Reincarnated • The Hero Marries the Sage ~After Becoming Engaged to a Former Rival, We Became the Strongest Couple~ - ตอนที่ 1
อารัมภบท
ในบางประเทศ มีชายคนหนึ่งที่ถูกเรียกว่า ‘วีรชน’
เขาเชี่ยวชาญอาวุธทุกประเภท ทุ่มตัวเองเข้าสู่สมรภูมิรบมากมายโดยไม่พ่ายแพ้ ไม่เคยคุกเข่าลงเลยแม้แต่ครั้งเดียวจนกระทั่งชีวิตบั้นปลาย และพลิกผันที่สิ้นหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นี่คือเหตุผลที่เขาถูกเรียกว่า ‘วีรชน’
เเละประเทศ ที่มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้ถูกเรียกว่า’นักปราชญ์’
เธอทำให้วิทยาการเวทกลายเป็นรูปแบบใหม่ ‘เวทมนตร์’ ที่เอาไว้ใช้ในโต้กลับในสงคราม และเพิ่มพลังให้กับทหารทั้งประเทศ
นี่คือเหตุผลที่เธอถูกเรียกว่า ‘นักปราชญ์’ และได้รับการยกย่อง
เป็นอัจฉริยะที่มีความสามารถต่างๆ เเละ’วีรชน’กับ’นักปราญ’ก็อยู่กันคนล่ะประเทศ
ถ้าจะให้อธิบายความสัมพันธ์ของพวกเขาด้วยคำเดียวก็คงจะเป็น ――
“―― โย่ มาจนได้นะ”
ท่ามกลางสมรภูมิ ‘วีรชน’ ―― เรด ฟรีดเดน ถือดาบใหญ่ที่เกินความสูงของเขา
ปกติไม่มีใครยอมฟังคำพูดของศัตรู
อย่างไรก็ตาม… หญิงสาวที่ลอยอยู่ในอากาศตอบอย่างเงียบๆ
“– ใช่. ฉันได้ยินมาว่าเรดจะมาที่นี่น่ะ”
เสียงของหญิงสาวฟังดูดีอย่างประหลาด แม้จะเป็นเพียงเสียงกระซิบอู้อี้
ผมสีเงินเป็นประกายนั่งอยู่บนไม้เท้าของเธอและเสื้อผ้าที่พลิ้วไหวไปตามสายลม
เธอแสยะยิ้มให้กับความหายนะที่เรดได้ก่อขึ้น
“…ฉันจะให้นายไปทำลายอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้เเล้วล่ะ”
“โอ้? ก็ช่วยไม่ได้นิ เพราะหากพวกเจ้ายึดเส้นทางเสบียงได้ ฐานของฉันก็จะถูกบดขยี้น่ะสิ และเราก็อาจจะเเพ้เลยก็ได้”
“งั้นเหรอ. เพราะงั้นนั่นคือเหตุผล ที่… ฉันจะไม่ปล่อยให้ทำอะไรตามใจชอบอีกเเล้วล่ะนะ”
ขณะที่เธอพูดนั้น ลวดลายนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นรอบตัวเธอ
‘ นักปราชญ์―― เอลเรีย คาลด์เวน ได้สร้างเทคโนโลยีที่เหนือกว่าเวทมนตร์ธรรมดาไปเเล้ว
“วันนี้ฉันเอาเวทมนตร์ใหม่มาฝาก”
“ฉันรอไม่ไหวเเล้วที่ ยุติการต่อสู้นับร้อยครั้งของเรา”
“วันนี้… มันจะเป็นการต่อสู้ครั้งที่ 629นะ”
“มันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย? ขอบคุณที่เตือนฉันล่ะ”
“…เพราะเรดลืมทุกครั้งเลยไงคะ”
“ช่วยไม่ได้นี่ ก็ฉันขี้ลืมนี่นา”
หลังจากพูดจบ เรดก็ชี้ดาบใหญ่ไปที่เอลเรีย
“เอาเข้าจริง ―― ฉันก็ไม่อยากจะให้ไครเห็นนิสัยที่น่าสมเพชของฉันในฐานะ ‘วีรชน’หรอกนะๆ”
เมื่อมองไปที่รอยยิ้มของเรด เอลเรียพยักหน้าอย่างใจเย็น
