Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1138 แผนสกัดกั้น
เมืองเนเวอร์วินเทอร์ เกรย์คาสเซิล
โรแลนด์ต้อนรับขวานเหล็กและเอดิธส์ เคนท์ที่กลับมาตามคำสั่งเรียกตัว
“ได้นั่งซีกัลครั้งแรก รู้สึกยังไงบ้าง?” เขามองลูกน้องทั้งสองคนอย่างสนใจ
“ทะ ทูลฝ่าบาท ถึงแม้มันจะบินได้เร็ว แต่สำหรับกระหม่อม….มันค่อนข้างหวาดเสียวไปหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” บนใบหน้าขวานเหล็กเผยให้เห็นสีหน้าที่ดูซีดเซียวอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็น “ก่อนหน้านี้ตอนที่ดูมันเฉยๆ กระหม่อมยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอได้ไปนั่งถึงได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาอย่างมาก โดยเฉพาะในตอนที่บินขึ้นบินลง กระหม่อมรู้สึกเหมือนใต้ก้นหม่อมฉันว่างเปล่า ภายในใจก็โหวงๆ พ่ะย่ะค่ะ” พอพูดเสร็จเขาก็ยืดตัวตรงขึ้นมาทำวันทยาหัตถ์ พร้อมกับกัดฟันพูดเสียงดังว่า “แต่กระหม่อมจะพยายามเอาชนะมันให้ได้ ขอพระองค์อย่าทรงเป็นกังวลพ่ะย่ะค่ะ!”
ที่แท้…นักรบชาวโมเกนที่ผ่านศึกมาเป็นร้อยแอบกลัวความสูงเหมือนกันเหรอเนี่ย? โรแลนด์เลิกคิ้วขึ้นมา “เจ้าคิดจะเอาชนะมันยังไง?”
“พอทำศึกเสร็จสิ้น หากมีเวลากระหม่อมจะไปดูหนังเวทมนตร์จนกว่าจะปรับตัวได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ช่างเป็นสไตล์ของชาวทะเลทรายจริงๆ มุมปากโรแลนด์กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปทางเอดิธส์ “แล้วเจ้าล่ะ?”
ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือเลียริมฝีปาก หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงพูดออกมาว่า “สุดยอดมากเพคะ”
แล้ว….แค่นี้เหรอ?
โรแลนด์รออยู่ครู่หนึ่งก็ไม่มีคำตอบอะไรกลับมา เขามองดูอีกฝ่ายอย่างสงสัย แต่กลับพบว่าแก้มของเธอแดงขึ้นมาเล็กน้อย ในดวงตาก็ส่องเป็นประกายอย่างที่ยากจะบรรยายได้
ช่างมัน เขาถอนหายใจ ยังไงซะลูกน้องของตัวเองก็มีบางเรื่องที่ไม่ค่อยจะเหมือนคนปกติอยู่แล้ว เดิมเขานึกว่าจะได้เห็นสีหน้าที่ตกตะลึงของทั้งสองคน จากนั้นก็จะพูดชมเขาที่สร้างของที่ไม่ธรรมดาแบบนี้ขึ้นมา แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะคิดมากไป
“ในเมื่อทั้งสองคนมาแล้ว อย่างนั้นเราไปที่ห้องประชุมกับเถอะ” โรแลนด์ลุกขึ้นยืน “ถึงเวลาเตรียมตัวครั้งสุดท้ายสำหรับศึกนี้แล้ว”
….
