Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1198 แขกต่างแดน
อ่าวดีพพูล อาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสองเมืองท่าของอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท เขตท่าเรือของที่นี่จึงมักจะครึกครื้นอยู่เสมอ ทุกวันจะมีคาราวานพ่อค้าที่เดินทางมาจากในอาณาจักรจำนวนมากเอาสินค้ามาส่งขึ้นเรือไปขายยังอาณาจักรอื่น หรือไม่ก็เอาสินค้ามาแลกเป็นของที่ตัวเองต้องการ ด้วยเหตุนี้เขตท่าเรือจึงเหมือนเป็นตลาดขนาดใหญ่ ตั้งแต่ขนสัตว์ไปจนถึงทาส อะไรที่ควรมีก็มีทั้งหมด
ไวท์นั่งขี้เกียจอยู่บนรถม้าของตัวเอง ด้านหนึ่งก็ฟังเสียงบ่นของคนงานที่อยู่ข้างๆ รถ อีกด้านก็มองออกไปทางทะเล
หลังจากที่เฮอร์มีสทำศึกกับเกรย์คาสเซิล ภารกิจส่งเด็กกำพร้ากลับไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องหยุดลง เขาซึ่งขาดรายได้พิเศษไปใช้ชีวิตลำบากขึ้นมาทันที แต่สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือระเบียบต่างๆ ของอาณาจักรที่ถูกศาสนจักรทำลายลงกลับไม่ได้ฟื้นฟูขึ้นมาหลังจากที่สงครามจบลง ผู้ปกครองของแต่ละที่ยังคงทะเลาะกันไม่หยุด เขาซึ่งต้องอาศัยรถม้าในการเลี้ยงชีพแทบจะสูญเสียแหล่งรายได้ที่มั่นคงไป เขาจึงต้องมาหาโอกาสใหม่ที่อ่าวดีพพูล
ถึงแม้ความคึกคักของที่นี่จะได้รับผลกระทบจากการทะเลาะกันของพวกขุนนาง แต่โชคดีที่พวกขุนนางยังคงต้องการหาความสุขอยู่ บวกกับเส้นทางบนเขาเคจเมาเธ่นนั้นถูกตระกูลโทคเคนควบคุมเอาไว้ ของใช้หรูหราที่พวกผู้ปกครองต้องการจึงต้องขนมาทางเรือ ทำให้เมืองแห่งนี้ยังคงคึกคักเหมือนก่อนที่จะเกิดสงครามอยู่
แต่แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมันก็เป็นเพราะว่าบารอนของอ่าวดีพพูลนั้นรักษาความเป็นกลางเอาไว้อยู่
ที่ไวท์เลือกมาที่นี่ก็เพราะเรื่องความมั่นคงด้วย
เขาอายุมากแล้ว ไม่อยากจะวิ่งไปทั่วทุกที่อีก
เขาขนของอีกสักสามสี่ครั้งก็สามารถซื้อบ้านที่อยู่นอกเมืองได้ซักหลังแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นก็ค่อยทำการค้าเล็กๆ เขาก็น่าจะใช้ชีวิตไปได้เรื่อยๆ
“ลุง วันนี้ไม่มีงานเหรอ?” จู่ๆ พลันมีคนงานหนุ่มคนหนึ่งปีนขึ้นมาบนรถเขาพร้อมพูดยิ้มๆ
“ไปๆๆๆ ข้าจะมีงานหรือไม่มีมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า” ไวท์โบกมือไล่เหมือนไล่แมลงวัน “อย่าขึ้นมาเล่นบนรถข้าตามใจชอบ ถ้าล้อรถข้าพังเจ้าจะรับผิดชอบไม่ไหว”
“อย่าพูดแบบนี้สิ เทียบกับสินค้าแล้ว ตัวข้าจะหนักเท่าไรกันเชียว ดูตรงนี้ก็รู้แล้ว” อีกฝ่ายตบท้องตัวเองก่อนจะนอนลงไปบนรถ จากนั้นหยิบเอาเศษฟางรองพื้นเส้นหนึ่งขึ้นมาคาบไว้ที่ปากแล้วมองไปรอบๆ “ครั้งที่แล้วท่านขนอะไร? ทำไมในนี้ถึงมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวๆ?”
