Rebuild World - ตอนที่ 10 เอเลน่ากับซาร่า
10 – เอเลน่ากับซาร่า
อากิระฝึกยิงปืนในพื้นที่รกร้างใกล้กับซากปรักหักพังของเมืองคุซึซึฮาระ
เขากระชับปืนขณะที่พยายามจัดท่าทางให้เข้าที่ เมื่อมองผ่านกล้องเล็ง เขาพยายามจัดแนวเส้นทำนายวิถี หรือเรียกสั้นๆ ว่าเส้นTP ไปยังก้อนหินก้อนเล็กๆ แต่เส้น TP สีฟ้าจากการสนับสนุนของอัลฟ่านั้นไหวเล็กน้อยเนื่องจากการหายใจของอากิระ
อากิระสูดหายใจเข้าลึก กลั้นหายใจ และรวบรวมสมาธิ เมื่อเส้น TP สีฟ้าหยุดแกว่ง เขาก็เหนี่ยวไก
กระสุนที่พุ่งออกจากปากกระบอกปืนฉีกผ่านอากาศเป็นเส้นตรงก่อนจะกระแทกก้อนหินก้อนนั้นกระจุยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“โอ้! ทำได้ดี”
หลังจากยิงโดนเป้าหมาย 3 ครั้งติดต่อกัน อากิระรู้สึกว่าทักษะการยิงของเขาเพิ่มขึ้นและหัวเราะอย่างมีความสุข เขาเข้าใจดีว่าเขายังคงพึ่งพาการสนับสนุนจากอัลฟ่าเกือบทั้งหมด และคงเป็นไปไม่ได้ที่ตัวเขาคนเดียวจะโจมตีเป้าหมายให้โดนได้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าทักษะของเขาดีขึ้นเมื่อเทียบกับตอนที่เขายังเป็นเพียงมือสมัครเล่น
อัลฟ่ายิ้มอย่างมีความสุข
“ดูเหมือนว่านายในตอนนี้ได้จบการศึกษาจากการเป็นนักล่ามือสมัครเล่นแล้ว การพัฒนาของนายค่อนข้างน่าทึ่งเลยทีเดียว”
หากมีใครได้รับคำชมหลังจากทำงานหนักมาเป็นเวลานาน คนๆ นั้นจะรู้สึกมีความสุข และแม้แต่คนที่เฉยชาอย่างอากิระก็ไม่มีข้อยกเว้น ขณะที่อากิระยิ้มให้อัลฟ่า เธอก็ยิ้มกลับมาอย่างมีนัยยะ
“เอาล่ะ หลังจากนี้ก็ตั้งใจฝึกแบบนี้ด้วยนะ ตอนนี้นายสามารถบรรลุเป้าหมายแรกได้แล้ว เรามาต่อกันที่เป้าหมายถัดไป เราจะเปลี่ยนเป้า นายแค่ต้องทำสิ่งที่ฝึกฝนมา …พยายามยิง”มัน”โดยคิดว่านายจะถูกฆ่าถ้ายิงพลาด”
จากนั้นอัลฟ่าก็ชี้ไปที่เป้าหมายต่อไปของอากิระ เขาแสดงความงุนงงเล็กน้อยในขณะที่เขาเคลื่อนสายตาไปที่ “มัน”ที่อัลฟ่าพูดถึง …แต่ใบหน้าของเขากลับซีดลงทันทีเมื่อสายตาจับจ้องไปที่เป้าหมายต่อไป มันเป็นสุนัขสงครามที่เกือบฆ่าเขาเมื่อครั้งก่อน
สุนัขสงครามขนาดตัวกว่า 2 เมตร มันเป็นสุนัขสงครามที่มีปืนกลหนัก (Gatlinggun)ขนาดใหญ่ งอกอยู่บนหลัง รูปลักษณ์ใหญ่โตของมันดูเด่นชัดมากจนไม่สามารถแอบซ่อนได้ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น อากิระก็ไม่ได้สังเกตเห็นมันจนกระทั่งตอนนี้
อากิระอึ้งไปเล็กน้อย แต่เขาก็สงบสติอารมณ์ได้ในทันทีและกำลังจะวิ่งหนี จนเมื่ออัลฟ่ายิ้มและพูดขึ้น
“อย่าตกใจ มันเป็นแค่ภาพ”
อากิระมองอัลฟ่าอย่างไม่เข้าใจ เมื่อเขาเห็นรอยยิ้มของเธอที่บอกว่าไม่มีอันตราย เขาถึงได้สงบลง ด้วยความสงสัยอากิระจึงเล็งปืนไปที่สุนัขสงคราม ด้วยใจสั่นสะท้าน สุนัขสงครามตรงหน้าดูเหมือนจริงมากไม่ว่าเขาจะมองมันมุมไหนก็ตาม แต่เพราะมันยืนนิ่งสนิทและไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ เขาจึงเล็ง เส้นTP ไปที่มัน …ในที่สุดเขาก็มั่นใจว่ามันไม่ใช่ของจริงและถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“อย่าทำให้ฉันตกใจแบบนั้นสิ”
แม้ว่าอากิระจะมองอัลฟ่าด้วยใบหน้าขึงขัง แต่อัลฟ่าก็ยังคงยิ้มให้เขาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“นายจะต้องต่อสู้กับสัตว์ประหลาดจำนวนมากนับจากนี้เป็นต้นไป ดังนั้นนายต้องคุ้นเคยกับพวกมันและรู้วิธีตอบสนองเมื่อสัตว์ประหลาดตัวปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน ถ้านายยังทำตัวเงอะงะเหมือนตอนนี้ นายจะตาย”
อัลฟ่าส่งสัญญาณให้อากิระทำการฝึกต่อ ดังนั้นเขาจึงเตรียมปืนให้พร้อมอย่างรวดเร็ว
“จุดอ่อนของมันคือบริเวณระหว่างตา ที่นายสามารถฆ่ามันได้ในนัดเดียว”
