Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1081 ค่ำคืนที่เงียบสงัด
หลังตกกลางคืน ทั่วทั้งค่ายตกอยู่ในความเงียบ
เหล่าคนงานที่วุ่นมาทั้งวันพากันเข้านอนไปเรียบร้อยแล้ว แม่มดเองก็เหมือนกัน
แต่ไลต์นิ่งกลับไม่รู้สึกง่วงแม้แต่น้อย
เธอเป็นแบบนี้มาเกือบครึ่งเดือนแล้ว พูดอีกอย่างก็คือนับตั้งแต่ที่ออกมาจากป่าเร้นลับ เธอก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา บาดแผลที่ถูกเมซี่จิกเองก็เริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมา ราวกับว่ามันกำลังเตือนเธอถึงสิ่งที่เธอเจอในวันนั้น
ไลต์นิ่งไม่รู้ว่าความเจ็บปวดนี้เป็นเพราะเธอคิดไปเองหรือเปล่า เธอพยายามที่จะหาอะไรมาเบี่ยงเบนความสนใจแล้ว แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ผล บาดแผลนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันไม่ได้หายไป แล้วก็ไม่ได้ขยายใหญ่ขึ้น มันเป็นเหมือนกับรอยแดงที่ฝังแน่นอยู่ในหน้าอกเธออย่างไรอย่างนั้น
ความรู้สึกสับสนนี้ทำให้เธอใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทุกวันต้องรอให้ถึงตี 3 – 4 กว่าเธอจะได้นอน แต่ถึงแม้จะนอนหลับลงไป เธอก็ยังเอาแต่ฝันร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงเพียงแค่นิดเดียวก็ทำให้เธอสะดุ้งตื่นแล้ว
ไลต์นิ่งมองดูเมซี่ที่นอนกางแขนกางขาอย่างสบาย ก่อนจะถอนใจออกมาเบาๆ
เธอเอาผ้าห่มที่อีกฝ่ายสลัดทิ้งขึ้นมาห่มให้ใหม่ ส่วนตัวเองก็ลงมาจากเตียงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
ค่ายของแม่มดตั้งอยู่กึ่งกลางของค่ายทหาร รอบๆ มีแม่มดอาญาสิทธิ์คอยเฝ้าระวังอยู่ เธอบินออกมาอย่างเงียบๆ สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ตรงรางรถไฟที่กำลังสร้างอยู่
แสงจันทร์ที่ส่องสว่างสาดลงมายังพื้นใต้เท้าเธอ รางเหล็กทั้งสองด้านสะท้อนแสงจันทร์ออกมาเป็นแถบสีเงิน ลมยามค่ำคืนพักผ่านที่ราบที่ถูกความมืดเข้าปกคลุม มันไม่เพียงแต่จะนำพาเอาเสียงเสียดสีกันของพุ่มไม้มา หากแต่ยังมีเสียงนกกับเสียงแมลงด้วย หากเป็นเมื่อก่อน ไลต์นิ่งคงมีความสุขที่ได้มาเห็นภาพแบบนี้ แต่ตอนนี้เธอกลับไม่มีใจที่จะมานั่งชื่นชมมันเลย
เธอไม่กล้าแม้กระทั่งจะมองไปทางทาคิลา สัตว์ประหลาดที่อยู่ในแผ่นดินอันมืดมิดตัวนั้นเหมือนกำลังจ้องมองมาที่เธออยู่ตลอดเวลา แค่เธอเหลือบมองไป บากแผลตรงหน้าอกก็จะคอยย้ำเตือนเธอขึ้นมาว่านี่คือเรื่องจริง
ไลต์นิ่งมองดูหมอนรางรถไฟใต้เท้าตัวเองที่ค่อยๆ เลื่อนถอยไปด้านหลังท่อนแล้วท่อนเล่า ในปากเธอพลันเต็มไปด้วยความรู้สึกขมขื่น
