอคงจะน่ารันทดมากกว่านี้ อีกฝ่ายทำให้เธอขนาดนี้แล้ว เธอยังจะกล้าต่อว่าอะไรอีก?
แต่หลังผ่านไปนาน การตัดสินที่เธอคิดเอาไว้ก็ยังมาไม่ถึงเสียที แม้แต่หน้าราชาแห่งเกรย์คาสเซิลเธอก็ยังไม่เคยเจอเลยแม้แต่ครั้งเดียว พวกเขาส่งคนมาถามคำถามเธอหลายสิบคำถาม จากนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรอีก บางคำถามเธอจงใจโกหกเพื่อยั่วให้อีกฝ่ายโมโห แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นรอยยิ้มดูถูกที่เหมือนมีเหมือนไม่มี
หลังได้รับการปล่อยตัวออกมาจากคุก โจก็ซื้อบ้านหลังหนึ่งให้ฟาร์รีนาได้อยู่ เขาไม่เหมือนกับเธอ โจซึ่งเป็นอดีตขุนนางได้งานทำในสำนักบริหาร อีกทั้งยังปรับตัวเข้ากับสถานะใหม่ได้อย่างรวดเร็ว พูดอีกอย่างก็คือเดิมเขาไม่ควรจะเป็นสมาชิกของศาสนจักรเลย แต่นี่ก็ไม่ได้ทำให้ฟาร์รีนารู้สึกดีขึ้นแต่อย่างใด ในทางกลับกัน เธอกลับรู้สึกทรมาน เพราะยิ่งเธออาศัยอยู่ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์นานวันเท่าไร ความเข้าใจที่มีต่อเมืองนี้ก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ และเธอก็ยิ่งรับรู้ถึงความผิดพลาดของศาสนจักร แม่มดนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปีศาจใต้นรกเลย นอกจากพลังเวทมนตร์แล้ว อย่างอื่นพวกเธอก็เหมือนกับคนธรรมดาทุกอย่าง ส่วนโรแลนด์ วิมเบิลดันที่ใช้ประโยชน์จากพลังเวทมนตร์ของแม่มดก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเมืองของเขาให้กลายเป็นรังของปีศาจ ต่อให้เป็นคนตาบอดก็ยังไม่อาจปฏิเสธภาพความเจริญรุ่งเรืองของที่นี่ได้
ด้านหนึ่งก็คือศาสนจักรที่เธอจงรักภักดีมาครึ่งค่อนชีวิต อีกด้านหนึ่งก็คือความเป็นจริงที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้ ความคิดสองอย่างคอยขัดแย้งกันไปมาจนทำให้ฟาร์รีนารู้สึกทุกข์ทรมาน บางทีนี่อาจจะเป็นคำตัดสินอย่างหนึ่งซึ่งมันอาจจะทรมานมากกว่าการถูกลงโทษจริงๆ เสียอีก ถ้าไม่เป็นเพราะโจยังต้องการเธออยู่ เธอคงเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองไปนานแล้ว
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ฟาร์รีนาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่แบบนี้ไปได้นานเท่าไร เธอแอบรู้สึกว่าตั๋วสองใบที่คณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์ส่งมาให้เธอคงจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เธอหมดความอดทน เคแกน เฟสจะต้องรับคำสั่งของโรแลนด์ให้เขียนบทละครเรื่องนี้มาแน่ๆ ซึ่งจุดประสงค์ของเขาก็คือเปลี่ยนมุมมองที่คนทั้งโลกมีต่อศาสนจักร แล้วก็สร้างความแข็งแกร่งให้กับราชวงศ์วิมเบิลดัน
เธอพอจะจินตนาการออก นับจากนี้ไปศาสนจักรจะกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนพากันรังเกียจ ความพยายามสุดท้ายของท่านทัคเกอร์และเหล่ากองทังพิพากษาที่สละชีวิตไปบนกำแพงจะกลายเป็นแค่เรื่องตลก
ฟาร์รีน่าไม่อยากเห็นภาพเวลานั้นมาถึง แต่เธอก็ยังรับปากคำเชิญของโจ
ก็เหมือนกับที่เธอดูถูกพวกสมาชิกระดับสูงของศาสนจักรที่หนีไปพวกนั้น แต่เธอก็ยังรับการไหว้วานของพวกเขาในการรักษาระเบียบของเมืองเฮอร์มีสเอาไว้ในตอนที่เมืองกำลังล่มสลาย
นั่นก็เป็นเพราะว่าโจต้องการเธอเหมือนกัน
แต่ว่า…นี่คงจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่เธอจะตอบแทนเขาได้แล้ว
แสงไฟค่อยๆ มืดลง
ในตอนที่ความมืดเข้าปกคลุม หนังเวทมนตร์ก็เริ่มต้นขึ้น
….
