Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1039
“ฝ่าบาท นี่คือสถานการณ์ทางการเงินของสัปดาห์นี้พ่ะย่ะค่ะ” บารอฟพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้นพร้อมกับเก็บรายงานที่อยู่ในมือ “สรุปแล้วก็คือตัวเลขด้านต่างเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้พ่ะย่ะค่ะ จะบอกว่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็คงจะได้ หากเป็นเมื่อก่อน นี่เรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์เลยพ่ะย่ะค่ะ!”
“อื้อ ทำดีมาก” โรแลนด์นั่งพิงไปบนเก้าอี้ สีหน้าของเขาดูเยือกเย็นกว่าเมื่อเทียบกับสีหน้าของอีกฝ่าย เขาย่อมต้องรู้ว่าคำว่าปาฏิหาริย์ที่บารอฟพูดมานั้นมันหมายความว่าอะไร การที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเดือนแห่งปีศาจ แถมประชากรและเศรษฐกิจยังเติบโตมากกว่าฤดูใบไม้ร่วงและใบไม้ผลิ ราวกับว่าหิมะที่อยู่นอกหน้าต่างนั้นไม่ได้มีผลอะไรเลย สำหรับคนในยุคสมัยนี้แล้ว รายงานฉบับนี้เรียกได้ว่าทำลายความรู้ที่พวกเขามีอยู่แต่เดิมลงจนหมด
เพราะเมื่อฤดูหนาวมาถึง กิจกรรมของมนุษย์นั้นต้องเปลี่ยนจากการเก็บสะสมมาเป็นการใช้ออกไปเหมือนกับการจำศีล การที่เศรษฐกิจไม่ดีจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เมืองชายแดนเมื่อก่อนนี้เรียกได้ว่าถูกละทิ้งไม่มีใครสนใจ แม้แต่คนก็ยังไม่มี แล้วจะไปมีการค้ากับการผลิตได้อย่างไร
แต่เขากลับรู้ว่าการจำศีลจริงๆ แล้วมีไว้เพื่อปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ ที่มนุษย์สามารถยืนอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้ก็เป็นเพราะพวกเขามีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ซึ่งเรือซีเมนต์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ลม แล้วก็ไม่มีความเหนื่อยล้านั้นได้ทำลายอุปสรรคเรื่องที่มีหิมะทับถมลง ระบบทำความร้อนกับหน่วยพยาบาลก็แก้ปัญหาความกังวลให้กับผู้คน การทำงานอยู่ในโรงงานก็ไม่จำเป็นต้องกลัวลมหนาว ในตอนที่ข้อจำกัดของธรรมชาติค่อยๆ ถูกขยายออกไป สุดท้ายช้าเร็ววันนี้ก็ต้องมาถึง
นอกจากนี้พิธีราชาภิเษกกับการสถาปนาเมืองหลวงใหม่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัวเลขต่างๆ ในสถิติเพิ่มขึ้น ผู้คนมักจะชอบเดินทางมายังสถานที่ที่มีความคึกคัก ไม่ว่าจะกี่พันปีจุดนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนไป
ตอนนี้แม่น้ำแดงที่ดูกว้างขวางเริ่มดูแน่นขึ้นมานิดหน่อย เมื่อปีที่แล้วเรือซีเมนต์ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ผลิตมามีมากกว่า 500 ลำ รูปแบบของมันก็เปลี่ยนแปลงไปหลายรูปแบบ จากตอนแรกที่เป็นแค่เพียงเรือขนส่งแบนๆ เท่านั้น ตัวเรือที่สามารถขนย้ายสินค้าและผู้คนได้อย่างรวดเร็วผ่านทางรูที่ทำเอาไว้นั้นได้รับคำชื่นชมจากสมาคมหอการค้าใหญ่ๆ ไม่น้อย บวกกับโอกาสทางการค้าจากการที่มีคนจำนวนมากอพยพมา จึงทำให้ท่าเรือของเมืองต่างๆ มีเรือซีเมนต์ปรากฏอยู่เต็มไปหมด