หลังผ่านการก่อสร้างมาเกือบ 6 เดือน ตอนนี้รางรถไฟสายแรกบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ก็อยู่ห่างจากซากเมืองทาคิลาไม่ถึง 60 กิโลเมตรแล้ว เอาไว้เมื่อสถานีหมายเลขสิบสร้างเสร็จเรียบร้อย กองทัพที่หนึ่งก็จะเปิดจากโจมตีใส่ศัตรูที่ปักหลักอยู่ที่เมืองทาคิลาได้ แรงงานและทรัพยากรที่ทุ่มเข้าไปในปฏิบัติการคบเพลิงครั้งนี้มีจำนวนมากกว่าปฏิบัติการทางทหารในช่วงระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา เหล็กกล้ามากกว่า 80% ที่เขตเตาหลอมผลิตออกมาได้ถูกเอาไปทำเป็นรางรถไฟ เป้าหมายของมันมีเพียงอย่างเดียว นั่นคือทำลายความเป็นไปได้ที่ปีศาจจะตั้งเสาโอเบลิสขึ้นมาได้ก่อนที่พระจันทร์สีแดงจะมาถึง
ทันทีที่ที่ราบลุ่มบริบูรณ์ถูกหมอกแดงปกคลุม นั่นก็หมายความว่าปีศาจสามารถข้ามเทือกเขาสิ้นวิธีเข้ามาบุกโจมตีพื้นที่ด้านในได้ทุกเมื่อ พวกมันไม่เพียงแต่จะขยายแนวรบได้ แต่กองทัพที่หนึ่งจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องระยะทางด้วย
แต่ในทางกลับกัน ถ้ามนุษย์สามารถชิงเปิดฉากโจมตีใส่ทาคิลาก่อน ปีศาจก็จะทำได้เพียงแค่เลือกใช้สายแร่หินอาญาสิทธิ์จากเมืองศักดิ์สิทธิ์อีกสองเมืองมาตั้งเสาโอเบลิส ซึ่งที่ตั้งของเมืองสตาร์ฟอลและเมืองอาร์เรียตาต่างก็อยู่ค่อนไปทางเหนือของที่ราบ ถึงแม้พวกมันจะไปตั้งฐานกันที่นั่น แต่มันก็ยากที่จะบุกเข้ามาโจมตีสี่อาณาจักรใหญ่แบบตรงๆ ได้ เมื่อเป็นแบบนี้ เขาไม่เพียงแต่จะมีโอกาสเอาชนะสงครามแห่งโชคชะตา แต่อย่างน้อยเขาก็ยังช่วยซื้อเวลาให้มนุษย์ได้อีก 400 ปีด้วย
และในเวลา 400 ปี เกรย์คาสเซิลที่ก้าวเข้าสู่ยุคสมัยอุตสาหกรรมจะพัฒนาไปถึงระดับไหน มนุษย์ที่ไม่มีความขาดแคลนในเรื่องอาหารจะเพิ่มจำนวนขึ้นไปกี่เท่าในเวลา 400 ปี คำตอบที่ออกมาก็คงจะรู้ๆ กันอยู่ ด้วยเหตุนี้ที่ราบที่ขยายกว้างออกไปจะเป็นทั้งแนวป้องกันในการรบ แล้วก็เป็นที่ดินที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการพัฒนาในอนาคตด้วย
คนธรรมดาจะเอาชนะปีศาจ
แต่มันไม่ได้หมายความว่าคนในยุคสมัยของพวกเขาจะได้เห็นวันนั้นด้วยตาตัวเอง
ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่โรแลนด์ยังไม่ได้บอกพวกเขา
ที่น่าเสียดายก็คือเรื่องจริงมันไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนที่วางแผนเอาไว้เสมอไป จากความคิดในตอนแรก เขาเคยคิดว่าขอเพียงกวาดล้างปีศาจที่อยู่บนทาคิลาออกไปและเปลี่ยนซากเมืองนี้ให้กลายเป็นป้อมปืนใหญ่ได้ เช่นนั้นก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากแล้ว ถ้ายังคงมองเรื่องนี้เป็นเป้าหมายอยู่ อย่างนั้นตอนนี้กองทัพที่หนึ่งก็อยู่ห่างจากชัยชนะเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
