Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1165 ใจกลางพายุ
การปะทะกันของทั้งสองคนทำให้พื้นที่ตรงนั้นเดือดพล่านขึ้นมา
เมื่อเสียงดาบปะทะกันดังขึ้นมา สายฟ้าหลายสายก็ฟาดลงมาจากบนฟ้าจนต้นไม้ที่อยู่รอบๆ แหลกละเอียด แต่แสงสีดำที่ปกคลุมอยู่ด้านนอกร่างกายของผู้พิฆาตเวทมนตร์เป็นเหมือนเกราะที่ช่วยลดความรุนแรงจากการโจมตีของสายฟ้าสีทอง กระแสพลังเวทมนตร์อันรุนแรงทำให้ท้องฟ้ามีฝนเทลงมา ทั้งสองคนเหมือนยืนอยู่ใจกลางพายุ
ไม่ว่าจะเป็นแอชเชสหรือว่าอุรูค การเคลื่อนไหวของทั้งคู่ล้วนแต่ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองไปแล้ว คนธรรมดาแทบจะมองตามการเคลื่อนไหวของทั้งคู่ไม่ทัน แต่สำหรับทั้งสองคนแล้วเหมือนนี่เป็นเรื่องปกติ ทุกๆ การเคลื่อนไหวของทั้งคู่จะทำให้เกิดเป็นเส้นทางที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนท่ามกลางสายฝน ในตอนที่ทั้งคู่ปะทะกันจะทำให้เกิดคลื่นอากาศที่ระเบิดสายฝนจนกระจายออกมา เสียงปะทะดังขึ้นมาคล้ายเสียงฟ้าร้อง เหมือนว่านั่นไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับปีศาจเลย หากแต่เป็นคนยักษ์สองคนกำลังสู้กันมากกว่า
“แฮ่ก…แฮ่ก…” แอชเชสรู้สึกว่าเธอไม่อาจควบคุมพลังเวทมนตร์ในร่างกายได้อีกแล้ว พวกมันค่อยๆ กลืนกินเลือดเนื้อของเธอทีละน้อย ทำให้ร่างกายของเธอเสียหายอย่างหนัก หลังก้าวผ่านจุดที่เจ็บปวดที่สุดไป ความเจ็บปวดที่เกิดจากการกลืนกินกลับกลายเป็นความรู้สึกด้านชาเข้ามาแทนที่
แต่ว่านี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย การสูญเสียความเจ็บปวดไปหมายความว่าสติของเธอเริ่มเลื่อนลอย แล้วก็ทำให้ความสามารถในการควบคุมตัวเองของเธอลดน้อยลงอย่างมากด้วย
ความจริงแล้วเธอไม่มีแรงเหลือพอที่จะดึงสายฟ้าให้ลงมาโจมตีได้อย่างแม่นยำอีกแล้ว เธอได้แต่ต้องปล่อยให้พลังเวทมนตร์อันบ้าคลั่งไหลทะลักออกไปโดยไม่อาจควบคุมได้ การเผาผลาญพลังเวทมนตร์แบบนี้ยิ่งทำให้ร่างกายต้องแบกรับภาระหนักขึ้นจนเธอใกล้จะทนไม่ไหว
“อย่างนี้นี่เอง นี่คือผลจากการที่หลอมรวมกับเข้าแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์โดยตรงงั้นเหรอ?” ผู้พิฆาตเวทมนตร์ดูเหมือนจะเหนื่อยล้าอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน หลังมันหลบการโจมตีของแอชเชสได้แล้ว มันก็เช็ดน้ำเลือดบนใบหน้าของตัวเอง “ถึงแม้เจ้าจะได้รับพลังที่เหนือมนุษย์มา แต่เจ้ากลับกำลังถูกพลังนั้นกลืนกินอยู่ ข้าอยากจะรู้จริงๆ ว่าถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เจ้าจะกลายสภาพเป็นแบบไหน? ถูกพลังเวทมนตร์เผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน หรือว่าสูญเสียความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดไปจนกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่อาจเรียกว่ามนุษย์ได้?”