อากิระมองเป้าหมายของเขาผ่านอุปกรณ์เล็ง เป้าหมายของเขามีกล่องสีแดงแสดงจุดอ่อนตามร่างกาย อากิระพยายามจัดแนว เส้นTPสีฟ้า ให้ตรงกับจุดอ่อนนั้น แต่มือของเขาสั่น จึงทำให้เส้นTPแกว่งอย่างมาก
“…ใจเย็นๆ มันเป็นแค่ภาพจำลอง เป็นเพียงเป้าหมายอีกเป้าที่เหมือนกับหินก้อนเล็กๆ ก้อนนั้น…”
แม้ว่าเขาจะเข้าใจเรื่องนั้น แต่สิ่งน่ากลัวก็ยังน่ากลัวสำหรับเขา มันเป็นสัตว์ประหลาดที่เคยเกือบจะฆ่าเขา นอกจากเรื่องที่ว่ามันไม่เคลื่อนไหวเลย มันก็ดูเหมือนจริงมาก …เนื่องจากเขาต้องเล็งไปบริเวณดวงตา มันจึงเป็นการจ้องหน้ากันผ่านกล้อง ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะสงบสติอารมได้
อากิระสูดลมหายใจลึกๆสองสามครั้งและพยายามสงบสติอารมณ์ลงทีละน้อย เขาเกร็งแขนที่สั่นเทาของเขาเพื่อยับยั้งการแกว่งของเส้น TP ขณะที่เขาพยายามสงบสติอารมณ์ เขากลั้นหายใจ รวบรวมสมาธิ และเหนี่ยวไกปืน
อากิระทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว แต่กระสุนนั้นไม่โดนจุดอ่อนของสุนัขสงครามอย่างที่หวัง …มันไม่โดนสุนัขสงครามเลยด้วยซ้ำ มันไปตกกระทบลงพื้นด้านข้างของสุนัขสงครามแทน
หลังจากนั้นสุนัขสงครามก็เคลื่อนไหว มันขยับร่างกายอันใหญ่โตของมันอย่างรวดเร็วราวกับว่ามันตอบสนองต่อการยิงของเขา และเล็งปืนกลหนักของมันมาทางเขา อากิระที่มองจากอุปกรณ์เล็งบนปืนของเขาหยุดนิ่งอยู่กับที่ จากนั้นปืนกลหนักก็เริ่มหมุนและสร้างการระดมยิงชุดใหญ่
“ตายแน่!” นั่นคือสิ่งที่อากิระคิดในขณะที่เขายืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น
แต่ถึงอย่างนั้น กระสุนก็ไม่ได้โดนตัวเขา และเขาก็ยังห่างไกลจากความตาย เขาไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย เขาสับสนมากจนนึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงภาพจำลองเท่านั้น
ถ้านี่ไม่ใช่การฝึก เขาคงตายไปแล้ว ในที่สุดอากิระก็เข้าใจว่าทำไมอัลฟ่าถึงแสดงฉากนั้นให้เขาเห็น เขาถอนหายใจขณะพยุงร่างกายที่อ่อนปวกเปียกไม่ให้ล้มลง
“คราวหน้าบอกฉันก่อน…”
อากิระที่กำลังอ่อนแรงมองอัลฟ่าอย่างไม่พอใจ อัลฟ่าก็ชี้นิ้วของเธอไปที่พื้น …มีศพที่เต็มไปด้วยกระสุนนอนอยู่ที่นั่น และเมื่ออากิระสังเกตเห็นใบหน้าของศพนั้น เขาก็หน้าซีด
…มันเป็นศพของเขา
“ถ้านายไม่สามารถฆ่ามันได้ในนัดเดียว อย่างน้อยที่สุด การยิงนัดนั้นควรจะทำให้มันอ่อนแรงลงจนไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ ไม่เช่นนั้นมันจะโต้กลับและนายก็จะกลายเป็นแบบนี้ …พลาดคือตาย ฉันเคยเตือนเรื่องนั้นแล้วใช่ไหม? ฝึกฝนให้หนักเพื่อที่นายจะไม่จบลงแบบนี้ในการต่อสู้จริง”
“…โอเค…”
ใบหน้าของอากิระกระตุกเมื่อเห็นอัลฟ่าที่หัวเราะสภาพศพของเขา
อัลฟ่ารีเซ็ตภาพสัตว์ประหลาดและการฝึกก็ดำเนินต่อไปโดยมีมันเป็นเป้าหมาย อัลฟ่ากำหนดเป้าหมายเป็นสัตว์ประหลาดที่อากิระสามารถเอาชนะได้ด้วยอุปกณ์ปัจจุบัน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นอากิระกลับโจมตีไม่โดน และยังคงเห็นว่าตัวเองถูกฆ่าด้วยวิธีต่างๆ มากมาย ภาพศพของเขาจำนวนมากกระจายอยู่รอบๆ ตัวเขา ขณะที่อากิระมองดูซากศพเหล่านั้น เขาก็ฝึกต่อไปอย่างสิ้นหวัง เพื่อไม่ให้สภาพตัวเองเหมือนศพเหล่านั้นในชีวิตจริง
ต้องขอบคุณซากศพที่ทับถมกันอย่างต่อเนื่อง อากิระเริ่มที่จะจับจุดได้แล้ว เขาสงบสติอารมณ์ เล็งอย่างระมัดระวัง และเหนี่ยวไกปืนในขณะที่มั่นใจว่าคราวนี้จะเข้าเป้าอย่างแน่นอน และทันใดนั้น มอนสเตอร์ที่เป็นเป้าหมายก็หายไป อากิระค่อนข้างประหลาดใจเมื่อเขาวางปืนลง ภาพศพทั้งหมดก็หายไปจากรอบตัวเขาเช่นกัน
“อัลฟ่า วันนี้จบการฝึกแล้วเหรอ?”