“งั้นเหรอ… ฉันก็ยังถูกเรียกว่า ‘นักปราชญ์’ เพราะงั้นเเล้วครั้งนี้ฉันจะต้องชนะให้ได้”
เมื่อเห็นวงกลมเวทมนตร์เริ่มเปล่งแสงที่รุนแรง เรดหยิบดาบใหญ่ของเขาและเข้าสู่ท่าทางการต่อสู้
นี่คือกิจวัตรประจำวันของ ―― ‘วีรชน’ และ ‘นักปราชญ์’ ผู้ซึ่งถูกเรียกว่าแข็งแกร่งที่สุด
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ระหว่างทั้งสองจะไม่มีวันยุติลง
และนั่นเป็นเพราะทั้งสองเเข็งเเกร่งเกินไป
พวกเขาต่อสู้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเป็นเวลาสามวันสามคืน แต่แทนที่การเคลื่อนไหวจะช้าลง เเต่กลับการเคลื่อนไหวของพวกเขากลับเฉียบคมขึ้น ราวกับว่าพวกเขากำลังสนุกกับการต่อสู้
การต่อสู้ของพวกเขาจะจบลงเมื่อสถานการณ์ของสงครามทั้งสองด้านเปลี่ยนไป เเล้วก็พวกเขาจะกลับไปที่ฐานเพื่อไปที่ฝ่ายของตนเพื่อจัดการกับกองกำลังของตนเองก่อนที่จะเริ่มการต่อสู้อีกครั้ง
เเล้วจากนั้นพวกเขาจะพบกันในสนามรบ และประลองดาบและเวทมนตร์อีกครั้ง
และนี่เป็นกิจวัตรประจำวันของพวกเขา และยังคงทำซ้ำทุกครั้งที่เกิดการต่อสู้
ความสัมพันธ์ระหว่าง ‘วีรชน’ และ ‘นักปราชญ์’ สามารถอธิบายได้ดีที่สุดด้วยคำเดียวโดยเรด
‘คู่แข่ง.’
คนเดียวที่เขาสามารถทุ่มสุดตัวและต่อสู้ในสมรภูมิที่เขาชอบอย่างแท้จริงจากก้นบึ้งของหัวใจ
และนั่นคือ เอลเรีย คาลด์เวน ‘นักปราชญ์’
อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์นั้นจะไม่คงอยู่ตลอดไป
ไม่ว่าคุณจะเป็นใครหรืออะไรก็ตาม เราไม่สามารถหลีกหนี’ความตาย’ได้
เพราะงั้นแม้แต่การต่อสู้ที่สนุกสนานเหล่านี้ก็จะจบลง
ในที่สุดบทสรุประหว่างทั้งสองจะเกิดขึ้นและจะมีการตัดสินว่าใครแข็งแกร่งที่สุด
บทสรุปของจุดจบก็มาถึง
―― ห้าสิบปีหลังนั้น.. ――
‘นักปราชญ์’ ตายแล้วเหรอ?”
ใบหน้าเหี่ยวย่นของเรดบิดเบี้ยวเมื่อเขาได้ยินคำพูดจากทหารที่ได้รับข้อความ
“แน่ใจเหรอไลแอตต์”
“ย-ใช่…! ข้อมูลนี้น่าเชื่อถือมากเพราะเป็นข้อความด่วนที่ส่งมาจากสายลับที่แฝงตัวอยู่ในเวกัลตะ…!!”
“ฮ่าา… จริงสิ… ฉันคิดว่าฉันจะตายก่อนซะอีก”
เรดโพล่งออกมาขณะที่เขาสางผมสีขาวของเขา
เอลเรีย คาลด์เวน ไม่ใช่มนุษย์
เธอเป็นเผ่าเอลฟ์ที่มีอายุยืนยาวและมีอายุยืนยาวหลายร้อยปี
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ในการต่อสู้หลายครั้งที่พวกเขามีเอลเรีย เรดสันนิษฐานว่าบทสรุปของการต่อสู้ระหว่างพวกเขาสองคนคือความพ่ายแพ้และความตายของเขาเอง ในขณะที่เขาต่อสู้กันไปหลายปีและเรดก็ทรุดโทรมลงมาก
เเละเรดก็ดูน่าอึดอัดอย่างมาก
“พระราชกฤษฎีกา ถูกส่งไปยัง ฯพณฯ ฟรีเดน หลังจากทราบข่าวการเสียชีวิตของนักปราชญ์!!”
