Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1085 โจมตีกับป้องกัน
“คุณลุงเร็วอีกหน่อยได้หรือเปล่า?” ไลต์นิ่งบินอยู่ข้างห้องคนขับ เธออยากจะลงไปดันรถไฟด้วยตัวเองด้วยซ้ำ แต่เธอรู้ดีกว่า ต่อให้เมซี่ก็ไม่มีทางที่จะดันเจ้าสัตว์ประหลาดยักษ์ที่เหมือนภูเขานี้ได้ “ถ้าใส่ถ่ายหินเข้าไปในเตาเพิ่มมันจะเร็วขึ้นไหม?”
“โฮ่ๆ สาวน้อย ถ้าแรงดันมากเกินไป หม้อมันจะระเบิดเอาได้!” คนที่ควบคุมรถไฟเป็นชายแก่ผมขาวคนหนึ่ง ดูแล้วเหมือนจะไม่ใช่ทหาร หากแต่เหมือนลุงข้างบ้านที่ใจดีมากกว่า เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “วางใจได้ กองทัพที่หนึ่งไม่แพ้ง่ายๆ ขนาดนั้นหรอก ต่อให้ศัตรูเป็นปีศาจที่มาจากนรกก็ตาม”
ไลต์นิ่งเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ถึงแม้จะรู้ว่าเจ้ารถไฟนี่วิ่งได้เร็วอย่างมากแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกร้อนใจอย่างมากอยู่ เธอใช้เวลาไม่นานในการตามหาแบล็คริเวอร์ เพราะเครื่องจักรที่ใหญ่ขนาดนี้ไม่มีทางที่เธอจะมองไม่เห็น นอกจากเรื่องที่คนบนรถไฟตกใจตอนที่เธอเข้าไปใกล้แล้ว เรื่องอื่นๆ ล้วนแต่ราบรื่นเป็นอย่างมาก ด้วยสถานะสมาชิกในสโมสรแม่มด กัปตันรถไฟเชื่อคำพูดของเธออย่างรวดเร็ว แถมยังออกคำสั่งให้กลับรถทันที
แต่ไลต์นิ่งไม่ได้รู้สึกโล่งใจแม้แต่น้อย
หลังจากรถไฟหันหัวมุ่งหน้ากลับมายังสถานีหมายเลขหนึ่ง เธอก็รีบทำการติดต่อซิลเวียทันที และข่าวที่ซิลเวียแจ้งมาก็ทำให้เธอต้องตกใจอย่างมาก ปีศาจไม่เพียงแต่จับจุดอ่อนของกองทัพที่หนึ่งด้วยการบุกโจมตีเร็วในขณะที่แนวป้องกันยังสร้างไม่เสร็จ แต่กำลังหลักของพวกมันยังตีกระหนาบเข้ามายังค่ายของกองทัพที่หนึ่งจากสองทิศทางอย่างรวดเร็วด้วย ถ้าไม่มีการยิงสนับสนุนจากปืนใหญ่ สถานการณ์ก็จะยิ่งเลวร้ายมากกว่าเดิม
หลังได้ฟังซิลเวียเล่ามา เธอก็ไม่สามารถทำใจให้เชื่อมั่นได้เหมือนชายแก่จริงๆ
ข่าวดีเพียงหนึ่งเดียวน่าจะเป็นเรื่องที่เมซี่หาโลก้าที่ได้รับบาดเจ็บเจอ เมื่อมีการรักษาจากนาน่า หมาป่าสาวก็เรียกได้ว่าปลอดภัยแล้ว
“ด้านนอกทั้งเสียงดังทั้งลมแรง จะเข้ามานั่งข้างในหน่อยไหม? จะพูดแต่ละทีต้องตะโกนนี่มันเหนื่อยนะ” อีกฝ่ายสูบไปป์พร้อมกับเท้าแขนพิงหน้าต่าง “ถึงด้านในมันจะกระเทือนไปหน่อย แต่อย่างน้อยมันก็อุ่นนะ เตานี่ใช้ดีกว่าเตาผิงซะอีก!”
“ไม่…ขอบคุณ” ไลต์นิ่งเหลือบมองดูแท่นควบคุมที่สั่นสะเทือน จากนั้นส่ายหัว “ข้าอยู่ข้างนอกดีกว่า”
นี่เป็นความเร็วสูงสุดของแบล็คริเวอร์แล้วจริงๆ ด้วย
ถ้ายังเร่งความเร็วต่อไปทั้งๆ ที่รถสั่นแบบนี้ ต่อให้เตาเผายังรับไหว แต่ตัวรถไฟต้องตกรางแน่
“ข้ามองออกว่าเจ้ายังกังวลเรื่องสถานการณ์ทางนั้นอยู่….ในค่ายมีญาติหรือเพื่อนของเจ้าอยู่เหรอ?”