“ถ้าเจ้ายังไม่ลงไป ข้าจะอัดเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ” ไวท์พูดอย่างหงุดหงิด เจ้าเด็กหนุ่มนี่ไม่มีชื่อ คนงานคนอื่นๆ เรียกเขาว่าเจ้าฉลาด ไวท์เองก็ไม่รู้ว่าเขาฉลาดตรงไหน ทั้งสองคนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน เพียงแค่ทำงานอยู่ที่ท่าเรือเดียวกันและเคยเห็นหน้ากันบ้างเท่านั้น
“ด้วยขาปลอมที่ปวดขึ้นมาเวลาฝนตกข้างนั้นน่ะเหรอ?” อีกฝ่ายพูดอย่างไม่ใส่ใจ “วันนี้เหมือนฝนจะตกอีกแล้วด้วยสิ ตอนนี้กระดูกท่านเริ่มจะปวดขึ้นมาแล้วใช่เปล่า?”
ไวท์เกือบสำลัก ไม่รู้เจ้าบ้านี่รู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไร…
“เฮ้ๆ อย่ามองข้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อสิ ข้ามาช่วยท่านทำงานนะ” เจ้าฉลาดพูดพร้อมผายมือ “บนเรือมีของให้ขนตั้งเยอะตั้งแยะ ท่านอายุเยอะแล้ว ไปเบียดสู้เขาก็ไม่ไหว ของที่ขนได้ก็ย่อมน้อย”
“เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
“ง่ายมาก พวกพี่น้องข้าสามารถช่วยท่านแย่งที่ดีๆ ได้ ดีกว่าท่านไปแย่งที่คนเดียวตั้งเยอะ ว่าไง สนใจหรือเปล่า?”
“เหอะ พวกเจ้าไม่มีทางทำฟรีๆ แน่” ไวท์จุ๊ปากขึ้นมา
“10% ของค่าขนสินค้า ยุติธรรมดีใช่ไหมล่ะ” เจ้าฉลาดพูดยิ้มๆ
เขานิ่งเงียบไปทันที ในเวลานี้ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ่มแล้ว ลมทะเลพัดเข้ามาจนเสื้อผ้าสะบัดดังพึบพับๆ เห็นได้ชัดว่าฝนกำลังจะตกหนัก ถ้าในเวลานี้มีเรือมาเทียบท่า เกรงว่าเขาคงยากที่จะแย่งสินค้ากับคนอื่นๆ ได้ ขาปลอมข้างนั้นเป็นทั้งอุปสรรคของตัวเขาเอง แล้วก็เป็นเหตุผลให้นายจ้างไม่จ้างเขาด้วย
เมื่อเห็นเขาไม่ตอบ เจ้าฉลาดจึงดีดนิ้วขึ้นมา “ในเมื่อไม่ปฏิเสธ อย่างนั้นก็ถือว่าท่านตกลง”
“เจ้าไม่ได้….ช่วยแค่ข้าคนเดียวใช่ไหม?” ผ่านไปครู่หนึ่ง ไวท์จึงถลึงตาใส่เขา
“แค่กๆ ก็ถ้าทุกคนต่อแถวกัน พวกเราก็ไม่ต้องยุ่งยากใช่ไหมล่ะ?” เจ้าฉลาดแสร้งทำเป็นตอบเลี่ยงๆ “ข้าว่านะลุง ท่านเปลี่ยนจากใช้ฟางมาใช้พรมดีกว่าไหม? สินค้าที่มีค่ามากที่สุดของอ่าวดีลพูลนอกจากเครื่องดื่มยุ่งเหยิงจากทางฟยอร์ดก็คือน้ำหอม ถึงแม้จะขายให้กับขุนนางที่ส่วนใหญ่จะเตรียมรถม้ามาเอง แต่บางครั้งมันก็มีเรื่องให้พวกเขาต้องการรถม้าเพิ่มเหมือนกัน แต่ในรถท่านเหม็นแบบนี้ ต่อให้ข้าช่วยท่านแย่งที่ได้ แต่นายจ้างก็อาจจะไม่เห็นด้วยนะ..”