“อะไรนะ พวกมันบอกว่าฉันเป็นคนแก่ที่ไร้ประโยชน์แล้วงั้น ตอนนี้ ‘ปราชญ์’ ตายแล้วจริงๆใช่ไหม”
“ไม่-ไม่…”
ครู่หนึ่ง ได้มีทหารที่มีสีหน้าขมขื่นก่อนจะประกาศ
“พระราชกฤษฎีกาจากอาณาจักร อัลเตน คือ… ‘ตอนนี้ นักปราชญ์ ตายแล้ว คุณต้องใช้ประโยชน์ จากเรื่องนี้เเล้วทำลายเมืองและนำกองทัพทั้งหมดของเราบุกประเทศ เวกัลตา และยุติสงครามที่ยาวนานด้วยเถอะ’ ” ทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น เรดก็พูดไม่ออก “…เฮ้ อย่าจริงจังกับเรื่องนั้นนักสิ”
ทหารคนนั้นตัวสั่นด้วยความกลัวในขณะที่เรดโกรธมาก
อย่างไรตามทหารก็ยังคงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“…ผมอยู่กับ ในฐานะผู้ถือธง และผมเข้าใจว่าคุณและ นักปราชญ์ รู้สึกอย่างไรเมื่อคุณทั้งคู่สู้กัน และทุกคนที่อยู่ในสนามรบก็รู้ว่าทั้งสองไม่ต้องการให้ชีวิตของทหารพังทลายโดยเปล่าประโยชน์”
แม้จะมี ‘วีรชน’ และ ‘นักปราชญ์’ ผู้ยิ่งใหญ่ การสูญเสียคนในทั้งสองประเทศนั้นก็น้อยมากเมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์การตายของประชาชนที่ผ่านมา
หาก ‘วีรชน’ และ ‘นักปราชญ์’ ใช้พลังอย่างเต็มที่ พวกเขาคงจะสร้างความเสียหายอย่างมากต่อทหาร
เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น เรดได้เข้าร่วมการต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับเอลเรีย
และบางที ―― เอลเรียก็คิดเช่นเดียวกัน
นั่นคือเหตุผลที่ทั้งสองต่อสู้กันทุกครั้งที่เกิดสงคราม
และเเบบนี้… พวกเขาเชื่อว่าในที่สุดแล้วจะมีอนาคตที่ทั้งสองประเทศที่เคยทำสงครามกันจะมารวมตัวกันเพื่อสร้างสันติภาพและอยู่ร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม ความปรารถนาของ ‘วีรชน’ และ ‘นักปราชญ์’ ไม่เคยจะเป็นจริง
พวกระดับสูงจาก อัลเตน ไม่เข้าใจพวกเขาเลย
“นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันหงุดหงิดมาก…! เราไม่สามารถใช้ความตายของ ‘นักปราชญ์’ ผู้ยิ่งใหญ่ที่ต้องการสันติภาพกับ กับความเก่ง เพื่อที่จะทำสงคราม! เราควรจะคร่ำครวญถึงการตายของเธอแทนสิ…!!”
เรดยิ้มให้ทหารที่กำลังหลั่งน้ำตา รอยย่นฝังลึกบนใบหน้าของเขา
“…พูดบางสิ่งที่…..”
