Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1114 สิ่งตอบแทน
“ปกติเจ้าไม่คุยกับคนธรรมดาเยอะขนาดนี้นี่นา”
หลังเดินออกมาจากห้องโดยสาร เบ็ตตี้ที่ยืนพิงกำแพงทางเดินก็เดินตามเข้ามา
“ข้าคุยกับฝ่าบาทโรแลนด์เยอะกว่านี้อีก” โซอี้พูดอย่างไม่ใส่ใจ
“แต่พวกเราต่างก็รู้ว่าพระองค์ไม่อาจถือเป็นคนธรรมดาที่แท้จริงได้” เบ็ตตี้แสร้งทำเป็นเศร้าสร้อย “ฌอนแค่อยากให้เจ้าไปคุยเรื่องจุดกำเนิดของศาสนจักร เพราะว่าแม่มดอาญาสิทธิ์นั้นมีความเชื่อถือมากกว่าเขา แต่ดูที่เจ้าพูดไปสิ ‘เพราะว่ามันไม่คุ้มค่าเลยแม้แต่นิดเดียว’ ‘มันเป็นความผิดพลาดมาตั้งแต่แรกแล้ว’ …จุ๊ๆ นางยังเป็นคนเจ็บอยู่นะ เจ้าไม่กลัวนางจะอกแตกตายเหรอ”
“หน้าที่ของพวกเราคือเอาสมบัติโบราณกลับมา แล้วก็ช่วยเหลือคนที่ถูกจับออกมา ส่วนเรื่องที่ว่าหลังจากนั้นนางจะเป็นหรือตาย มันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?” โซอี้หยุดเดิน ก่อนจะหันมาหรี่ตามองเบ็ตตี้ “ว่าแต่เจ้านั่นแหละ…เห็นใจคนธรรมดาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”
“เป็นคนมันก็ควรจะห่วงใยกันไม่ใช่เหรอ?”
“ถ้าเป็นคนอื่นก็อาจจะเป็นไปได้อยู่ แต่เจ้าไม่มีทางพูดแบบนี้ออกมาแน่” โซอี้ชะงักไปเล็กน้อย “เดี๋ยวนะ…เจ้าแค่กำลังสะใจที่นางตกอยู่ในสภาพนี้ใช่ไหม?”
“อย่าพูดออกมาสิ” เบ็ตตี้ยิ้มขึ้นมา
“ใช่จริงๆ ด้วย” โซอี้ถอนหายใจออกมา “นางคล้ายจริงๆ “
“อื้อ เหมือนแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกันเลย” เบ็ตตี้เดินขึ้นมายืนข้างโซอี้ ก่อนจะเท้าแขนไปที่ขอบหน้าต่าง “ถ้านางเกิดเร็วกว่านี้ 400 ปี…ถ้านางเป็นแม่มดเหมือนกัน อย่างนั้นในการประชุมครั้งสุดท้ายของสมาพันธ์….”
“นางจะต้องเลือกติดตามท่านอควาเรียส ไม่ใช่พวกเราอย่างแน่นอน” โซอี้พูดต่อ “และก็เพราะแบบนี้มันถึงได้น่าโมโห”
ฟาร์รีน่าไม่ได้เหมือนใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่เหมือนกับคนกลุ่มหนึ่ง
เธอเหมือนกับกลุ่มแม่มดของสมาพันธ์ที่รอดชีวิตมาได้อย่างยากลำบากและหนทางข้างหน้าก็เต็มไปด้วยความมืดมน
พวกเธอเหลือทางเลือกไม่มากเท่าไร
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ พวกเธอส่วนใหญ่ก็ยังไม่ทิ้งความหวัง เมื่อเทียบกับแผน ‘ผู้ถูกเลือก’ ที่ดูเลือนรางแล้ว แผนแม่มดอาญาสิทธิ์ที่ใช้กำลังของตัวเองในการทำเป้าหมายให้เป็นจริงนั้นจึงได้รับการสนับสนุนมากกว่า ถึงแม้พวกเธอจะต้องเอาสมาพันธ์ของตัวเองมาสังเวยก็ตาม
ในการประชุมที่ตัดสินชะตาชีวิตครั้งนั้น อควาเรียสสร้างความได้เปรียบเหนือนาตาย่า ‘เผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่ดับสูญ แม่มดจะมีชีวิตอยู่ต่อ’ เหมือนจะกลายเป็นคำพูดเดียวภายในที่ประชุม ซึ่งในความเป็นจริง แม้แต่ผู้ติดตามนาตาย่าหลายๆ คนก็ยังเกิดความลังเลเหมือนกันว่าเส้นทางที่พวกเธอเลือกจะมองเห็นแสงสว่างได้หรือไม่ ส่วนตัวเธอนั้นก็ทำได้เพียงยืนร้อนใจอยู่ข้างๆ ราชีนีซันเชสเซอร์โดยไม่ได้พูดอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว
ท่าทีที่เธอแสดงต่อฟาร์รีน่านั้นเป็นแค่การระบายอารมณ์โกรธเท่านั้น
จริงๆ แล้วคนที่โซอี้อยากจะโต้เถียงไม่ใช่สาวกของศาสนจักร หากแต่เป็นสมาพันธ์ในอดีต
เธออยากจะบอกพวกเธอว่าแม่มดที่มีความสามารถอ่อนแอไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสได้กลายเป็นแม่มดที่แข็งแกร่ง
เธออยากจะบอกพวกเธอว่าคนธรรมดาที่โง่เขลาและมองอะไรสั้นๆ นั้นไม่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์
และสิ่งที่เธออยากจะพูดมากที่สุดก็คือ ถ้าหากตอนนั้นพวกเธอรออีกสักหน่อยก็คงจะดี…
อย่าชักดาบฆ่าฟันกันเพียงพอความเห็นไม่ตรงกัน
แต่สุดท้ายความคิดเหล่านี้ก็กลายเป็นเสียงถอนหายใจของเธอ
ถ้าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ถึงแม้จะกลับไปยืนอยู่ตรงนั้นอีกครั้ง สามผู้นำก็จะเดินไปบนเส้นทางเดิมอย่างแน่นอน
ในช่วงเวลาที่มืดมนตอนนั้น มีเพียงผู้ที่จิตใจแข็งแกร่งและมั่นคงถึงจะสามารถนำทุกคนให้เดินหน้าต่อไปได้
“ถ้าท่านอควาเรียส ท่านเอเลนอร์กับท่านนาตาย่าได้มาเป็นทุกอย่างในตอนนี้ก็คงจะดี…”
โซอี้มองดูทะเลสีน้ำเงินที่กว้างสุดลูกหูลูกหาพร้อมกับพูดพึมพำออกมา
…..
ภายในห้องโดยสารอีกห้องหนึ่ง เคแกนวางปากกาลงอย่างตกใจ
“อาจารย์ นี่มัน…” เรินต์แกนเองก็ดูตกใจอย่างมากเหมือนกัน เธอคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะได้ฟังบทสนทนาที่น่าเหลือเชื่อขนาดนี้ “พวกเรารู้เยอะเกินไปหรือเปล่า?”
เพื่อที่จะได้เข้าใจเรื่องราวระหว่างโจกับฟาร์รีน่าได้ดียิ่งขึ้น ฌอนได้จัดให้ห้องหนังสือของทั้งสองคนอยู่ติดกับห้องพักผู้ป่วย อีกทั้งยังได้ทำการแก้ไขอะไรบางอย่างลงไปบนกำแพงกั้นห้องด้วย กระจกเงาที่ดูเหมือนกระจกทั่วๆ ไปบานหนึ่งที่ใช้ตกแต่งอยู่บนกำแพงนั่นสามารถมองทะลุไปยังอีกห้องหนึ่งได้ ด้วย ‘รูกำแพง’ ที่ว่านี้ทำให้พวกเขามองเห็นสถานการณ์ของอีกห้องหนึ่งได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ตรงมุมกำแพงยังมีการต่อท่อขยายเสียงเข้าไปสองอันด้วย ถ้าเอาหูไปแนบก็จะได้ยินเสียงพูดคุยของอีกห้องอย่างชัดเจน
นี่ถือเป็นครั้งแรกสำหรับเคแกนที่ได้มาสำรวจดูในระยะใกล้ขนาดนี้ ถึงแม้เขาจะรู้ว่าการทำแบบนี้มันไม่ค่อยเหมาะเท่าไร แต่เขาก็ไม่อาจต้านทานความเย้ายวนของมันได้ จะมีเวทีไหนที่มีความสมจริงไปมากกว่านี้อีกล่ะ? คนที่อยู่ในห้องก็เหมือนนักแสดงที่แสดงที่กำลังแสดงละครที่สมจริงอยู่ ส่วนเขาก็เป็นทั้งผู้ชมแล้วก็ผู้จดบันทึก
เพียงแต่เดิมเขาคิดว่านี่จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักและการกอบกู้ แต่เขากลับมาได้ยินเรื่องราวในอดีตของศาสนจักรที่ไม่มีใครรู้ ข้อมูลนี้ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกตกใจอย่างมาก
สี่อาณาจักรใหญ่นั้นสืบทอดต่อมาจากอาณาจักรแม่มด?