“ไม่ใช่แบบนั้น …มีคนกำลังมาที่นี่”
อากิระดูงุนงงขณะดึงกล้องส่องทางไกลออกมา ต้องขอบคุณกล้องส่องทางไกลที่ได้รับการเสริมด้วยการสนับสนุนของอัลฟ่า เขาสามารถหาคนที่อัลฟ่าพูดถึงได้ทันที นักล่า 2 คนกำลังขี่ยานพาหนะที่ออกแบบมาสำหรับเดินทางผ่านดินแดนรกร้าง
ใบหน้าของอากิระเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันทีที่เห็นพวกเขา เขาจำช่วงเวลาที่เขาถูกโจมตีโดยนักล่าคู่หนึ่งเมื่อวันก่อนได้ ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะระวังตัว แม้ว่านักล่าสองคนนี้จะเป็นผู้หญิง แต่ก็ไม่ใช่สาเหตุที่เขาจะต้องลดการป้องกันลง
“อย่าบอกนะว่าพวกนั้นมาที่นี่เพื่อโจมตีฉันเหมือนครั้งที่แล้ว?”
“ฉันคิดว่าอาจจะเป็นอย่างอื่นมากกว่า พวกนั้นอาจจะแค่เดินทางไปยังซากปรักหักพังของเมืองคุซึซึฮาระก็ได้ และเนื่องจากพวกนั้นกำลังขี่รถ หากพวกนั้นต้องการที่จะโจมตีนายจริงๆ นายก็ไม่สามารถหนีจากพวกนั้นได้หรอก”
เป็นเรื่องปกติสำหรับนักล่าที่จะพบกับนักล่าคนอื่นในดินแดนรกร้าง และก็ถือเป็นเรื่องปกติที่อีกฝ่ายจะไม่ได้มาดี ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองฝ่ายจะตั้งแง่และสร้างบรรยากาศที่ตึงเครียดระหว่างกัน และบรรยากาศที่ตึงเครียดนี้ ก็พาให้เกิดการต่อสู้นองเลือดเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อย
อากิระรู้ข้อนั้นดี เหมือนกรณีก่อนหน้านี้ที่เขาโดนโจมตี อัลฟ่าจึงตัดสินใจบอกให้เขาถอยออกจากสถานที่ฝึก
“อืม ไปกันเถอะ”
อากิระดึงกระเป๋าเป้ขึ้นทันทีและวิ่งไปที่ซากปรักหักพังของเมืองคุซึซึฮาระ
***
ตามตอนใหม่ได้ที่เพจ Avolenn นะครับ
***
นักล่าหญิงทั้งสองกำลังขี่ยานพาหนะที่ทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับการสำรวจซากปรักหักพัง พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังซากปรักหักพังของเมืองคุซึซึฮาระ
อุปกรณ์ของพวกเขาในปัจจุบันไม่เพียงพอที่จะสำรวจส่วนลึกของซากปรักหักพัง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเตรียมพร้อมมาดีเกินกว่าที่จะสำรวจแค่บริเวณรอบนอกของซากปรักหักพัง นอกจากกลุ่มนักล่าพิเศษที่สามารถฆ่าสัตว์ประหลาดได้ด้วยมือเปล่าแล้ว นักล่าส่วนใหญ่ก็ติดตั้งอุปกรณ์ตามทักษะที่ถนัด มันเป็นตัวบ่งชี้ว่าพวกเขามีทักษะแค่ไหนเมื่อมองอุปกรณ์เหล่านั้น โดยสรุปแล้วนักล่าหญิงที่มาสำรวจซากปรักหักพังเมืองคุซึซึฮาระนั้นพวกเขาไม่ใช่กลุ่มมือสมัครเล่น แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่มืออาชีพเต็มตัวเช่นกัน
เอเลน่าที่กำลังขับรถพูดกับซาร่าที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอ
“ซาร่า เราใกล้ถึงที่หมายแล้ว เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ”
ซาร่าที่กำลังมองดูซากปรักหักพังผ่านกล้องส่องทางไกลทำท่าทางงุนงง
“เอเลน่า เธอแน่ใจนะว่าคือที่นี่?”
“เราคุยกันเรื่องนี้ไปเมื่อวานแล้วไม่ใช่เหรอ? นี่เป็นซากปรักหักพังเพียงแห่งเดียวที่เด็กตัวเล็กๆสามารถเข้าถึงได้ด้วยการเดินเท้าจากเมืองคุกามายามะ”
“เป็นไปได้ไหมที่เขาจะไปที่ซากปรักหักพังอื่นๆผ่านทางรถขนส่ง?”