ในการฝึกซ้อมเพื่อฟื้นฟูเป็นระยะเวลาเดือนกว่า เธอพยายามอย่างหนักเพื่อสยบความกลัวในจิตใจ แล้วก็บินข้ามกำแพงเมืองเตี้ยๆ ของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ออกมาได้ เดิมเธอคิดว่าขอเพียงมุ่งมั่นเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ต่อให้เธอไม่สามารถเผชิญหน้ากับปีศาจระดับสูงตรงทาคิลาได้ แต่อย่างน้อยเธอก็น่าจะฟื้นฟูกลับไปอยู่ในสภาพเดิมได้
แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับทำลายความคิดนี้ลงจนแหลกละเอียด เธอไม่เพียงแต่จะไม่สามารถใช้พลังที่ตื่นรู้ขึ้นมาได้ แต่เวลาบินเธอมักจะรู้สึกเหมือนมีอะไรมามันมือมัดเท้าเอาไว้ แต่แม้เวลาเจอกับปีศาจธรรมดา เธอก็ยังสูญเสียความกล้าเหมือนอย่างในเวลาปกติไป
ไม่อย่างนั้นไม่ว่าพวกปีศาจมันจะมีแผนอะไร เธอกับเมซี่ก็สามารถจัดการกับเจ้าปีศาจสี่ัตัวนั้นได้สบายๆ
แต่เสียดายที่ตอนนี้เธอกลับกล้าเพียงแต่บินตามพวกมันอยู่ข้างหลังโดยไม่อาจทำอะไรได้
เรียกได้ว่าเธอกำลังเป็นตัวถ่วงทุกคนอยู่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ไลต์นิ่งพลันรู้สึกเหมือนน้ำตารื้นออกมาเล็กน้อย
ถึงเธอจะพยายามปิดบังยังไง เธอก็ไม่สามารถปิดบังทุกคนไปตลอดได้
ต่อให้เป็นคนที่ซื่อบื้อเหมือนอย่างเมซี่ ช่วงนี้อีกฝ่ายก็ยังรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของเธอ
คงจะมีซักวันที่เธอโยนตัวเองที่ขี้ขลาดทิ้งไป แล้วก็บินขึ้นไปยังที่ๆ สูงกว่าเดิมได้
เมื่อถึงตอนนั้น เธอควรจะทำยังไง?
“เรานี่มันไร้ค่าจริงๆ” ไลต์นิ่งนั่งคู้ลงไปพร้อมเอาหัวซุกลงไปที่เข่า “คนกลัวปีศาจจนหัวหดยังจะมีคุณสมบัติอะไรไปเป็นหัวหน้าทีมนักสำรวจอีก ถ้าพวกนางรู้เข้าคงจะต้องหัวเราะเยาะเราแน่….ปกติเอาแต่บอกว่าตัวเองเป็นนักสำรวจที่ยิ่งใหญ่ แต่สุดท้ายกลับอ่อนแอกว่าใครๆ”
‘นั่นน่ะสิ’ ภายในใจเหมือนมีเสียงตอบกลับมา ‘ช้าเร็วพวกนางจะต้องหัวเราะเยาะเจ้าแน่’
“แต่ข้าไม่อยากให้ถึงวันนั้น…” เสียงของเธอเริ่มสั่นขึ้นมา
‘ใครใช้ให้เจ้าชอบพูดจาอวดตัวเองล่ะ? ถ้าไม่อยากเห็นพวกนางหัวเราะเยาะเจ้า ก็มีแต่ต้องออกไปจากที่นี่ ไปอยู่ในที่ๆ ไม่มีใครรู้ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไม่มีทางหนีพ้นหรอก’
“มีแต่ต้องหนี…ไปจากที่นี่อย่างนั้นเหรอ?”
“ทำแบบนั้นไม่ได้นะ” จู่ๆ พลันมีเสียงคนพูดขึ้นมา
“เอ๋?” ไลต์นิ่งตกใจ เธอรีบเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเห็นคนๆ หนึ่งที่คุ้นหน้ายืนอยู่ไม่ไกล ภายใต้แสงจันทร์ที่ส่องลงมา หูยาวๆ กับหางที่เป็นพวงของอีกฝ่ายดูสะดุดตาอย่างมาก “…โลก้า?”