หลังจากที่ข่าวขึ้นครองราชย์แพร่กระจายออกไป ทุกๆ วันจะมีคนเดินทางมาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ผ่านทางแม่น้ำประมาณ 500 – 600 คน เมื่อหนึ่งปีก่อนบารอฟคิดว่าประชากร 1 แสนคนนั้นเป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้ยาก แต่ตอนนี้ประชากรรวมภายในดินแดนตะวันตกมีเกือบ 2 แสนคน โดย 90% ในนั้นอาศัยอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์
ซึ่งนี่ก็ทำให้เมืองหลวงใหม่นั้นแตกต่างไปจากเมืองอื่นๆ ในสมัยก่อน มันไม่มีทั้งกำแพงเมืองอันใหญ่โต แล้วก็ไม่มีการแบ่งเขตเป็นเมืองชั้นนอกเมืองชั้นใน หากแต่ใช้ถนนที่เป็นวงๆ ในการแบ่งเมืองเป็นชั้นๆ ขยายออกไปเรื่อยๆ เหมือนกับป่าที่สร้างขึ้นมาจากตึกที่อยู่อาศัยอย่างไรอย่างนั้น
เนื่องจากรูปแบบของบ้านเรือนนั้นคล้ายๆ กัน แล้วก็ไม่มีสิ่งก่อสร้างที่ดูวิจิตรตระการตา ทำให้เมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อยเหมือนกัน
แต่ว่าเมื่อคำพูดเหล่านี้ไปถึงหูโรแลนด์ เขากลับมองว่ามันเป็นคำชมอย่างหนึ่ง
ถ้าไม่เป็นเพราะแบบนี้ เมืองเนเวอร์วินเทอร์จะรองรับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของประชากรได้อย่างไร? เพราะประชากร 2 แสนคนนั้นเท่ากับจำนวนประชากรรวมของเมืองอื่นๆ ถ้าขืนยังจะให้สร้างกำแพงเมืองขึ้นมาล้อมเอาไว้ แล้วสร้างโบสถ์ใหญ่ สร้างหอนาฬิกากับพระราชวังขึ้นมาอีก เกรงว่าคงต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปีแน่
ประชากรคือฐานของการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคของอุตสาหกรรม เป็นสิ่งที่รับประกันว่าจะสามารถขยายโรงงานออกไปได้มากขึ้น แล้วก็เป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง ส่วนเรื่องความสวยงามอะไรนั้นเขาไม่เคยคิดถึงมันเลยแม้แต่น้อย
พูดอีกอย่างก็คือสำหรับเขาแล้ว ปล่องควันที่ปล่อยควันร้อนๆ ออกมานั้นยังสวยงามกว่าพระราชวังเสียอีก
เมื่อคิดถึงความล่าช้าในการแพร่กระจายของข่าวสารแล้ว การเจริญเติบโตในปีหน้าน่าจะเร็วจนน่าตกใจมากกว่านี้อีก
“ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวจะได้รับรางวัลอย่างที่เจ้าสมควรจะได้”
“การได้เป็นหัตถ์ของพระองค์นั้นถือเป็นรางวัลที่ดีที่สุดของกระหม่อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเพราะแผนการอันชาญฉลาดของพระองค์ กระหม่อมเพียงแต่ทำตามคำสั่งของพระองค์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” บารอฟลูบเคราอย่างภูมิใจ
โรแลนด์ส่ายหัวยิ้มๆ ขึ้นมา “เจ้ายังมีเรื่องอื่นจะรายงานอีกไหม?”