“ไม่ว่าข้าจะกลายเป็นอะไร นั่นมันก็เป็นเรื่องหลังจากที่ข้ากำจัดเจ้าได้แล้ว” แอชเชสสลัดน้ำฝนที่อยู่บนดาบทิ้งพร้อมกับพูดเสียงเข้ม
“อะไรที่ทำให้เจ้าคิดว่าทำแบบนั้นได้? ความเชื่อกับความมุ่งมั่นเหรอ?” อูรูคยิ้มเยาะ “ช่างเป็นคำพูดที่พวกมนุษย์ชอบพูดกันเสียจริงๆ …แต่เสียดายที่ช่วงเวลาอันยาวนานได้พิสูจน์ให้ข้าได้เห็นแล้วว่าคำพูดเช่นนี้มันเป็นสิ่งไร้ค่า”
แอชเชสไม่ได้ตอบอะไร หากแต่ยกดาบพุ่งเข้าไปหามัน
หลังผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดมาชั่วระยะเวลาสั้นๆ เธอก็เริ่มจะเข้าในเรื่องความสามารถของเธอกับมันแล้ว หากสู้กันแบบนี้ต่อไป โอกาสที่เธอจะเอาชนะก็มีแต่จะริบหรี่ลงเรื่อยๆ น่าจะเป็นเพราะเริ่มคุ้นชินกับแขนใหม่แล้ว การเคลื่อนไหวของผู้พิฆาตเวทมนตร์จึงยิ่งมีความลื่นไหลมากขึ้น ทั้งพลังและเทคนิคต่างก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เท่านี้ มันเหมือนจะเคยชินกับจังหวะการต่อสู้ของเธอด้วย ตอนนี้การโจมตีตามปกติของเธอยากที่จะสร้างบาดแผลให้กับมันได้อีก การพัฒนาที่เหมือนไม่มีที่สิ้นสุดนี้ทำให้เธอแอบรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย และนี่ก็ทำให้เธอได้รู้ว่าคนที่เป็นอัจฉริยะจริงๆ นั้นสามารถก้าวไปได้สูงแค่ไหน
ความหวังเดียวที่เธอจะฆ่าอีกฝ่ายได้ก็คือต้องรวบรวมพลังแห่งโชคชะตาให้ได้มากพอ แอชเชสไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองที่ไม่มีรูนแห่งโชคชะตา แต่กลับสามารถเรียกสายฟ้ามาได้ เธอรู้เพียงแต่ว่าพลังเวทมนตร์มันตอบสนองต่อเสียงเรียกของเธอ แล้วก็แปรสภาพกลายเป็นสายฟ้าสีทองตามที่ใจเธอต้องการ
แต่ถึงแม้สายฟ้าที่พุ่งลงมาจากโจมตีโดนเป้าหมาย แต่แสงสีดำที่อยู่บนตัวผู้พิฆาตเวทมนตร์ก็จะสลายพลังมันไปกว่าครึ่ง พลังที่เหลือก็ทำได้แค่เพิ่มบาดแผลให้มันไม่กี่แห่งเท่านั้น ถึงแม้การโจมตีหลายๆ ครั้งจะพอทำให้มันบาดเจ็บหนักได้ แต่เสียดายที่เธอทนจนถึงตอนนั้นไม่ไหว
ปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือการรวบรวมพลังแห่งโชคชะตานั้นต้องใช้เวลา ผู้พิฆาตเวทมนตร์ไม่มีทางที่จะปล่อยให้เธอทำสำเร็จแน่
เธอจำเป็นต้องสร้างโอกาส โอกาสที่ทำให้เธอรวบรวมพลังได้มากพอ
หลังจากนี้ต้องทำอย่างไรมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
แอชเชสบุกเข้าไปหาอุรูค หลังจากที่ผลัดกันรุกผลักกันรับ เธอก็จงใจเปิดเผยช่องว่างด้วยการทำเป็นฟันไม่โดน อีกฝ่ายย่อมไม่มีทางปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือ มันใช้นิ้วมือทั้งหาแทงเข้าในอกของเธอ เธอหลบเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ถูกจุดสำคัญ ก่อนจะพุ่งเข้าไปชนกับผู้พิฆาตเวทมนตร์
กรงเล็บของมันแทงทะลุเข้าไปในหน้าอกข้างขวาของเธอจนจมไปถึงข้อศอกถึงได้หยุดลง
อุรูคหน้าเปลี่ยนสีทันที
แอชเชสสำลักเลือดออกมาคำหนึ่งพร้อมกับใช้สองมือล็อคอีกฝ่ายเอาไว้ จากนั้นจึงพูดเสียงเบาๆ ว่า “เสร็จข้าล่ะ”
ขณะเดียวกัน ก้อนเมฆที่อยู่บนหัวก็เริ่มหมุนขึ้นมา แค่พริบตาก็กลายเป็นเหมือนน้ำวนขนาดยักษ์!