“อะแฮ่มๆ” หมาป่าสาวกระแอม “บอกไว้ก่อนนะ ข้าไม่ได้จงใจมาแอบฟังเจ้าพูดอยู่คนเดียวหรอกนะ”
ในเวลานี้เธอถึงได้สังเกตเห็นว่าทั้งตัวโลก้าเต็มไปด้วยเหงื่อที่กำลังส่องประกายอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ผิวสีน้ำตาลอันเป็นเอกลักษ์ของชาวโมเกนเหมือนเป็นหินที่ถูกอาบด้วยน้ำค้างยามเช้าอย่างไรอย่างนั้น
“อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้เจ้ากำลัง…ฝึกอยู่?”
“ใช่น่ะสิ ข้าไม่ได้มีพลังที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่เกิดเหมือนพวกแม่มดอมนุษย์ ต่อให้แปลงร่างกลายเป็นหมาป่าทะเลทราย ข้าก็ต้องใช้การฝึกเพื่อทำให้ร่างกายแข็งแกร่ง ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่ต่อสู้เลย แค่วิ่งไม่กี่ก้าวก็คงเหนื่อยแล้ว” โลก้าผายมือพร้อมพูดต่อว่า “ช่วงนี้ปีศาจมันรอโจมตีเรา ข้าเองก็รับปากชีคเอาไว้แล้วว่าจะไม่ออกไปจากค่ายโดยพลการ ในเมื่อตอนกลางวันไม่ได้ขยับร่างกาย ข้าก็ได้แต่ต้องมาชดเชยในเวลากลางคืนเท่านั้น”
“อย่างนั้นเหรอ…” จู่ๆ ไลต์นิ่งก็เหมือนคิดขึ้นมาได้ เธอรีบหายใจพร้อมเอาสองมือปิดหน้า “เจ้าได้ยิน…ทั้งหมดเลยใช่ไหม?”
คำถามนี้ไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะหูของหมาป่านั้นดีกว่าใคร
เธอรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
“อันนั้นก็…” โลก้าชะงักไปเล็กน้อย “ข้าไม่เคยปลอบคนมาก่อน ดังนั้นตอนนี้ข้าก็คงปลอบเจ้าไม่ได้เหมือนกัน ข้าเพียงแต่อยากจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับพ่อของข้าให้เจ้าฟัง”
“ถึงแม้เขาจะเกิดมาในเผ่าไวลด์เฟลม แล้วก็รับสืบทอดนามสกุลเบิร์นเฟลมมา แต่ในตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าเขาจะกลายเป็นหัวหน้าเผ่าได้ เพราะว่าในบรรดาผู้สืบทอดทั้งแปดคน เขาเป็นคนที่มีจุดอ่อนเด่นชัดที่สุด นั่นคือกลัวคนแปลกหน้า ไม่กล้าที่จะแข่งล่าสัตว์คนเดียว ซึ่งนั่นเป็นกิจกรรมสำคัญในการเลือกหัวหน้าเผ่าของชาวโมเกน เพราะว่าหัวหน้าเผ่านั้นไม่ได้เป็นเพียงผู้ที่ปกครองภายในเผ่าเท่านั้น แต่เขายังจะเป็นต้องแผ่อิทธิพลออกไปข้างนอกด้วย แต่ละเผ่าจะส่งคนหนุ่มที่ยอดเยี่ยมที่สุดของตัวเองออกมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเผ่า”
ไลต์นิ่งตกตะลึง…เธอไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม? คนที่กลัวคนแปลกหน้าที่อีกฝ่ายพูดถึงคนนั้นเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งจะแต่งตัวแปลกๆ และกลายเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นๆ ในงานแข่งขันกีฬาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ แถมยังทำให้ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงรู้สึกสนใจอย่างมากด้วย หรือว่าความจริงแล้วโลก้ามีพ่ออีกคนหนึ่ง?