แต่การปรากฏตัวของผู้พิฆาตเวทมนตร์ทำให้แผนการต้องเปลี่ยนไป พลังแห่งคำสาปทำให้วิธีการรักษาทั้งหมดใช้ไม่ได้ผลจนอาจจะทำให้บาดแผลเล็กน้อยมีอันตรายถึงชีวิตได้ ไลต์นิ่งนั้นยังดีหน่อย ความสามารถในการรักษาตัวเองของเธอเร็วพอๆ กับความสามารถในการลุกลามของคำสาป แต่ลีฟนั้นไม่ได้โชคดีเหมือนอย่างเธอ
จากรายงานและการแอบสังเกตดูของแอชเชส อาการของลีฟดูเหมือนกำลังแย่ลงเรื่อยๆ
ถึงแม้เธอจะไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าและท่าทางของเธอนั้นไม่สามารถปิดบังแอชเชสที่อยู่ข้างกายได้ ที่บอกว่าอาการแย่ลงนั้นหมายความว่าความเร็วในการลุกลามของคำสาปนั้นเร็วกว่าขีดจำกัดในการฟื้นฟูตัวเอง ก็เหมือนกับบาดแผลที่ขยายตัวออกไปเรื่อยๆ ตอนแรกดูเหมือนไม่เป็นอะไร แต่สุดท้ายมันก็จะขยายใหญ่ไปทั่วทั้งร่างกาย ไม่ว่าการลุกลามนี้จะใช้เวลาปีนึงหรือสิบปี แต่สำหรับเธอซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการขยายตัวของประชากรแล้ว นี่ถือเป็นความเสียหายที่ไม่สามารถยอมรับได้
เขาจำเป็นต้องจัดการทาคิลาและผู้พิฆาตเวทมนตร์
ภายในห้องประชุม ตัวแทนของเหล่าแม่มดและกองทัพต่างมาประชุมกับพร้อมหน้า บนกำแพงเองก็มีลำแสงภาพที่ส่งมาจากเมืองชายแดน เนื้อหาที่ทุกคนหารือกันนั้นมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือจะทำยังไงถึงจะสามารถกำจัดปีศาจระดับสูงที่มีพลังแห่งคำสาปได้ในศึกครั้งนี้
“เรื่องแรกที่ต้องแจ้งให้ทุกคนได้ทราบคือ จากการจำลองการรบของทีมที่ปรึกษาพบว่ามีโอกาสสูงถึง 90% ที่ผู้พิฆาตเวทมนตร์จะถอยในตอนที่มันแน่ใจแล้วว่าไม่อาจพลิกสถานการณ์กลับมาได้” คนที่พูดขึ้นมาเป็นคนแรกยังคงเป็นเอดิธส์ “ข้อสรุปนี้ไม่มีหลักฐานยืนยันมากนัก ส่วนใหญ่เป็นเพียงการคาดการณ์ เพราะเมื่อดูจากที่ตอนนี้มันยังคงรักษาระยะห่างจากแนวรบของกองทัพที่หนึ่งเอาไว้ แสดงว่ามันน่าจะแตกต่างจากคาบราดาบีโดยสิ้นเชิง”
‘ข้าเห็นด้วยกับข้อสรุปนี้’ อาลิเธียที่มีประสบการณ์ต่อสู้กับปีศาจมามากที่สุดพูดขึ้นมา ‘ไม่กลัวตายไม่ได้หมายความว่าจะเข้ามารนหาที่ตายง่ายๆ ในจุดนี้พวกมันไม่ได้ต่างอะไรจากพวกเรามากนัก ประโยชน์ของปีศาจที่เป็นผู้บัญชาการมีมากกว่าปีศาจธรรมดา ไม่มีทางที่มันจะมาตายพร้อมกับลูกน้องของมันแน่’
“ดังนั้นพวกเราต้องชิงเป็นฝ่ายลงมือ เข้าไปดักบนเส้นทางที่มันใช้หนี” เอดิธส์พยักหน้า “ที่โชคดีก็คือ พวกเรารู้ความเคลื่อนไหวของศัตรูดี อีกทั้งก่อนหน้านี้เราก็เคยมีประสบการณ์กับเรื่อแบบนี้มาแล้ว” เธอมองไปทางแอนเดรีย ควินน์ “ถ้าผู้พิฆาตเวทมนตร์ยังไม่รู้เรื่องแผนการนี้ของเรา การลอบสังหารจากระยะไกลนั้นก็จะเป็นวิธีที่มีความปลอดภัยมากที่สุด แล้วก็เป็นวิธีที่มีความแน่นอนมากที่สุด”
แอนเดรียเสยผมตัวเองอย่างสง่างาม
“ข้ามีคำถาม” ทิลลีพูดขึ้นมา