“นอกเหนือจากซากปรักหักพังของเมืองคุซึซึฮาระแห่งนี้แล้ว ซากปรักหักพังอื่นๆ ที่รถขนส่งสามารถพาไปถึงมีแต่ซากปรักหักพังที่อันตรายกว่าที่นี่ทั้งนั้น ตามข่าวลือบอกว่ามีเด็กผู้ชายมือสมัครเล่นตัวเล็กๆ มาที่จุดแลกเปลี่ยนของเมืองนี้พร้อมวัตถุโบราณราคาแพง ถ้าเด็กคนนั้นไปสำรวจซากปรักหักพังที่อื่น ข่าวลือคงไม่ได้แพร่กระจายแค่แถวนี้ มันจะแปลกมากที่เด็กชายตัวเล็ก ๆ จากสลัมจะไปที่อื่นนอกเหนือจากซากปรักหักพังของเมืองคุซึซึฮาระ และพบวัตถุโบราณราคาแพงโดยบังเอิญ มันต้องเป็นที่นี่แหละ”
มีข่าวลือแพร่สะพัดในหมู่นักล่าในเมืองคุกามายามะเกี่ยวกับสมบัติในซากปรักหักพังใกล้เมืองที่แม้แต่เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ก็สามารถเข้าไปหยิบฉวยวัตุโบราณราคาแพงได้
ยิ่งเป็นซากปรักหักพังที่อันตรายต่ำก็ยิ่งมีโอกาสรอดชีวิตสูง ด้วยเหตุนี้ นักล่าที่ไม่สามารถไปยังซากปรักหักพังที่อันตราย ต่างคิดว่าการค้นหาในซากปรักหักพังเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการไปต่อสู้กับสัตว์ประหลาดซึ่งมีโอกาสตายสูงกว่า นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมสถานที่ที่อาจมีวัตถุโบราณที่ยังไม่ถูกแตะต้องจึงได้รับความสนใจในการสำรวจเป็นอย่างมาก
‘สถานที่ที่อันตรายต่ำรอบๆเมืองไม่เหลืออะไรให้เก็บอีกแล้ว’ นักล่าส่วนใหญ่คิดเช่นนั้น
แต่นั่นก็ถูกพิสูจน์แล้วว่าพวกเขาคิดผิด เพราะแม้แต่เด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่ไม่มีแม้แต่อุปกรณ์ขั้นต่ำด้วยซ้ำ ก็นำโบราณวัตถุราคาแพงมาที่ศูนย์แลกเปลี่ยนได้
และไม่ใช่เพียงครั้งเดียว เด็กชายนำโบราณวัตถุกลับมาที่จุดแลกเปลี่ยนถึงสองครั้ง ทำให้เกิดการต่อสู้ในสลัมเพื่อชิงเงินที่เขาได้มา ข่าวลือนี้ยิ่งเกินจริงไปอีกขั้นโดยกล่าวว่ามีนักล่าที่ตามล่าเด็กคนนั้นไปพบสถานที่ที่ยังไม่ได้สำรวจและได้รับเงินจำนวนมหาศาล ,,,ยิ่งทำให้ข่าวลือดังกล่าวได้แพร่กระจายไปทั่วเมือง นักล่าจำนวนมากจึงเริ่มกวาดล้างพื้นที่ที่มีระดับอันตรายต่ำอีกครั้ง
เอเลน่าและซาร่าเป็นหนึ่งในบรรดานักล่าที่ได้ยินเกี่ยวกับข่าวลือนั้นและตัดสินใจที่จะไปเก็บกวาดซากปรักหักพังอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ชานเมืองคุซึซึฮาระนั้นไม่คุ้มค่ากับการเสียเวลาของพวกเธอ …แต่ถ้าข่าวลือกลายเป็นจริง พวกเธอก็คิดว่าตัวเองมีโอกาสอาจเจอแจ็คพอต และแม้ว่าข่าวลือจะไม่เป็นความจริง สถานที่นั้นก็ไม่ได้อันตรายกับพวกเขาอยู่ดี นั่นคือสิ่งที่เอเลน่าคิดขณะที่เธอตัดสินใจค้นหารอบๆ ซากปรักหักพังอีกครั้ง และ ซาร่าก็เห็นด้วยกับเธอ
แต่ไม่เหมือนเอเลน่า ซาร่าไม่ได้มองโลกในแง่ดีนัก
“เธอก็เคยมาค้นหาอย่างละเอียดไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ครั้งนั้นก็ไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่นี่? พูดตามตรง ฉันไม่ได้คาดหวังว่าจะได้อะไรเพิ่มเติมหรอกนะ”
“อืม ก็มันไม่ได้มีอะไรเสียหายนี่? แค่ลองค้นหาดูอีกครั้งเอง ครั้งนี้อาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากครั้งก่อนก็ได้”
หลังจากที่เอเลน่าพูดด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริง สายตาของเธอก็มองไปที่หน้าอกของซาร่าและสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปเป็นกังวล
“…เรื่องเครื่องนาโนของเธอ ฉันคิดว่ามันต้องเติมเร็วๆนี้ …ฉันรู้ ว่าช่วงนี้ส่วนแบ่งของเราไม่มากนัก เธอยังโอเครึเปล่า?”
ซาร่ามองดูหน้าอกของตัวเองที่ขนาดเล็กลง เอเลน่าและซาร่าต่างรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร นั่นเป็นเหตุผลที่ซาร่ายิ้มเพราะไม่อยากให้เอเลน่ากังวล
“ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรให้น่ากังวลน่า”
ซาร่าเป็นหนึ่งในคนที่เปลี่ยนแปลงร่างกายของตนเองโดยใช้เครื่องนาโนแมชชีน เธอใช้นาโนแมชชีนเพื่อเป็นพลังงานให้ร่างกายนั้น และหน้าอกของเธอคือที่ที่เธอเก็บสำรองนาโนแมชชีนไว้
การทำงานเป็นนักล่าและการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเป็นเหรียญ 2 ด้าน ศัตรูของพวกเขาเป็นอาวุธชีวภาพหรือเครื่องจักรที่ทำหน้าที่เป็นกลไกป้องกันที่สร้างโดยเทคโนโลยีของโลกเก่า มันไม่ง่ายเลยที่จะต่อสู้กับศัตรูเหล่านั้นโดยใช้ร่างกายมนุษย์ …เพื่อต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเหล่านั้น นักล่าบางคนมองหาวิธีเพิ่มความแข็งแกร่งทางกายภาพ ไม่ว่าจะเป็นการสวมชุดเกราะ เปลี่ยนขาเทียม หรือกลายเป็นไซบอร์ก(ครึ่งคนครึ่งหุ่น)และอื่นๆ