บางทีคำพูดก็จริงใจ นายทหารผู้นี้และใครก็ตามที่ได้เห็นการต่อสู้ระหว่าง ‘วีรชน’ และ ‘นักปราชญ์’ อย่างใกล้ชิด คงจะมีความรู้สึกเดียวกัน
นั่นคือเหตุผลที่ ―― เรดค่อยๆ ยืนขึ้น
“ฉันยังมีบ้างอย่างที่จะต้องพูดกับเธอให้ได้”
เมื่อพูดอย่างนั้น เรดก็ถอดชุดเกราะออก ถอดถุงมือและสนับแข้งออก
“…คุณจะทำอะไร”
“อา? ฉันแค่ไปเดินเล่น ฉันแก่เกินไปที่จะสวมชุดเกราะเเล้วล่ะ”
จากนั้นเรดมองไปที่ดาบใหญ่ที่พิงกำแพง
ในฐานะเพื่อนเพียงคนเดียวที่ต่อสู้กับ ‘นักปราชญ์’
เขาแทงดาบใหญ่ลงบนพื้น ――
“―― ฉันไม่อยากใส่เกาะไปรบเพื่อไปหาเพื่อนหรอกนะ?”
◇
เหตุการณ์นั้นถูกอธิบายอย่างไรในภายหลัง @@
แต่มีคำพูดหนึ่งที่ทำให้หลายคนพูดตลอดทาง
เรด ฟรีเดน ‘วีรชน’ เป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง
จากนั้นเขาฝ่าแนวหน้าซึ่งอยู่ภายใต้การเฝ้าระวัง ต่อสู้กับทหารที่เข้ามาสกัดกั้นเขาทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว และมุ่งตรงไปยังเมืองหลวงของเวกัลตา
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครเสียชีวิตในการสู้รบ
ราวกับว่ามันถูกสร้างขึ้นเพื่อรวบรวมความรู้สึกแบบเดียวกับ ‘นักปราชญ์’
และแล้ว ―― เรดก็มาถึงเมืองหลวง
เพื่อตอบสนองต่อการรุกรานของ ‘วีรชน’ ทหารในเมืองหลวงกำลังปกป้องเมื่องด้วยกำลังทั้งหมดของพวกเขา
“หยุดเขา! ถ้าเราไม่หยุดเขาตอนนี้ ――”
อย่างไรก็ตาม เหล่าทหารต่างพูดไม่ออกเมื่อเห็นเรด
เรดหันไปหาพวกเขาด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัวและพูดว่า
“โอ้ฉันขอโทษ. ฉันเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว เพราะงั้นให้ฉันผ่านไปเถอะ”
เรดมองตรงไปที่ขบวนแห่ศพ
“ฉันเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้แล้ว ตอนที่ฉันบุกประเทศศัตรู…!!”
เรดกระทืบเท้าที่สั่นของเขาลงบนพื้น
เสียงของดังกึ่งกล้องไปทั่ว
เลือดที่ไหลออกจากร่างกายของเขามันเยอะมากเลยเลือดก็อาบทั่วไปเต็มพื้น
มันเป็นร่างที่สมควรถูกเรียกว่าสัตว์ร้ายที่บาดเจ็บอย่างแท้จริง
มีเลือดออกทั้งตัว มีบาดแผลฉกรรจ์ เสื้อผ้าของเขาราวกับว่าพวกเขาเป็นผ้าขี้ริ้ว ถูกไฟไหม้ในบางแห่ง และหอกหินและดาบน้ำแข็งที่สร้างขึ้นโดยเวทมนตร์ก็แทงตัวเขายื่นออกมาจากหลังและขาของเขา
แต่ก็ยัง ―― นั่นไม่ได้หยุดเรด
“ฉันจะตายในแบบที่ฉันต้องการเมื่อฉันได้คุยกับเธอเสร็จ…!”
เรดบอกทหารที่ยืนอยู่ตรงนั้น พลางกระอักเลือดออกจากปากของเขา
“ เพราะงั้น ―― อย่ามาขวางทางฉันตอนนี้!! ”
เขาคำรามเหมือนสัตว์ร้ายและมุ่งตรงไปยังโลงศพ
ไม่มีใครหยุด ‘วีรชน’ ได้อีกเเล้ว
แม้ว่าเขาจะต้องตาย ร่างของเขาก็ยังสง่างาม
และในที่สุดก็ —
“――โย่ เอลเรีย”
เขาเรียก ‘นักปราชญ์’ ที่นอนอยู่ในโลงศพ
แต่ไม่มีคำตอบว่า
“เฮ้เฮ้… เธอตายจริงๆเหรอ? จะไม่ฟื้นขึ้นมาสู้กับฉันหน่อยเหรอ?”