“เชิญถามได้เลยเพคะ องค์หญิง” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือพูดพร้อมเอามือขึ้นมาทาบที่หน้าอก
“ข้อแรก อาศัยเพียงกระสุนนัดเดียวจะสังหารผู้พิฆาตเวทมนตร์ได้หรือไม่นั้นยังไม่เป็นสิ่งที่เราไม่อาจรู้ได้ ถ้าเกิดมันแค่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บเราจะทำยังไง? พวกเราไม่มีโอกาสแบบนี้อีกครั้งแล้ว ข้อสอง ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าเรามีอาวุธที่สามารถโจมตีระยะไกลแบบนี้อยู่ แถมยังเตรียมแผนที่จะหลบหลีกเอาไว้ในตอนถอยเราจะทำยังไง? เมื่อดูจากศึกที่ผ่านๆ มาความเป็นไปได้ที่จะเป็นแบบนั้นมีค่อนข้างสูงทีเดียว เพราะว่าระดับความเข้าใจในอาวุธปืนของศัตรูมันมากเกินกว่าที่เราคาดการณ์เอาไว้แล้ว”
“ปัญหาสองข้อนี้พวกหม่อมฉันก็เคยครุ่นคิดเอาไว้เหมือนกันเพคะ” เอดิธส์ตอบ “สำหรับข้อแรกนั้น ทีมที่ปรึกษามีข้อสรุปว่าให้เอาหินอาญาสิทธิ์มาทำเป็นหัวกระสุนปืนเพคะ”
“กระสุนหินอาญาสิทธิ์?”
“ถูกต้องเพคะ ต่อให้ไม่สามารถเอาชีวิตมันได้ในการยิงครั้งเดียว แต่ศัตรูก็จะสูญเสียความสามารถในการบินไป หม่อมฉันรู้ดีว่าหินอาญาสิทธิ์ยิ่งเล็ก ความแข็งของมันก็จะยิ่งน้อยลงไปด้วย ถ้าเป็นหินอาญาสิทธิ์ที่ถูกเอามาตัดจนมีขนาดเล็กเท่าหัวกระสุนทั่วๆ ไป แค่ค้อนธรรมดาก็สามารถทุบมันให้แตกได้ มันไม่มีทางที่จะรับแรงกระแทกในตอนที่ออกจากรังเพลิงได้เลย แต่ขนาดลำกล้องปืนที่คุณแอนเดรียใช้นั้นมีขนาดที่ใหญ่กว่าปืนทั่วๆ ไปมาก บางทีเราอาจจะลองใช้วิธีนี้ดูได้” เธอชะงักไปเล็กน้อย “นอกจากนี้หม่อมฉันยังเคยสอบถามเลดี้อกาธามาแล้ว หินอาญาสิทธิ์ที่ทำขึ้นมาจากเลือดแห่งเวทมนตร์นั้นจะมีความแข็งมากขึ้นกว่าเดิม และครั้งนี้นางยังได้เอาเลือดสดๆ ที่เก็บมาจากร่างกายของปีศาจกลับมาด้วยสองขวด ตอนนี้น่าจะกำลังทำการทดลองอยู่เพคะ”
‘ใช้เลือดของปีศาจมาสร้างอาวุธฆ่าพวกมันเหรอ? ข้าชอบความคิดนี้’ อาลิเธียหัวเราะขึ้นมา ‘ดีมาก เจ้าเป็นคนธรรมดาคนที่สองที่ข้าทำให้ข้ารู้สึกสนใจ’
ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือยิ้มตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ “ส่วนปัญหาข้อที่สอง…พวกเรายังจำเป็นต้องเตรียมทีมไล่ล่าเพื่ออุดช่องโหว่นี้”
“แต่ตอนนี้มีแค่ไลต์นิ่งเท่านั้นที่บินได้เร็วกว่าผู้พิฆาตเวทมนตร์” เวนดี้พูดขึ้นมาอย่างกังวล “แต่ว่านาง…ไม่สามารถหยุดศัตรูได้”
“ไม่” เธอส่ายหัว “ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่บินได้เร็วกว่าผู้พิฆาตเวทมนตร์…”
“อีกสิ่งหนึ่ง?” ทิลลีเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้
“ถูกต้องเพคะ สิ่งนั้นคือซีกัลที่พุ่งลงมาจากด้านบน” เอดิธส์พูดช้าๆ ชัดๆ
………………………………………………………………………………..