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นที่ที่ราบสูงเฮอร์มีสเมื่อ 300 ปีก่อน ตอนนั้นเมืองศักดิ์สิทธิ์ยังเป็นแค่ที่รกร้างที่เต็มไปด้วยก้อนหินเท่านั้น ภาพที่ฉายอยู่บนหน้าจอบินผ่านหน้าผาที่สูงชัน หลังบินผ่านที่ราบลุ่มที่เต็มไปด้วยหิมะมาแล้ว รอยแตกขนาดใหญ่บนเทือกเขาสิ้นวิถีก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
ถึงแม้จะมีประสบการณ์ในการดูหนังเวทมนตร์มาแล้วหลายครั้ง แต่ในตอนที่ภาพที่เหมือนมองลงมาจากบนฟ้าปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้ง วิคเตอร์ก็ยังคงรู้สึกได้ถึงตกตะลึงที่กระเทือนไปถึงวิญญาณของเขา
ตรงรอยแตกขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า เขามองเห็นเหล่าสาวกจำนวนมากกำลังสร้างเมืองแห่งใหม่ของพวกเขาขึ้นมา เหมือนกับว่านี่เป็นโลกเมื่อ 300 ปีก่อนจริงๆ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ภาพบนจอภาพก็พุ่งลงไปที่พื้นดินอีกครั้ง ก่อนจะดำดิ่งลงไปในหลุมลึกขนาดใหญ่ เสียงพากษ์ที่ดังขึ้นมาทำให้วิคเตอร์ได้ยินชื่อ ‘หน่วยลับ’ ที่เป็นหน่วยงานที่ศูนย์กลางของศาสนจักรเป็นครั้งแรก เมื่อดูจากเสียงกระซิบกระซาบที่อยู่รอบๆ แล้ว ความรู้สึกของคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ต่างจากเขามากเท่าไร การที่เริ่มต้นด้วยการบอกว่านี่เป็นความลับที่ไม่มีใครรู้นั้นมันก็เป็นประเด็นที่น่าดึงดูดอย่างมากแล้ว บวกกับการที่บอกว่า ‘นี่เป็นประวัติศาสตร์ที่มีแต่ราชวงศ์เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์รู้’ นั่นก็ยิ่งเพิ่มความรู้สึกสนใจให้กับผู้ชมอย่างมาก ไม่นานความสนใจของวิคเตอร์ก็ถุูกเรื่องราวที่ว่านี้ดึงดูดเอาไว้จนหมด
ตำนานบอกว่าทุกๆ 400 ปี โลกจะเจอกับการทำลายล้างครั้งหนึ่ง พระจันทร์สีแดงดวงใหญ่จะลอยอยู่บนฟ้า ศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วนที่แห่ออกมาจากขุมนรกจะกลืนกินอาณาจักรของมนุษย์
เพื่อให้แผนการเดินหน้าต่อไป แม่มดจึงได้สร้างศาสนจักร แล้วก็เริ่มคัดเลือกและเลี้ยงดูคนที่มีความสามารถขึ้นมา ซึ่งตัวเอกของเรื่องราวนี้ก็คือแม่มดคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งพระสันตะปาปาองค์ต่อไปของศาสนจักร ส่วนตัวละครที่สำคัญอีกคนหนึ่งก็คือหัวหน้ากองทหารพิพากษาซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มครองพระสันตะปาปา
เรื่องราวนี้ก็เหมือนกับละครเวทีส่วนใหญ่ ทั้งสองคนได้อยู่ด้วยกันมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง ตั้งแต่ที่ดูถูกกันจนกระทั่งต่างฝ่ายต่างยอมรับกัน จากนั้นต่างฝ่ายต่างรักกันและกลายเป็นเหมือนเงาตามตัวที่ไม่เคยอยู่ห่างจากอีกฝ่าย ทั้งแม่มดและผู้คุ้มกันของเธอเคยสาบานกันเอาไว้ว่าหลังจากที่หาคนมาเป็นพระสันตะปาปาองค์ใหม่ได้แล้ว ทั้งสองคนจะเข้าพิธีเปลี่ยนร่างทหารอาญาสิทธิ์และกลายเป็นร่างเดียวกันที่ไม่แยกจากกันไปไหนอีกตลอดกาล