ผู้คนจากเขตตะวันออกศึกษาเทคโนโลยีจากโลกเก่าเพื่อต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเหล่านั้น และคิดวิธีต่างๆ มากมายเพื่อเพิ่มความสามารถทางกายภาพ หนึ่งในนั้นคือการใช้นาโนแมชชีน มันมีผลกระทบที่แตกต่างกันมากมาย เช่น การใช้สนามพลังเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เสริมสร้างเซลล์ หรือแม้กระทั่งการดัดแปลงพันธุกรรม และเมื่อพูดถึงนาโนแมชชีนขั้นสูง พวกมันยังสามารถแทนที่เซลล์ของคนๆหนึ่งด้วยเซลล์ที่ทำจากนาโนแมชชีน และเปลี่ยนร่างกายของผู้ใช้ให้คล้ายกับไซบอร์ก พวกเขาอาจดูเหมือนคนทั่วไปทุกประการ แต่คนเหล่านี้สามารถพลิกรถหรือกันกระสุนได้โดยไม่ต้องสวมเกราะใดๆ
ก่อนหน้านี้ซาร่าเกือบเสียชีวิตเพราะเหตุการณ์บางอย่างและได้รับการรักษาโดยใช้นาโนแมชชีน การรักษานั้นประสบความสำเร็จ เธอรอดพ้นจากความตายและได้รับร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่สามารถอยู่รอดได้หากปราศจากนาโนแมชชีน
ร่างกายของเธอกำลังใช้นาโนแมชชีนแม้แต่การใช้ชีวิตประจำวันอย่างรวดเร็ว และการเผาผลาญก็เพิ่มขึ้นเมื่อเธอทำงานเป็นนักล่า แต่การเติมนาโนแมชชีนแต่ละครั้งจำเป็นต้องใช้เงิน
จริงๆแล้วเธอสามารถรับการรักษาเพื่อตัดการพึ่งพานาโนแมชชีนได้ แต่เธอต้องใช้เงินจำนวนมาก และเธอจะเหลือแค่ร่างกายที่อ่อนแอ แล้วยังต้องใช้เงินมากขึ้นอีกเพื่อรักษาร่างกายที่อ่อนแอของเธอ กล่าวโดยย่อก็คือ ปัญหาเหล่านี้แก้ไขได้ด้วยเงินเท่านั้น และเนื่องจากเธอไม่มีทรัพย์สมบัติมากมาย เธอทำได้เพียงรักษาสภาพที่เป็นอยู่
สาเหตุหนึ่งที่เอเลน่าวางเดิมพันกับข่าวลือนี้ก็เพราะซาร่าต้องการเงินเพื่อรักษาชีวิตของเธอ ไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าซาร่าซึ่งเป็นหน่วยจู่โจมหลักของทีมจะได้รับภาระน้อยลงหากพวกเธอสำรวจพื้นที่ที่มีสัตว์ประหลาดอ่อนแอ นาโนแมชชีนที่ซาร่าใช้ตอนที่เธอต่อสู้นั้นได้รับการเติมเต็มจากแหล่งกักเก็บนาโนแมชชีนในหน้าอกของเธอ และตอนนี้หน้าอกของเธอก็หดเล็กลง …เอเลน่านั้นรู้ว่าตอนที่ซาร่ามีนาโนแมชชีนอยู่เต็มนั้นเป็นลักษณะอย่างไร เธอจึงอดไม่ได้ที่จะกังวลเมื่อมองดูสภาพปัจจุบัน
เอเลน่ามองซาร่าอย่างจริงจังแล้วพูดว่า
“…เธอรู้จักร่างกายของตัวเองดีที่สุด ดังนั้นฉันจะไม่พูดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันจะขายอุปกรณ์ของตัวเองและยัดนาโนแมชชีนให้เธอแม้ว่าเธอจะไม่ต้องการก็ตาม”
ซาร่ามองกลับไปที่เอเลน่าด้วยสายตาที่รุนแรงไม่แพ้กัน
“อย่าทำอย่างนั้น ถ้าเธอทำแบบนั้น เราจะมีอุปกรณ์น้อยลงและจะหาเงินได้ยากขึ้น เธอคิดว่าเราใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะได้อุปกรณ์เหล่านี้มา”
“มันไม่มีอะไรเทียบได้กับชีวิตของเธอ เมื่อตอนนั้นมาถึง ฉันจะทำ ..แล้วค่อยสร้างตัวใหม่ด้วยกัน หากการเดินทางในวันนี้เป็นไปได้ด้วยดี เราจะใช้เงินที่ได้มาเพื่อเติมนาโนแมชชีนของเธอก่อน ตกลงไหม?”
เธอจะไม่ยอมรับการคัดค้านใดๆ นั่นคือสิ่งที่ดวงตาของเธอบอก พวกเธอเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มทำงานเป็นนักล่า การสนทนาระหว่างกันนำไปสู่สถานการณ์ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งควรถอย ไม่เช่นนั้นจะไม่มีใครยอมใคร ดังนั้นซาร่าจึงยอมรับและยิ้มบางๆ
“เอาเถอะๆ ฉันเข้าใจแล้ว…คนเราไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่มีเงินละนะ”
เอเลน่ายิ้มตอบ
“ก็ไม่เห็นแปลกนี่? การเป็นนักล่าก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
“อืม จริงด้วย”
ด้วยหลายสิ่งหลายอย่างในใจ เอเลน่าและซาร่าจึงมุ่งหน้าไปยังซากปรักหักพังของเมืองคุซึซึฮาระพร้อมกับยิ้ม
***
อากิระยังคงเคลื่อนไหวอยู่รอบนอกของซากปรักหักพังเมืองคุซึซึฮาระ เขาคิดที่จะค้นหาวัตถุโบราณตั้งแต่เขามาถึงซากปรักหักพัง แต่มีนักล่าหลายกลุ่มอยู่ในซากปรักหักพัง ดังนั้นเขาจึงต้องเคลื่อนที่ไปรอบๆเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ
ต้องขอบคุณความสามารถในการตรวจจับขั้นสูงของอัลฟ่า ทำให้อากิระสามารถหลีกเลี่ยงการปะทะกับสัตว์ประหลาดและนักล่าได้ แต่เขาก็ไม่สามารถค้นหาวัตถุโบราณหรือฝึกฝนการยิงต่อไปได้ ดังนั้นอากิระจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“อากิระ เราต้องเคลื่อนที่อีกครั้ง”
“อีกแล้ว? ทำไมทุกที่ที่เราไปถึงมีคนอยู่ตลอด? ซากปรักหักพังมีคนพลุกพล่านขนาดนี้เป็นเรื่องปกติหรือไง?”