…..
“เจ้าว่าอะไรนะ? แอชเชส…กลายเป็นสุดยอดอมนุษย์อย่างนั้นเหรอ?” เสียงตกใจของอกาธาดังออกมาจากรูนสดับ
หลังหนีมาทางตะวันตกได้หลายกิโลเมตร ในที่สุดไลต์นิ่งก็ติดต่อกองบัญชาการได้ หลังจากที่รายงานสถานการณ์ของแต่ละคนที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนให้อกาธาทราบ และรู้ว่าทางนั้นได้ส่งกองทัพที่หนึ่งออกมารับตัวแล้ว เธอถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้น อีกทั้งเธอยังเล่าเรื่องที่ถูกผู้พิฆาตเวทมนตร์ซุ่มโจมตีให้อีกฝ่ายได้ฟังแบบคร่าวๆ ด้วย
“นอกจากสุดยอดอมนุษย์แล้ว ข้าก็คิดไม่ออกเลยว่าจะมีใครที่ทำแบบนั้นได้” ไลต์นิ่งค่อยๆ บินขึ้นไปบนฟ้า พร้อมกับมองไปทางป่าที่อยู่ด้านหลัง ตรงนั้นมีเสียงคำรามและงูสีเหลืองทองเลื้อยลงมาจากบนฟ้าอยู่ตลอดเวลา ต่อให้เป็นรูนแห่งโชคชะตาก็ไม่มีทางที่จะใช้พลังได้นานขนาดนี้ได้
“การยกระดับระหว่างการต่อสู้กันคือความพิเศษเฉพาะตัวของแม่มดอมนุษย์ ถ้าเธอสามารถก้าวข้ามมันไปได้จริงๆ แค่ผู้พิฆาตเวทมนตร์ตัวเดียวนั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับเธอหรอก การที่ให้พวกเจ้าหนีออกมาก่อนนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว ยังไงซะ…ทุกคนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
สีหน้าของไลต์นิ่งดูเศร้าสร้อยไปทันที สมาชิกในทีมซุ่มโจมตีไม่ได้ว่าจะรอดกลับมาทุกคน เพียงแต่เธอไม่ได้บอกเรื่องนี้กับอีกฝ่าย หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เธอจึงเปลี่ยนประเด็นว่า “แล้วปีศาจล่ะ? พวกมันยกระดับระหว่างที่ต่อสู้ได้ไหม?”
ไม่รู้ว่าทำไม ไลต์นิ่งรู้สึกว่าความกลัวต่อผู้พิฆาตเวทมนตร์ก่อนที่เธอจะหนีออกมานั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวใจของเธอ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่จางหายไป ท่าทางของอุรูคที่ยืนอยู่เฉยๆ กับที่ แล้วก็แสงสีดำที่ขยับไปมาอยู่ตรงบาดแผลของมันทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความอันตราย
“สมาพันธ์ไม่มีบันทึกเรื่องนี้อยู่ ยิ่งไปกว่านั้นจากภาพที่ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงเห็นในเศษเสี้ยวความทรงจำ พวกมันต้องใช้วิธีหลอมรวมเข้ากับหินเวทมนตร์ให้สำเร็จถึงจะสามารถเพิ่มพลังให้กับตัวเองได้” อกาธาตอบ “แต่ว่าการต่อสู้นั้นอาจจะเป็นประโยชน์ต่อการยกระดับของพวกมันได้ ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ การหลอมรวมกับหินเวทมนตร์ของพวกมันนั้นคล้ายๆ กับที่แม่มดต้องผ่านวันบรรลุนิติภาวะ ซึ่งจะผ่านมันไปได้หรือไม่นั้นมันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการแบกรับพลังเวทมนตร์ของร่างหาย สิ่งที่เรียกว่าการหลอมรวมล้มเหลว บางทีก็อาจจะเหมือนกับการกลืนกินของพลังเวทมนตร์ที่เหล่าแม่มดต้องเจอ เออใช่ แล้วเจ้าถามเรื่องนี้ทำไม?”