เอลเรีย นอนอยู่ในโลงศพเธอดูสวยงามมาก
เธอดูเหมือนกับตอนที่พบกันครั้งแรกในสนามรบเมื่อห้าสิบปีก่อน
ร่างของหญิงสาวที่ไม่เคยแก่
แต่ร่างกายของเธอก็ไม่เคลื่อนไหวเช่นกัน
“เอาจริงๆนะ… พวกเราแข็งแกร่งเกินไป พวกทหารไม่แข็งแกร่งเท่าพวกเราเลยซักนิด แต่พวกเขาใช้เวทมนตร์เเข็งเเกร่งอย่างมาก มันยากที่จะยอมง่ายๆ ”
เขาหัวเราะเยาะเอลเรียที่ยังคงนอนอยู่ในโลงศพ แต่ตาของเธอไม่เคยเปิด
“ฉันรู้ว่า… เธอเป็นคนที่เหลือเชื่อ ไม่เหมือนกับฉัน เธอกำลังคิดถึงอนาคตของประเทศ และผู้คนมากมายโศกเศร้ากับการตายของเธอ”
เรดมองไปรอบๆ ด้วยสายตาที่พร่ามัว
ประชาชนร่วมไว้อาลัยต่อการจากไปของ ‘นักปราชญ์’ ผู้ยิ่งใหญ่
พวกเขาทั้งหมดต่างหลั่งน้ำตาให้กับการจากไปของ ‘นักปราชญ์’ ผู้ยิ่งใหญ่อันเป็นที่เคารพของพวกเขา
ขณะที่เขาจ้องมองไปยังที่โรงศพ วิสัยทัศน์ของเรดก็เริ่มบิดเบี้ยว
“ในท้ายที่สุด เราตัดสินใจไม่ได้ว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน… แต่ฉันสนุกกับการต่อสู้กับคนอย่างเธอนะ…”
เขาคุกเข่าลงบนพื้น
ถึงกระนั้นเรดก็ใช้กำลังที่เหลืออยู่เพื่อพูด
“ถ้า… เราอยู่ในประเทศเดียวกัน ――”
สติกำลังเลือนลางและคำพูดก็สับสน
เขาแสดงความรู้สึกที่มีมายาวนานต่อ ‘นักปราชญ์’ ที่เดินร่วมสนามรบไปกับเขา
“―― ฉันคิดว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้”
เรดเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยรอยยิ้มสดใส
เมื่อความเหนื่อยล้าเริ่มก่อตัว การมองเห็นของเขาก็จางหายไปจนมืดสนิท
“บางที… เรา ――”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ร่างกายของเขาก็เดินโซซัดโซเซ และเขาถูกห่อหุ้มด้วยความรู้สึกล่องลอยแปลกๆ
แต่เรดเองก็พอใจ
เขาสามารถพูดคำที่เขาถือมากว่าห้าสิบปี
อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถพูดได้ว่าเขาไม่เสียใจ
กว่าห้าสิบปีก่อน เขาได้ทำสัญญากับเอลเรียเป็นครั้งแรก
คำสัญญาไม่สำเร็จ
‘มาตัดสินกันว่าใครแข็งแกร่งกว่ากัน’
นี่คือคำมั่นสัญญาที่ทำขึ้นในสนามรบระหว่างคนสองคนที่อยู่คนละด้านของการต่อสู้
คิดถึงคำสัญญาที่ให้กับเธอ ――
‘วีรชน’ ―― เรด ฟรีเดน สิ้นใจขนาดที่แหงนมองท้องฟ้า
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะครับ
ผมก็พึงจะมาเเปลนิยายถ้าแปลผิดตรงไหนหรือแปลไม่พอใจไครก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ
ผมหวังว่าทุกคนจะชอบนะครับ
เเล้วก็ฝากติดตามเพจผมด้วยนะครับ ‘ผมชอบการแปล’