“อื้อ” ไลต์นิ่งตอบด้วยสีหน้ากังวล
“ข้าก็มี” เขาพูดพร้อมลูบเครา “แถมยังมีตั้งสองคนแหนะ!”
“เอ๋?” ไลต์นิ่งตกตะลึง เดิมเธอคิดว่าที่อีกฝ่ายยังใจเย็นอยู่แบบนี้นั้นเป็นเพราะว่าเขาไม่มีใครให้ต้องเป็นห่วง
“เมื่อก่อนข้าเคยทำงานในเมือง ทั้งชีวิตมีลูกสี่คน นอกจากคนโตที่ตายไปเพราะอากาศหนาวแล้ว คนอื่นๆ ล้วนแต่อยู่รอดจนกระทั่งฝ่าบาทวิมเบิลดันเสด็จมา” ชายแก่พูดพร้อมยิ้มเล็กน้อย “เมื่อก่อนพวกเขาไม่ได้ต่างอะไรจากโจรใต้ดินเลย ทั้งผอมทั้งอ่อนแอ แต่ว่าหลังจากที่เข้าไปอยู่ในกองทัพ พวกเขาก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นี่คือเหตุผลที่ทำให้ข้าเชื่อมั่นในกองทัพที่หนึ่งอย่างมาก กองทัพที่มีคนเหล่านี้อยู่ ไม่มีทางที่จะแพ้ง่ายๆ แน่”
อย่างนั้น…เหรอ? ไลต์นิ่งอดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “อย่างนั้นอีกคนล่ะ?”
“ก็อยู่ในรถไฟนี่แหละ” เขาเคาะไปป์ “คนที่เห็นเจ้าคนแรกนั่นแหละ”
ชายแก่ชะงักไปเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกภูมิใจ “แล้วก็เพราะการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะฝ่าบาทวิมเบิลดัน ข้าก็เลยอยากทำอะไรเพื่อพระองค์บ้าง อีกอย่างอยู่ในเหมืองคนเดียวมันก็น่าเบื่อจะตาย มันคงจะมีความสุขมากกว่าถ้าได้ออกเดินทางไปทั่ว ต่อมาฝ่าบาททรงคัดเลือกคนที่เชี่ยวชาญในการควบคุมเครื่องจักรไอน้ำเพื่อมาตั้งเป็นทีมควบคุมรถไฟ ข้าก็เลยลงชื่อสมัคร คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายข้าจะถูกเลือก”
ที่แท้อีกฝ่ายไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่เธอคิดเอาไว้…ในขณะที่ไลต์นิ่งกำลังจะพูดอะไรออกมา โทรศัพท์ที่อยู่บนแท่นควบคุมพลันส่งเสียงดังขึ้นมา
“พ่อ ข้ามองเห็นสถานีหมายเลขหนึ่งแล้ว! ตรงนั้นเหมือนจะมีการต่อสู้จริงๆ ข้ามองเห็นแสงสว่างกับเปลวไฟ!” เสียงตื่นเต้นที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ แม้แต่ไลต์นิ่งที่อยู่นอกหน้าต่างก็ยังได้ยิน
“บอกกี่ครั้งแล้ว ที่นี่คือกองทัพ อย่าเรียกข้าว่าพ่อ!” ชายแก่ตะโกนใส่โทรศัพท์ “จับตาดูข้างหน้าต่อไป เดี๋ยวข้าจะเปิดหวูดบอกพวกเขาหน่อยว่ากองหนุนมาแล้ว!”
เขาพยักเพยิดหน้าให้ไลต์นิ่ง “เป็นยังไง ข้าบอกแล้วว่าพวกเขาไม่แพ้ง่ายๆ หน่อย” จากนั้นเขาหันหลังไปดึงเชือกที่อยู่ด้านหลังอย่างแรง ก่อนจะตะโกนเสียงดังว่า “ไปเลย เด็กๆ!”
“อูววววววว……..”
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ท่ามกลางเสียงหวูดที่ดังยาว แบล็คริเวอร์พลันส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมลดความเร็วเข้าไปยังใจกลางสนามรบที่วุ่นวาย
เข็มหินที่ปักอยู่บนรางรถไฟถูกชนจนแตกละเอียด การกระทบกันของหินสีดำและเหล็กกล้าทำให้เกิดประกายไฟขึ้นมาตรงหัวรถสีดำ
บางทีอาจะเป็นเพราะความเร็วที่ลดลงของรถไฟจึงทำให้ศัตรูคิดว่ามันจะหยุดมันได้ ปีศาจสามสี่ตัวเข้ามาใกล้รางเหล็กเพื่อพยายามจะหยุดอสูรเหล็กกล้า แต่สุดท้ายพวกมันกลับถูกดูดเข้าไปใต้ล้อรถและถูกบดกลายเป็นเศษเนื้อ
ต่อให้มันจะช้าแค่ไหน มันก็ไม่ใช่สิ่งที่แรงของสิ่งมีชีวิตจะมาหยุดได้
ในขณะเดียวกัน ป้อมปืนกลที่ติดตั้งอยู่บนรถไฟก็เริ่มกราดยิงออกไปทั่ว ปีศาจที่บุกเข้าไปในค่ายถูกโจมตีกระหนาบหน้าหลังทันที พวกมันถูกโจมตีโดยแทบจะไม่มีโอกาสให้หลบซ่อนตัว ส่วนการโจมตีด้วยหอกกระดูกก็ไม่มีผลต่อแบล็คริเวอร์แม้แต่นิดเดียว
ในเวลานี้ ไลต์นิ่งได้บินเข้าไปในห้องปืนใหญ่
“ซิลเวีย เป้าหมายล่ะ?”