“มันก็แล้วแต่ซากปรักหักพัง …แต่ซากปรักหักพังแห่งนี้ควรจะถูกละทิ้งไปแล้ว เมื่อฉันพบนายไม่มีนักล่าอยู่แถวนี้แม้แต่คนเดียว หลังจากนั้นก็ด้วย นักล่าคนอื่นที่ฉันเห็นในบริเวณนี้คือกลุ่มสองคนที่นายฆ่าไปเมื่อวันก่อน”
สีหน้าของอากิระเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“…ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าพวกเขากำลังตามล่าฉันไม่ใช่เหรอ?เป้าหมายของพวกนั้นก็คือฉัน…”
อากิระค่อนข้างกังวล เขาอดคิดไม่ได้ว่านักล่าเหล่านี้กำลังตามหาเขาด้วยเหตุผลเดียวกับที่นักล่าพวกนั้นตามล่าเขาเมื่อวันก่อน แต่คราวนี้พวกนั้นมากันเยอะขึ้นแย่างเห็นได้ชัด
อัลฟ่ายิ้มแล้วพยายามทำให้อากิระสงบลง
“อย่ากังวลไป แม้ว่าจะเป็นแบบนั้น นายก็มีฉันอยู่ สบายใจได้”
“อืม ฉันก็ไว้ใจเธออยู่หรอกนะ แต่ว่า…”
“นี่ ฉันคิดว่านักล่าพวกนั้นไม่ได้มุ่งเป้ามาที่นายโดยเฉพาะหรอก ฉันพอมีความเข้าใจอยู่บ้างเกี่ยวกับจุดประสงค์ที่พวกนั้นมาที่นี่ มันเลยเป็นเหตุผลที่ฉันบอกว่าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับมัน”
จากนั้นอัลฟ่าก็อธิบายเกี่ยวกับข่าวลือที่นักล่าคนอื่นๆ ได้ยิน ต้นเหตุของข่าวลือนั้น และสิ่งที่ทำให้นักล่าคนอื่นๆ มาตามหาหลังจากได้ยินข่าวลือนั้น หลังจากฟังการคาดคะเนของอัลฟ่า อากิระก็เข้าใจว่าเขาคือสาเหตุหลักของทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นใบหน้าของเขาจึงบิดเบี้ยว
“นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น…เฮอะ ลำบากแล้วสิ”
“เพราะมันเป็นข่าวลือ ฉันแน่ใจว่ามีคนไม่ถึงครึ่งที่เชื่อมันจริงๆ เรื่องมันจะซาลงเองถ้าพวกนั้นหาวัตถุโบราณไม่เจอ เพราะแบบนั้นฉันคิดว่านายไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไปกันเถอะ”
อากิระรู้สึกค่อนข้างซับซ้อนเกี่ยวกับคนเหล่านี้ที่ไหลทะลักมาที่ซากปรักหักพังเพราะสิ่งที่เขาทำ เขารู้สึกทำตัวไม่ถูกกับสถานการณ์นี้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่สลัดความรู้สึกนั้นทิ้ง พลางติดตามอัลฟ่าสำรวจซากปรักหักพังต่อไป
***
สำหรับเอเลน่า และซาร่า พวกเธอยังไม่ได้รับผลลัพธ์อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แม้ว่าซาร่าจะไม่ได้คาดหวังไว้สูง แต่เธอก็ยังรู้สึกผิดหวังพลางถอนหายใจ
“ฉันก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย แต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะไม่มีอะไรเลยแบบนี้”
เอเลน่าหัวเราะอย่างขมขื่นและพยายามให้กำลังใจซาร่า
“ถ้ามันง่ายขนาดนั้น ก็คงมีใครสักคนค้นพบมันไปแล้ว เราก็ลองหาดูอีกหน่อย”
“ถึงเธอจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่ฉันไม่รู้สึกเลยว่าเราจะเจออะไรถ้าเราเอาแต่มองหาสุ่มๆแบบนี้ เอเลน่าเธอมีเบาะแสอะไรอย่างอื่นรึเปล่า?”