ความรักในช่วงนี้ถูกเคแกน เฟสบรรยายออกมาอย่างอ่อนโยน ไม่ว่าจะเป็นวิธีการแสดง หรือว่าคำพูดของนักแสดงก็ล้วนแต่เป็นการรวบรวมประสบการณ์หลายสิบปีของเขาเอาไว้ทั้งหมด บวกกับการแสดงอันยอดเยี่ยมของคณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์ ทำให้เหล่าผู้ชมต่างจมดิ่งอยู่ในบรรยากาศความรู้สึกที่ลึกซึ้งนี้ ทิงเกิลถึงขนาดร้องไห้ออกมาเพราะคำสัญญาของทั้งสองคน
แต่เรื่องราวความรักกลับหักมุมอย่างรวดเร็ว พ่อขององครักษ์พิพากษาถูกเย้ายวนจากกลิ่นหอมของอำนาจ เขาจึงวางแผนทำร้ายพระสันตะปาปาองค์ปัจจุบันแล้วขึ้นสวมมงกุฎเสียเอง แม่มดซึ่งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งพระสันตะปาปาย่อมต้องกลายเป็นหนามยอกอกของเขา เขาสั่งให้ลูกชายสังหารอีกฝ่ายซะ แต่กลับถูกลูกชายของเขาปฏิเสธ
การก่อกบฏครั้งนี้ถูกวางแผนมาเป็นเวลานานแล้ว ในตอนที่ผู้ก่อกบฏเปิดตัวออกมา ทุกอย่างมันก็สายเกินแก้ไปเสียแล้ว ในตอนที่หมดหนทาง ทั้งสองคนจึงเลือกที่จะหนีออกจากเฮอร์มีสและพยายามจะเอาข่าวนี้ไปแจ้งให้กับอาณาจักรที่อยู่ด้านล่างที่ราบสูงได้ทราบ แต่พ่อขององครักษ์พิพากษาก็ได้ทำลายความหวังสุดท้ายนี้ลง เขาส่งทหารของตนไปดักทั้งสองคนเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดจะปล่อยให้ทั้งสองคนรอดออกไป
จุดไคลแมกซ์สุดท้ายของเรื่องนั้นได้ไปถ่ายทำการแสดงที่สันเขาโคลด์วิน
กองทหารพิพากษาไล่ตามแม่มดกับผู้คุ้มครองของเธอมาอย่างรวดเร็ว ในสถานการณ์ที่จำนวนคนแตกต่างกัน จุดจบของทั้งสองคนเหมือนจะเป็นที่แน่นอนแล้ว
ในขณะที่วิคเตอร์รู้สึกเหมือนจะทนดูไม่ได้ เรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อพลันเกิดขึ้น
“ช่วยพวกเราด้วย ขอร้องล่ะ!” จู่ๆ ผู้คุ้มครองที่กำลังหอบหายใจพลันหันหน้ามาแล้วคว้าแขนของเขาเอาไว้ ความแข็งของถุงมือและความหนาวเย็นทะลุผ่านเสื้อผ้ามาถึงตัวของวิคเตอร์ พริบตานั้นเอง ความรู้สึกขนหัวลุกอย่างที่ยากจะบรรยายได้พลันแผ่ขึ้นมาจากปลายเท้าเขา ก่อนจะลามไปทั่วทั้งตัว!
เขาส่งเสียงร้องตกใจออกมา!
“อยู่นั่น จับพวกมันเอาไว้!”
“ใครขัดขืน ฆ่าให้หมด!” ทหารที่ไล่ตามมาตะโกนเสียงดัง พร้อมกับยกหน้าไม้ขึ้นมา
“ข้า ข้าไม่ใช่…” วิคเตอร์รู้สึกลำคอแหบแห้ง เขาพูดอยู่นานแต่ก็พูดไม่จบประโยคซักที ส่วนทหารพิพากษาที่อยู่ตรงหน้าก็เหนี่ยวไกยิงหน้าไม้ออกมา
ลูกดอกลูกหนึ่งพุ่งเฉียดหน้าของเขาไป!
ขณะเดียวกันวิคเตอร์ก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดเล็กน้อย
วิคเตอร์ยื่นมืออันสั่นเทาไปลูบหน้าตัวเอง ก่อนจะกางมือออกดู
บนมือของเขาเปื้อนสีแดงเป็นทาง
………………………………………………………