“เปล่า ไม่มีอะไร…” ไลต์นิ่งกัดริมฝีปาก “ข้าแค่รู้สึกกังวลนิดหน่อยเท่านั้น…”
ถ้าหากผู้พิฆาตเวทมนตร์จะพกหินเวทมนตร์คุณภาพสูงติดตัวไว้มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าจะมีคนที่สามารถยกระดับได้ในระหว่างที่ต่อสู้อย่างดุเดือดจริงๆ เหรอ? ตอนที่แม่มดผ่านวันบรรลุนิติภาวะ แทบจะทุกคนต้องนอนอยู่บนเตียงและรวบรวมสมาธิเพื่อรอรับช่วงเวลานั้น
“วางใจได้ สุดยอดอมนุษย์ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพลังในการต่อสู้ ถ้าผู้พิฆาตเวทมนตร์ไม่มีวิธีที่จะจัดการแอชเชสได้ ข้าเชื่อว่าไม่นานก็คงจะตัดสินแพ้ชนะได้แล้วล่ะ” อกาธาพูดปลอบ
“อื้อ ข้าก็…คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
เธอพยักหน้า ในขณะที่เธอกำลังคิดจะลดระดับความสูงกลับไปหาเมซี่ จู่ๆ อีกด้านหนึ่งพลันมีเสียงระเบิดดังต่อเนื่องขึ้นมา ไลต์นิ่งหันหน้าไป ก่อนจะรู้สึกตกตะลึงไปทันที
เธอเห็นก้อนเมฆบนท้องฟ้ากำลังไหลไปรวมตัวตรงที่ๆ เธอหนีออกมาเหมือนกับน้ำทะเล แล้วก็ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ เหมือนหอคอยเมฆสีเทา มันค่อยๆ หมุนวนคล้ายเป็นอุโมงค์ที่เชื่อมระหว่างท้องฟ้าและพื้นดิน ภาพเหตุการณ์แบบนี้เธอเคยมาก่อนเมื่อครั้งที่เธออยู่บนทะเล ในขณะที่พายุกำลังมา ตรงขอบฟ้าจะมีน้ำวนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา ถ้าไม่รีบหาทางหนีออกไปหรือว่าเข้าไปอยู่ตรงใจกลางของน้ำวนล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นเรือลำไหนก็ต้องถูกคลื่นยักษ์ที่โถมเข้ามาฉีกเป็นชิ้นๆ
แต่ที่นี่คือ…พื้นดิน
“เกิดอะไรขึ้น…เหรอ?” เสียงในรูนสดับเหมือนถูกรบกวน “เมื่อกี้มัน…เสียงอะไรเหรอ?”
ไลต์นิ่งจิกเล็บเข้าไปในฝ่ามือโดยไม่รู้ตัว “ข้าไม่รู้ อีกนานไหมกว่ากำลังเสริมขององค์หญิงทิลลีจะมาถึง?”
“แม่มดอาญาสิทธิ์กำลังขนอาวุธขึ้นไปบนซีกัลป์ น่าจะอีกประมาณ 10 – 15 นาที”
15 นาทีเหรอ…“ข้าเข้าใจแล้ว” เธอนิ่งเงียบไปครู่ก่อนจะจบการสนทนาไป
หลังบินกลับมาหาเมซี่ ไลต์นิ่งก็ค้นในตัวของผู้บาดเจ็บ
“เสียงฟ้าผ่าเมื่อกี้นี้ดังถี่จังเลยจิ๊บ แอชเชสนางจะไม่เป็นไรใช่ไหม…” เมซี่วิ่งไปพลางถามไปพลาง
“ไม่เป็นอะไรหรอก นางเป็นสุดยอดอมนุษย์ เจ้าแค่พาทุกคนไปส่งยังจุดรับตัวให้ได้อย่างปลอดภัยก็พอ ไม่ลืมใช่ไหมว่าอยู่ตรงไหน?”
“แน่นอนจิ๊บ แต่อ้อมซากเมืองทาคิลาไป แล้วก็เลี้ยวไปทางตะวันออกเฉียงใต้…เดี๋ยวๆ ทำไมถึงเป็น ‘เจ้า’ แต่ไม่ใช่ ‘พวกเรา’ ล่ะจิ๊บ!”
แต่เมซี่รออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา
…………………………………………………………