ไวท์กวาดตามองดูเจ้าหนุ่มนี้พร้อมกับเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมคนอื่นถึงเรียกเขาว่าเจ้าฉลาด แต่เขาที่อายุปูนนี้แล้วก็ไม่ได้โง่เหมือนกัน “เออใช่ ก่อนหน้านี้เจ้าถามข้าใช่ไหมว่าข้าเอารถไปขนอะไรมา?”
“อื้อ?”
“ข้าไปขนขี้วัวมา ขี้วัวที่เอาไปใช้จุดไฟแบบนั้นน่ะ” เขาค่อยๆ พูด “ถึงแม้จะตากแห้งมาแล้ว แต่พอโดนความชื้นมันก็ยังมีกลิ่นเหลืออยู่นิดหน่อย”
เจ้าฉลาดหน้าเปลี่ยนสีทันที ก่อนจะเบือนหน้าไปบ้วนเศษฟางทิ้งแล้วลุกขึ้นมาไอ
เหอะ ก็แค่เด็กเมื่อวานซืนนั่นแหละ ไวท์ส่งเสียงเหอะออกมาทางจมูก ก่อนจะมองออกไปทางทะเลอีกครั้ง แต่หลังจากนั้นเขาก็ต้องตกตะลึงไปทันที
เรือใบสามเสาจำนวน 3 ลำปรากฏขึ้นตรงปลายสุดของสายตา มันกำลังเคลื่อนที่เข้ามายังอ่าวดีพพูลอย่างช้าๆ แต่ละลำล้วนแต่เป็นเรือขนาดใหญ่ระดับเรือสำเภาของสมาคมหอการค้าของฟยอร์ด เสากระโดงของมันสูงเกือบ 30 เมตร ตรงปลายเสามีธงพื้นทองขอบดำ และนั่นก็ไม่ใช่ตราสัญลักษณ์สมาคมหอการค้าที่เขาคุ้นเคย
แต่จะไปสนใจทำไมล่ะ ขอแค่มีเรือก็มีการค้า จะขนของให้ใครมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเรือมาเทียบท่าทีละ 3 ลำ ต่อให้ไม่มีเจ้าเด็กพวกนี้คอยช่วย เขาก็น่าจะหาสินค้ามาขนได้
ในขณะที่ไวท์กำลังเตรียมจะขับรถม้าไปยังพื้นที่ขนสินค้า เจ้าฉลาดพลันดึงชายเสื้อของเขาเอาไว้
“เฮ้ๆ …เหมือนจะมีอะไรแปลกๆ นะ”
จะมีอะไรแปลกๆ อีก ไวท์หันหน้าไปอย่างหงุดหงิด แต่เขาก็ต้องตกตะลึงไปทันที
ด้านหลังเรือใบสามลำนั้นยังมีเรือใบอีกจำนวนมากค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา ใบเรือที่กางอยู่เชื่อมต่อกันเป็นแบบ กลายเป็นเหมือน ‘กำแพงสีขาว’ อยู่บนท้องทะเล
“พระเจ้า…”
ในตอนที่เรือสีเทาดำฝูงหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตาจนแทบจะปกคลุมไปทั่วทั้งน่านน้ำ ตอนแรกไวท์พยายามจะนับจำนวนเรือดูว่ามีอยู่เท่าไร แต่หลังจากนับไปได้ประมาณ 50 ลำ เขาก็พบว่าสายตาของตัวเองตามความเร็วในการปรากฏขึ้นมาของเรือไม่ทัน 100? 200…ไม่ เกรงว่ามันจะมีเยอะกว่านั้น!