“เอ่อ…พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” หัวหน้าสำนักบริหารหยิบเอาจดหมายสองฉบับออกมาจากในเสื้อ “ถึงแม้จดหมายสองฉบับนี้จะส่งมาที่สำนักบริหาร แต่กระหม่อมคิดว่ามีเพียงพระองค์เท่านั้นที่จะตัดสินพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้?” โรแลนด์รับเอาจดหมายมา ชื่อคนที่ส่งจดหมายฉบับมานั้นค่อนข้างคุ้นตา เหมือนกับว่าเขาเคยได้จากที่ไหนมาก่อน “เคแกน เฟส?”
“ท่านเคแกนนั้นเป็นปรมาจารย์ด้านการแสดงละครเวทีของเมืองหลวงเก่า เขาเคยพาคณะละครเวทีของตัวเองมาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์เพื่อจะแสดงให้พระองค์ทอดพระเนตรในพิธีราชาภิเษก แต่ตอนนั้นพระองค์ก็ได้ปฏิเสธไปพ่ะย่ะค่ะ” บารอฟพูดเตือนขึ้นมา
โรแลนด์นึกออกทันที ครั้งแรกเขาได้ยินชื่อนี้มาจากวาณิชหญิงมาร์จอรี ตอนนั้นเขาถูกนางถามว่าใครคือคนที่สนิทที่สุดตอนอยู่ที่เมืองหลวง เขาจึงได้พูดชื่อของมือวิเศษฮิวโก้ขึ้นมา ผลคือเขารู้สึกอับอายอย่างมาก และในตอนก่อนที่งานราชาภิเษกจะเริ่มขึ้น เจ้าหน้าที่ของทางสำนักบริหารก็ได้รายงานเขาเรื่องนี้จริงๆ แถมยังได้เอาบทละครมาให้เขาดูด้วย แต่เขากวาดตาดูไปไม่เท่าไรก็ปฏิเสธคำขอของอีกฝ่ายไป เพราะหนังเวทมนตร์ที่โลก้าแสดงนำนั้นเป็นละครสำคัญที่เขาทำการเตรียมตัวมาเป็นเวลานานแล้ว อีกทั้งเขารู้สึกว่าละครรักๆ ใคร่ๆ ที่ไร้รสชาติของอีกฝ่ายนั้นค่อนข้างน่าเบื่อ
“ก่อนเขาไปเขาได้ทิ้งจดหมายฉบับนี้เอาไว้ ถึงแม้กระหม่อมจะรู้ว่าไม่จำเป็นต้องมารบกวนพระองค์ด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้….ทว่าอันที่จริงเขาก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงมายาวนาน พระองค์จะทรง…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เสียงของหัวหน้าสำนักบริหารก็เบาลงเรื่อยๆ เหมือนเขาอยากจะพูดอะไรออกมาแต่ก็ไม่กล้าพูด
โรแลนด์เองก็ฟังออกเหมือนกัน
วันที่ที่ระบุเอาไว้บนจดหมายนั้นผ่านมาเกือบอาทิตย์หนึ่งแล้ว แต่บารอฟกลับเพิ่งเอามาให้ตัวเองตอนนี้ นี่แสดงให้เห็นถึงความลำบากใจของอีกฝ่าย เจ้าชายลำดับที่สี่นั้นไม่ชื่นชอบละครเวทีแบบเดิมๆ การปฏิเสธไปอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้ยิ่งเป็นการย้ำชัดในเรื่องนี้ บารอฟคงกลัวว่าเขาจะหงุดหงิด ก็เลยเพิ่งเอามาให้เขาดูในตอนนี้ เพื่อให้เขาได้อ่านจดหมายที่ปรมาจารย์ด้านการแสดงเขียนขึ้นมาหน่อย
โรแลนด์มองออกว่าบารอฟนั้นค่อนข้างเคารพนับถือเคแกน เฟสทีเดียว