“ฉันกำลังมองหารอยเท้าของเด็กคนนั้นอยู่ หากเด็กคนนั้นไปพบพื้นที่ที่ยังไม่มีใครสำรวจเหมือนที่ข่าวลือว่าจริงๆ ก็อาจมีรอยเท้าเล็กๆของเด็ก นำทางเราไปที่นั่นได้”
“โอ้ เธอนี่มีมุมมองที่ไม่เหมือนใครเสมอเลยนะ”
หน้าที่ในทีมของเอเลน่ามีการแบ่งกันอย่างชัดเจน งานของเอเลน่าคือการรวบรวมข้อมูล ในขณะที่งานของซาร่าคือการต่อสู้ และพวกเขาก็มีความความสามารถในงานนั้นๆ
อุปกรณ์หลักสำหรับเอเลน่าคืออุปกรณ์รวบรวมข้อมูล เป็นอุปกรณ์ไฮเทคสำหรับการลาดตระเวน ประกอบด้วยเครื่องตรวจจับความเคลื่อนไหว แผนที่โซนาร์ และกล้องส่องทางไกล เธอใช้มันเพื่อรวบรวมข้อมูลที่หลากหลาย เช่น การทำแผนที่ซากปรักหักพังหรือการสแกนและค้นหาที่ซ่อนของศัตรู เธอเองก็พกปืน แต่เมื่อเทียบกับอุปกรณ์ของซาร่าแล้ว ปืนของเธอก็เป็นแค่ปืนเบา
อุปกรณ์หลักของซาร่าคือปืนกลหนัก โดยปกติแล้ว ต้องใช้ชุดเสริมกำลังเพื่อยกน้ำหนักและแรงถีบของปืน แต่เธอสามารถแกว่งมันไปมาได้เหมือนไม่มีอะไร ต้องขอบคุณร่างกายที่แข็งแกร่งจากนาโนแมชชีน สำหรับชุดเกราะ เธอมีชุดเกราะที่ทนทานสูงเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เธอต้องใช้ตัวเองเป็นเกราะป้องกันให้กับเอเลน่า
เอเลน่าจะตามหาศัตรู จากนั้นซาร่าจะจัดการมัน บางครั้งซาร่าก็ไปคนเดียวโดยไม่มีเอเลน่า นั่นคือวิธีที่ทีมของพวกเขาสำรวจซากปรักหักพัง
เอเลน่าผู้รับผิดชอบในการรวบรวมข้อมูลทำทุกวิถีทางเพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังของซาร่า เป็นเพราะทักษะที่ยอดเยี่ยมของเอเลน่า ทำให้เธอสามารถค้นหารอยเท้าในซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วยฝุ่นที่ปลิวว่อนได้ …แต่ผลกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เอเลน่าจึงได้แต่ตอบกลับซาร่าด้วยเสียงหัวเราะอันขมขื่น
“แต่ฉันไม่พบรอยเท้าเล็กๆเลย เจอแต่รอยเท้าผู้ใหญ่จำนวนมาก”
“มันก็ยังดีกว่าการหาสุ่มๆไม่มีเป้าหมายล่ะนะ แล้วเราจะไปดูที่ไหนกันต่อดี?”
“ลองหาที่ที่เจ้าตัวเล็กน่าจะไปกัน …อ่า ใช่ ฉันจะบอกเธอไว้ก่อนที่จะไม่มีโอกาสนะซาร่า หมอกไร้สีเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ ระวังตัวด้วย”
“รับทราบ ถ้าสถานการณ์แย่จริงๆเราก็ถอย เธอตัดสินใจได้เลยว่าจะถอยตอนไหน”
เอเลน่าและซาร่าเดินเข้าไปลึกเข้าไปในซากปรักหักพังโดยไม่ลดความระมัดระวังตัวลง
***
อากิระกำลังเดินเข้าไปในซากปรักหักพังอย่างระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับนักล่าคนอื่นๆ เขาจึงซ่อนตัวอยู่ในอาคารร้างแห่งหนึ่ง เขากำลังดูสถานการณ์ภายนอกอาคารด้วยกล้องส่องทางไกล
ทุกครั้งที่อากิระพบนักล่าผ่านกล้องส่องทางไกล เขาจะตั้งข้อสงสัยว่าเมื่อไหร่คนพวกนี้จะกลับออกไป …อัลฟ่าที่เห็นแบบนั้นพลันพูดขึ้น
“อากิระ เนื่องจากนี่เป็นโอกาสที่ดี ฉันจะอธิบายให้นายฟังเกี่ยวกับหมอกไร้สี”
“หมอกไร้สี?”
“ใช่ มันเริ่มหนาขึ้น ดูทิศทางนั้นสิ”
อัลฟ่าชี้นิ้วของเธอไปสองทิศทางให้อากิระใช้กล้องส่อง
“มองไปทางนั้นและทางนี้ นายเห็นความแตกต่างหรือเปล่า?”
“…ฉันไม่เห็นความแตกต่างเลย มันก็…ดูเหมือนกัน”
“แน่ใจเหรอ?”
อัลฟ่ายิ้มให้อากิระราวกับว่าเธออยากให้อากิระมองมันดีๆอีกครั้ง ดังนั้นอากิระจึงดูอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาดูอย่างจริงจังมากขึ้น แต่เขามองเห็นเพียงอาคารที่เรียงรายทั้งสองทิศทาง ซึ่งเป็นภาพที่เห็นได้ทั่วไปในซากปรักหักพัง มันเหมือนๆกันหมด
แต่อัลฟ่าดูเหมือนกำลังคาดหวังคำตอบ อากิระจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาความแตกต่าง
“…ถ้าจะให้พูดจริงๆล่ะก็… ฉันคิดว่าทางขวาดูเบลอๆ มากกว่า มั้ง?”
จากนั้นอัลฟ่าก็ยิ้มและพยักหน้าอย่างแรง
“ถูกตัอง— หมอกไร้สีทางด้านขวานั้นหนากว่า”
“…อย่างงั้นเหรอ?”