“ความจริงตอนที่เขาบอกเรื่องนี้กับข้า ข้าเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน ตอนนั้นข้าก็เลยไปถามปู่ข้า” โลก้ายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้ามานั่งยองๆ อยู่ข้างเธอ “แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงๆ ข้าถามปู่ว่าทำไมถึงมอบตำแหน่งหัวหน้าเผ่าให้พ่อ ปู่ตอบข้าว่า ถ้าตัวคนเดียว บางทีกูเอลส์อาจจะทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ขอเพียงมีคนในเผ่าอยู่ด้วย เขาจะกลายเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็อย่าปล่อยให้มีเหตุการณ์ที่เขาต้องอยู่คนเดียวเกิดขึ้นก็พอ ซึ่งตามปกติแล้ว เวลาอยู่ในเผ่าทุกคนก็จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มกันอย่างแน่นแฟ้นอยู่แล้ว เมื่อเทียบกันแล้ว การล่าสัตว์เพียงครั้งเดียวมันจะไปพิสูจน์อะไรได้ล่ะ?”
ไลต์นิ่งใจสั่นขึ้นมา
“ความจริงสิ่งที่พ่อกับพี่ชายข้าทำในเมืองเนเวอร์วินเทอร์….ข้าเองก็มีความสุขเหมือนกัน” หูของโลก้าลู่ตกลงมา “เพราะว่าพ่อข้ายอมทำในสิ่งที่เขาไม่มีวันจะทำ…ถึงแม้มันจะค่อนข้างขายหน้าก็ตาม”
เอ่อ อย่างนั้น….เหรอ? ตอนนั้นข้าเห็นเจ้าปล่อยให้พวกเขารออยู่ในโถงปราสาท ส่วนตัวเจ้าก็วิ่งกลับไปที่ตึงแม่มด แถมยังบอกว่าไม่อยากจะเจอพวกเขาอีกแล้วนะ
“ข้าคิดว่าปู่ของเขาก็คงอยากจะบอกข้าเหมือนกันว่าความกล้านั้นมาจากใจของตัวเอง แล้วก็มาจากคนอื่นได้ด้วย” โลก้าค่อยๆ พูด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงต้องเอาแต่สนใจความกล้าของตัวเองด้วยล่ะ? เช่นเดียวกัน ถ้าเพื่อนในทีมนักสำรวจตกอยู่ในอันตราย เจ้าจะทิ้งพวกนาง แล้วหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวเหรอ?”
ไลต์นิ่งเงียบไปครู่ “…ขอบคุณนะ”
“ข้าบอกแล้ว นี่ไม่ใช่การปลอบ ข้าก็แค่เล่าเรื่องให้ฟังเท่านั้น” หมาป่าสาวหัวหน้ามา “ดังนั้นเจ้าไม่ต้องขอบคุณหรอก อีกอย่าง ไอทีมนักสำรวจนี่ก็สนุกดีออก…ในเมื่อเจ้าเป็นคนลากข้าเข้ามา อย่างนั้นเจ้าก็ต้องรับผิดชอบข้าด้วย”
เธอรู้สึกเหมือนในตามีน้ำตากำลังจะเอ่อล้นออกมาอีกครั้ง เธอแสร้งทำเป็นขยี้ตาเพราะลมแรง ในขณะที่เธอกำลังสูดหายใจเตรียมจะพูดตอบ จู่ๆ อีกฝ่ายพลันหมุนตัวมาแล้วเอามืออุดปากของเธอไว้
“ชู่ว…”
“ทำไมเหรอ?” กระทั่งโลก้าเอามือออก ไลต์นิ่งจึงถามเสียงเบาๆ ขึ้นมา
“เจ้าได้ยินเสียงอะไรไหม?”
เสียง? เธอเงยหน้าขึ้นมาพร้อมพยายามตั้งใจฟัง แต่นอกจากเสียงลมแล้วก็ไม่มีเสียงอะไรอย่างอื่นเลย
เดี๋ยว…แล้วเสียงนกเสียงแมลงก่อนหน้านี้ล่ะ?
“ตรงนั้น…เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังเข้ามา” โลก้าตั้งหูแล้วหันมองไปทางทิศตะวันออก “เสียงหวีดนี่มัน….ระวัง!”
เธอกอดไลต์นิ่งเอาไว้แล้วกลิ้งตัวไปอีกด้านหนึ่ง!
ในขณะเดียวกันก็มีเสียงระเบิดดังสั่นสะเทือนขึ้นมาเหนือหัวทั้งสองคน!
………………………………………………….