ในนั้นมีเรือใบสามเสาอยู่หลายลำ แต่ที่มีเยอะกว่านั้นก็คือเรือกลไฟที่พ่นควันสีขาวออกมา สำหรับเรือรูปแบบใหม่ที่ไม่มีใบเรือชนิดนี้ เขาเคยเห็นมาแล้วสองสามครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นมันปรากฏขึ้นมาเยอะขนาดนี้ เรียกได้ว่าเกินกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มาก เขาสาบานว่าต่อให้เป็นลูกเรือที่อาศัยอยู่ในท่าเรือแห่งนี้ก็ยังไม่เคยเห็นกองเรือที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน!
คนอื่นๆ ในท่าเรือเองก็สังเกตเห็นภาพที่น่าเหลือเชื่อนี้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า กะลาสีหรือว่าแรงงานก็ล้วนแต่วางงานที่ตัวเองทำอยู่ พร้อมกับกลั้นหายใจมองดูกองเรือที่กำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้ามา
ท่าเรือที่เดิมเต็มไปด้วยเสียงวุ่นวายพลันเงียบลงทันที
เมื่อเรือใกล้เข้ามา ธงที่พัดไสวก็ยิงมองเห็นได้ชัดมากยิ่งขึ้น บนพื้นหลังสีทอง ไวท์เหมือนจะมองเห็นสัญลักษณ์หอคอยสูงกับหอกยาว และเรือทุกลำก็แขวนธงแบบเดียวกันอยู่ ในตอนธงสัญลักษณ์หลายร้อยผืนโบกสะบัดไปตามลมและกลายเป็นเส้นขอบฟ้าเส้นใหม่ ไม่ว่าใครต่างก็สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของมัน
เจ้าฉลาดสูดปากด้วยความตกใจ
“หรือว่านั่นคือ…ธงของเกรย์คาสเซิล?”
ไวท์พูมงึมงำขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าหมายความว่า…ราชาแห่งเกรย์คาสเซิล มาที่นี่เหรอ?”
เนื่องจากอ่าวดีพพูลไม่มีที่ให้จอดเรือใหญ่จำนวนมากขนาดนี้ ด้วยเหตุนี้เรือจำนวนมากจึงได้แต่ต้องลดใบเรือและรออยู่ด้านนอกอ่าว ส่วนเรือจักรไอน้ำจำนวน 10 ลำนั้นตรงเข้ามายังท่าเรือ
ในขณะที่พวกมันจอดเทียบท่า ชายที่ใส่ชุดเครื่องแบบเหมือนกันกลุ่มหนึ่งแห่กันออกมาจากเรือ ก่อนจะมายืนเรียงแถวอยู่บนสะพานอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นจึงค่อยๆ เดินลงมาที่ท่าเรือ คนเหล่านี้สีหน้าไร้ความรู้สึก สายตาของพวกเขาทำให้คนรู้สึกเยือกเย็นไปถึงสันหลัง เหมือนนักรบที่ผ่านศึกมาอย่างโชกโชน แต่กลับไม่ได้มีท่าทียโสโอหังเลยแม้แต่น้อย
ไวท์กลืนน้ำลาย ถึงแม้เขาจะไม่เคยเห็นกองทัพแบบนี้มาก่อน แต่ภายในใจเขากลับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นเขายังรู้ด้วยว่าไม่ใช่แค่ตัวเองเท่านั้นที่รู้สึกแบบนี้ คนนอกเหล่านี้ยึดสะพานเทียบท่าทุกแห่งไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่มีกล้าต่อว่าเลยซักคน
ไวท์รู้ว่ากองเรือเหล่านี้ไม่ได้มาทำการค้าอย่างแน่นอน
บรรยากาศตรงหน้าเรือเหมือนจับตัวแข็งขึ้นมา
ชั้นเมฆบนท้องฟ้าก็เคลื่อนตัวต่ำลงเรื่อยๆ
…………………………………………………………………..