“นี่คือส่วนที่สำคัญที่สุด สำหรับนักล่าที่ไม่รู้เรื่องนี้มันจะอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นจงฟังให้ดี”
สำหรับอากิระที่ดูสับสน อัลฟ่ายิ้มราวกับให้กำลังใจเขาและเริ่มอธิบาย
หมอกไร้สีเป็นชื่อที่ผู้คนในภูมิภาคตะวันออกตั้งขึ้นสำหรับปรากฏการณ์บางอย่าง ซึ่งแตกต่างจากหมอกทั่วไปที่ดูเป็นละอองสีขาวที่หักเหแสง บริเวณและความหนาของหมอกไม่มีสีนี้สามารถสังเกตได้จากการเบลอของขอบเขตการมองเห็นเท่านั้น
พื้นที่ทั้งหมดภายในหมอกไร้สีจะพร่ามัว ถ้ามันบดบังการมองเห็นจนถึงระดับหนึ่ง มันอาจก่อให้เกิดปัญหาบางอย่าง แต่นักล่าสามารถรับมือกับมันได้อย่างง่ายดายโดยใช้อุปกรณ์รวบรวมข้อมูลระดับสูง แต่ผลกระทบของหมอกไร้สีไม่ได้มีแค่นั้น
มีปรากฏการณ์ที่อธิบายไม่ได้มากมายที่มาพร้อมกับหมอกไร้สี
คลื่นวิทยุ สัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้า แม้แต่เสียงและกลิ่นก็ได้รับผลกระทบในหมอกไร้สีเช่นกัน ทั้งสิ่งมีชีวิตและเครื่องจักรจะมีปัญหาในการรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งรอบตัว ราวกับว่าอุปกรณ์รบกวนที่ทรงพลังทุกชนิดกำลังทำงานพร้อมกัน
ประสิทธิภาพของการพรางแสง และการพลางอุณหภูมิจะลดลงอย่างมากจนถึงจุดที่แทบจะไร้ประโยชน์ รวมทั้งการล็อกเป้าทุกชนิดจะไม่สามารถใช้งานได้ การสื่อสารแบบไร้สายจะเต็มไปด้วยเสียงรบกวน และหมอกอาจส่งผลต่อการสื่อสารแบบมีสายในบางครั้งเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ปืนทุกกระบอกจะสูญเสียพลังและระยะยิง วิถีโคจรจะเบี่ยงเบนอย่างมากซึ่งทำให้ความแม่นยำแย่ลง และเมื่อหมอกไร้สีหนาพอ แม้แต่เส้นทางที่กระสุนเดินทางก็ยังมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ปรากฏการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อการล่าของนักล่าในภูมิภาคตะวันออกอย่างมาก นักล่าที่ไม่มีประสบการณ์อย่างอากิระไม่เข้าใจถึงอันตรายของปรากฏการณ์แม้ว่าจะฟังคำอธิบายของอัลฟ่าแล้วก็ตาม
“อย่างน้อยฉันก็เข้าใจว่ามันจะแย่เมื่อหมอกหนาขึ้น”
อัลฟ่าสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอากิระนั้นไม่ได้เข้าใจสถานการณ์เลย ดังนั้นเธอจึงส่ายหัวและอธิบายอย่างจริงจัง
“ดูเหมือนนายจะไม่ได้เข้าใจอะไรเลยนะ ดังนั้นฉันจะอธิบายเฉพาะส่วนที่ส่งผลกระทบต่อนายตรงๆแล้วกัน อย่างแรก เหตุผลที่สัตว์ประหลาดไม่สามารถโจมตีผู้คนในเขตตะวันออกได้ง่ายๆ เป็นเพราะหมอกไร้สีนี้ สัตว์ประหลาดเองก็ยังได้รับผลกระทบจากหมอก
เพราะแบบนั้น สัตว์ประหลาดจึงหาคนได้ยากขึ้น ทำให้มีมนุษย์อาศัยอยู่รอบนอกได้ ถ้าไม่มีหมอก สัตว์ประหลาดที่อยู่อีกด้านหนึ่งไกลสุดของซากปรักหักพังก็สามารถตรวจจับการปรากฏตัวของนายได้ ระบบการตรวจจับที่ติดตั้งในอาวุธที่สร้างโดยโลกเก่านั้นทรงพลังมาก”
ตัวอากิระอาจจะไม่เข้าใจถึงขีดความสามารถการตรวจจับของสัตว์ประหลาด แต่อย่างน้อยเขาก็เข้าใจว่าการหลีกเลี่ยงการตรวจจับของศัตรูนั้นสำคัญมาก เขาพยักหน้าเหมือนว่าตัวเขาเข้าใจ
“เข้าใจแล้ว มันสำคัญมากจริงๆ”
“และอีกอย่างที่นายควรจำไว้ เมื่อมันหนาขึ้นมาก มันจะส่งผลกระทบต่อสัตว์ประหลาด มนุษย์ และเครื่องจักร ทำให้ความสามารถในการตรวจจับศัตรูลดลง ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด นายอาจพบศัตรูได้เร็วกว่าฉันด้วยซ้ำ นั่นเป็นเหตุผลว่า หากนายเห็นว่าหมอกหนาขึ้น นายจะต้องยกเลิกการสำรวจซากปรักหักพังและกลับไปที่เมืองทันที”
อากิระที่ประหลาดใจกับคำเตือนของอัลฟ่า ในที่สุดเขาก็เข้าใจถึงอันตรายของหมอก
“…เดี๋ยวนะ นี่หมายความว่าเมื่อหมอกหนาระดับหนึ่ง มีโอกาสที่ฉันจะเจอสัตว์ประหลาดแม้จะมีเธอสนับสนุนงั้นเรอะ?”
“ใช่ ถูกต้อง”
“…ถ้าฉันเจอสัตว์ประหลาด เธอคิดว่าฉันมีโอกาสชนะมากแค่ไหน?”
“ในกรณีที่หมอกหนาพอ และการสนับสนุนของฉันถูกขัดขวางจนไร้ประโยชน์ การเผชิญหน้าทั้งหมดของนายน่าจะเป็นการเผชิญหน้าในระยะประชิด เมื่อถึงจุดนั้น มันจะค่อนข้างสิ้นหวังเลยล่ะ”
“…งั้น…เมื่อกี้เธอพึ่งบอกว่าหมอกหนาขึ้น…ใช่ไหม?”
“ใช่.”
จู่ๆ อากิระก็หยุดพูดและใช้กล้องส่องทางไกลส่องดูศัตรูรอบตัวเขา
แน่นอนว่ามันหายากมากที่หมอกจะหนาจนถึงขนาดที่อัลฟ่าอธิบาย แต่อัลฟ่าก็เก็บมันไว้ไม่บอกอากิระขณะที่ยิ้มอย่างซุกซน
**********************
Avolenn : หลอกเด็กไม่พัก
สนับสนุนผู้แปลได้ที่นี่นะครับ
กสิกร 475-2-65694-8 นายเมือง บ.