พูดอีกอย่างก็คือไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นมาร์จอรีก็ดี หรือหัวหน้าอัศวินก็ดี คนที่มาจากเมืองหลวงเก่าเหมือนจะค่อนข้างให้ความสำคัญกับปรมาจารย์ด้านการแสดงคนนี้ทีเดียว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นอ่านดูหน่อยก็แล้วกัน
โรแลนด์ยักไหล่ แล้วรับเอาจดหมายมาอ่านดู
เนื้อหาในจดหมายเป็นการสอบถามเกี่ยวกับวิธีทำหนังเวทมนตร์
เคแกนเขียนเอาไว้ในจดหมายว่าตอนแรกเขาไปถามทางคณะละครสตาร์ฟลาวเวอร์ แต่เมย์กลับบอกว่าทางคณะละครของเธอรับผิดชอบในเรื่องการแสดงเท่านั้น คนที่ทำให้มันกลายเป็นภาพมายาจริงๆ ก็คือสโมสรแม่มด ส่วนเรื่องรายละเอียดนั้นอาจจะถือว่าเป็นความลับ เธอจึงไม่อาจตอบโดยพลการได้ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเขียนจดหมายไปสอบถามทางสโมสรแม่มดอีกฉบับ แต่ผลก็คือถูกปฏิเสธกลับมาอย่างรวดเร็ว เหตุผลก็เป็นเพราะห้ามมีการส่งจดหมายโดยตรงภายในเขตปราสาท สุดท้ายเขาจึงได้แต่ต้องไปหาสำนักบริหาร โดยหวังจะให้ทางสำนักบริหารเป็นตัวแทนในการสอบถามให้เขา
ท่าทีที่กัดไม่ปล่อยของอีกฝ่ายนั้นทำให้โรแลนด์ค่อนข้างแปลกใจ ตามปกติแล้ว ยิ่งถ้าเป็นคนที่เป็นผู้นำในสายอาชีพใดอาชีพหนึ่ง เวลาที่ถูกล้มความคิดที่มีอยู่เดิม พวกเขาก็จะยิ่งรู้สึกเสียกำลังใจอย่างมาก แต่ในตัวหนังสือของเคแกนกลับเต็มไปด้วยความปรารถนาที่มีต่อหนังเวทมนตร์ ไม่ได้มีความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังแม้แต่น้อย
“ข้ารู้แล้ว” โรแลนด์นิ่งไปครู่ก่อนจะตอบออกมา “เดี๋ยวข้าจะเขียนตอบเขากลับไปเอง”
เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นละครเวทีหรือหนังเวทมนตร์ก็ล้วนแต่เป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ทั้งหมด เขาไม่มีเวลา แล้วก็ไม่มีสมาธิเหลือที่จะไปถ่ายเรื่องราวความรักในวังแบบเก่าๆ อีก เขาคิดว่าควรจะอธิบายไปตรงๆ เพื่อให้อีกฝ่ายตัดใจซะ
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” บารอฟถอนหายใจออกมา
“แล้วอีกฉบับล่ะ?” โรแลนด์ถามพร้อมกับกางจดหมายออก ในเมื่อเป็นจดหมายที่ส่งมาให้สำนักบริหาร ตัวหัวหน้าสำนักบริหารก็น่าจะคัดเลือกมาแล้ว
“เป็นจดหมายของพ่อค้าคนหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ เขาบอกว่าตัวเองชื่อวิคเตอร์ โลธา”
“ในที่สุดครั้งนี้ก็ไม่ได้มาติดต่อเรื่องถุงนมกับป๊อนคอร์นแล้วเหรอ?” โรแลนด์พูดยิ้มๆ
“พ่ะย่ะค่ะ เขาอยากจะขอซื้อฝ้ายพ่ะย่ะค่ะ” บารอฟพยักหน้า
“ฝ่าย?” โรแลนด์หยุดมือทันที “แต่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ไม่ได้ผลิตของแบบนี้นี่นา”
“ดังนั้นเขาจึงอยากจะจ้างให้คุณหนูลีฟของสโมสรแม่มดผลิตมันขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ” บารอฟตอบ