“อยู่ตรงหน้าของพวกเจ้า ระยะประมาณ 3,300 เมตร” ซิลเวียเองก็รู้ว่ารถไฟมาถึงแล้ว เธอรีบแจ้งพิกัดยิงทันที “พื้นที่เปิดโล่ง ไม่มีที่กำบัง!”
ไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำ ในตอนที่รถไฟหยุดนิ่ง มือยิงปืนใหญ่ก็รีบทำงานของตัวเองทันที
…..
ภายใต้การตรวจตราของซิลเวีย ตอนนี้กองกำลังหลักของศัตรูได้บีบเข้ามาอยู่ในระยะยิงของแนวป้องกันแล้ว
จำนวนของพวกมันไม่ได้เยอะเท่ากับศึกที่นอร์ธบาวด์เมื่อครั้งที่แล้ว พวกมันมีแค่ประมาณ 5,000 ตัว แต่พวกมันกลับเดินขบวนกันอย่างกระจัดกระจาย ทำให้ทั่วทั้งที่ราบเหมือนมีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด ดูแล้วทำให้เธอรู้สึกขนลุกยิ่งนัก
ส่วนตรงตำแหน่งที่ไกลออกไป การสอดแนมของดวงตาเวทมนตร์
บนพื้นเหมือนมีฉากสีดำทึบแสงปรากฏขึ้นมา ดวงตาแห่งเวทมนตร์ที่สามารถมองเห็นมุมอับได้ทุกมุมก็ยังไม่อาจมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังฉากสีดำได้ นั่นไม่ใช่การรบกวนที่เกิดขึ้นจากหินอาญาสิทธิ์ พื้นที่ปิดกั้นเวทมนตร์ที่เกิดจากหินอาญาสิทธิ์จะให้ความรู้สึกเหมือนดินแดนแห่งความตายอันเงียบงัน มีก็คือมี ไม่มีก็คือไม่มี มีขอบเขตชัดเจน แล้วก็ไม่มีการกระเพื่อม แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้เหมือนเป็นอะไรอย่างอื่น…มันเหมือนเป็นสิ่งที่มีชีวิต
และตอนที่เธอจะเข้านอน เธอจำได้ว่าที่ตรงนั้นมันไม่มีอะไรอยู่
เข็มเล่มยาวกับเสาหินที่ลอบโจมตีค่ายนั้นถูกยิ่งออกมาจากฉากสีดำ
นี่เป็นการต่อสู้ที่ซิลเวียรู้สึกกดดันมากที่สุด ตั้งแต่การซุ่มโจมตีไปจนถึงการโจมตีโดยไม่ให้รู้ตัวล้วนแต่เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด ทัศนวิสัยของเธอเหมือนถูกจำกัดเอาไว้ทุกทิศทุกทาง ทุกๆ ก้าวของปีศาจเหมือนกำลังตรงเข้ามาหาเธอ
ตอนนี้เธอไม่มีเวลามานั่งคิดแล้วว่าศัตรูเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ขนาดนี้โดยไม่มีซุ่มเสียงได้อย่างไร เพราะเธอต้องเอาสมาธิทั้งหมดทุ่มไปที่แบล็คริเวอร์
เนื่องจากมองไม่เห็นตำแหน่งที่แน่ชัดของเป้าหมาย เธอจึงได้แต่ต้องปรับพิกัดการยิงไปตามผลการยิงของปืนใหญ่
ภายใต้การรอคอยอย่างร้อนใจ ในที่สุดแบล็คริเวอร์ก็ส่งเสียงคำรามออกมา เปลวไฟอันร้อนแรงส่องให้เห็นร่างกายอันใหญ่โตของมันทันที ขณะเดียวกันก็ทำให้ค่ายทหารที่ตกอยู่ในความมืดสว่างขึ้นมาด้วย!
แต่สิ่งที่เร็วกว่าเสียงก็คือกระสุนปืนใหญ่
มันแหวกอากาศลอยเข้าไปหาฉากสีดำที่กำลังขยับเขยื้อนอยู่
…………………………………………………..