แม้แต่ศาสนจักรก็เป็นสิ่งที่สมาพันธ์ของแม่มดเป็นคนสร้างขึ้นมา
แม่มดโบราณเหล่านั้นมีวิธีในการยึดร่างคนธรรมดาอยู่
ไม่ว่าจะเป็นข่าวไหนก็ล้วนแต่เป็นเหมือนคลื่นยักษ์ที่ซัดสาดใส่ตัวเขา
เรินต์แกนมองไปที่ประตูอย่างหวาดวิตก เหมือนกลัวว่าจะมีทหารพุ่งเข้ามาในห้องในทุกเมื่อ จากนั้นจับเธอใส่ถุงแล้วโยนลงไปในทะเล
ภายในหัวเคแกนมีคำพูดก่อนหน้านี้ของโรแลนด์ลอยขึ้นมา
‘มันจะสะท้อนให้เห็นถึงดอกไม้แห่งความรักที่เบ่งบานอยู่ในยุคสมัยที่มืดมิดที่สุด’
‘ข้าคิดว่าเจ้าคงรู้นะว่าอะไรคือการแก้ไขบท’
บางที…ฝ่าบาทคงจะคิดถึงเรื่องนี้เอาไว้แต่แรกแล้ว
แต่ไม่ว่ายังไง เขาก็ไม่สามารถถอนตัวกลางคันได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ถอนตัวได้ เขาก็ไม่มีทางถอยแน่นอน
เคแกนแอบสังหรณ์อยู่ในใจ
ละครเรื่องนี้จะกลายเป็นละครที่ประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ขณะเดียวกัน ทั้งสองคนที่อยู่อีกด้านของกระจกก็เหมือนจะมีความเคลื่อนไหวอะไรบางอย่าง
เขารีบหยิบเอาท่อขยายเสียงขึ้นมาแนบหูทันที
…..
“สุดท้าย…ก็กลายเป็นแบบนี้ซะได้…” สายตาของฟาร์รีน่าล่องลอย เห็นๆ อยู่ว่ามองไปทางโจ แต่สายตากลับเหมือนมองทะลุเขาไป “ไม่มีศาสจักรแล้ว…แล้วก็ไม่มีใครต้องการข้าด้วย…เจ้าช่วยข้า แต่ข้ากลับไม่สามารถตอบแทนเจ้าได้…ขอโทษนะ…”
เสียงของเธอเบาลงเรื่อยๆ จนเหมือนจะกลายเป็นเสียงกระซิบ
โจคว้ามือเธอเอาไว้อย่างปวดใจ “ที่ข้าช่วยเจ้าไม่ใช่เพราะศาสนจักรอะไรนั่น!”
เขาตะโกนเสียงดังขึ้นฟาร์รีน่ารู้สึกงุนงง
“ข้าไม่ได้คาดหวังอะไรในศาสนจักรแต่แรกแล้ว ข้าก็แค่อยากจะใช้ชีวิตไปวันๆ เท่านั้น! ที่ข้าแสดงทำเป็นศรัทธาต่อศาสนจักร นั้นก็เพื่อจะได้เลื่อนขั้นได้เร็วขึ้น! ข้าเคยเป็นขุนนาง ข้าจะมาฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้กับพระเจ้าได้ยังไงล่ะ?”
“เจ้า…” ฟาร์รีน่ากัดริมฝีปาก ในดวงตาจับภาพไปที่เขา เธอพยายามที่จะยกมือขึ้นมา เหมือนเธออยากจะตบเขาอย่างไรอย่างนั้น
โจไม่ขยับ แถมยังเชิดหน้าขึ้นมาเล็กน้อยด้วย
ส่วนท้ายฝ่ามือนี้ก็ไม่ได้ตบใส่เขา “เจ้ากำลัง…หลอกข้าใช่ไหม? ติดตามข้ามาเสี่ยงตายถึงอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทหลังจากที่กองทัพอาญาสิทธิ์พ่ายแพ้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าจะไม่…คาดหวังอะไรในศาสนจักร?”
โจคว้าแขนของเธอเอาไว้ “เพราะข้าอยากจะอยู่ข้างกายเจ้า! พระสันตะปาปาหรือสงครามแห่งโชคชะตาอะไรนั่นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรสำหรับข้าเลย!”
“โจ!”
“ฟังข้าพูดให้จบ!” เขารอโอกาสนี้มานานแล้ว ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าตัวเองต้องสูญเสียอีกฝ่ายไปตลอดกาล ตอนนี้อีกฝ่ายกลับมาอยู่ตรงหน้าตัวเองอีกครั้ง เขาไม่มีทางปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปอีกแน่ “หลังจากรู้ว่าเจ้าถูกจับ ข้าก็พยายามคิดหาทางที่ช่วยเจ้าให้ได้ แต่ในนั้นไม่มีแผนที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของเฮอร์มีสเลย เพราะสำหรับข้าแล้ว ต่อให้ไม่มีศาสนจักร โลกใบนี้มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย ยกเว้นเจ้า…ที่ข้าไม่อยากสูญเสียไป! ข้า…ต้องการเจ้า!”
แคร่ก!
ปากกาขนนกในมือเคแกนถูกกดจนปลายปากกาหักลง
“ต้อง…การข้าเหรอ?” ฟาร์รีน่าตกตะลึง
“เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่สามารถตอบแทนอะไรข้าได้? อย่างนั้นข้าอยากจะขอสิ่งๆ หนึ่งจากเจ้าเป็นการตอบแทนแล้วกัน!” โจกอดเธอเอาไว้ “อยู่กับข้า…ไม่ว่าหลังจากนี้จะไม่เมืองเนเวอร์วินเทอร์หรือว่าที่ไหนก็ต้องอยู่กับข้า ไม่ว่าผลการไต่สวนจะเป็นอย่างไร พวกเราก็จะรับผลการตัดสินนั้นด้วยกัน นี่คือ…สิ่งตอบแทนที่ข้าต้องการ!”
…………………………………………………………………..