นิยาย Picking Up Attributes From Todayไปเก็… บทที่ 52 เปรียบเทียบสายเลือด เจ้าของ เหมิงเหล่ย เผ่าพันธุ์ มนุษย์ (มีสายเลือดมังกรไฟและสายเลือดมารเพลิง) ความมั่งคั่ง 182,915 เหรียญทอง ค่าร่างกาย นักรบระดับ 7 (14878/50000) พลังวิญญาณ จอมเวทระดับ 6 (7102/10000) พลังเวท จอมเวทระดับ 6 (6919/10000) เวทมนตร์ เยอะมาก วิชาออร่าสงคราม วิชามังกรไฟ ทักษะการต่อสู้ เยอะมาก “ค่าร่างกายของฉันก่อนหน้านี้ยังมีแค่ 7000กว่าๆอยู่เลยตอนนี้มันเด้งมาเป็น14878 แล้วเหรอเด้งขึ้นมาเยอะอะไรขนาดนี้วะ”
เหมิงเหล่ยตั้งสติตัวเองตอนที่เขามองค่าความสามารถของตัวเอง หลังจากผ่านวันเวลาฝึกตัวเองอย่างหนักตลอด 3 เดือนค่าความสามารถของเขายังไม่เพิ่มมากขนาดนี้เลย ทั้งค่าร่างกาย ค่าพลังวิญญาณ ค่าพลังเวททั้งหมดของเขาเพิ่มขึ้น จนเกินระดับจอมเวทระดับ 6 และนักรบระดับ 7 ไปแล้วความสามารถในการต่อสู้ของเขามันสูงขึ้นมากตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา นักรบระดับ 7 ตอนนี้เขานับได้ว่าอยู่ในระดับนักรบระดับสูงแล้วจะบอกว่าเขาแข็งแกร่งใช้ได้แล้วถึงจะเทียบกับคนทั้งเมืองหลวงก็ตามถ้าเกิดเขาไปที่พื้นที่ชนบทหน่อยคือยังไงเขาก็แข็งแกร่งที่สุดแน่นอน “ถ้าเทียบกับค่าร่างกายแล้วตอนนี้ค่าพลังเวทดูเหมือนว่าจะตามหลังอยู่เลยแหะแต่ก็เอาเถอะพัฒนาไปได้ขนาดนี้ในเวลาแค่นี้เอง แถมยังไงถ้าฉันก็สามารถพัฒนาขึ้นไปปอีกตอนไหนก็ได้แล้วด้วย” เหมิงเหล่ยเลื่อนสายตาตัวเองขึ้นไปมองที่ช่องความมั่งคั่งแล้วเขาก็เห็นเงิน ที่เขามี ตอนนี้เขามีเงินอยู่กับตัวทั้งหมด182,915 เหรียญทองแล้วซึ่งถ้าแปลเป็นค่าความสามารถก็จะได้18291
แต้ม18291แต้มเลยนะ มันมากเพียงพอที่จะส่งให้เหมิงเหล่ยกลายไปเป็นจอมเวทระดับ 7 ได้อย่างง่ายดายถ้าเขาใช้เงินทั้งหมดไปลงกับค่าความสามารถ ด้วยพลังร่างกายและพลังเวทที่เขามีตอนนี้เขามีพลังมากพอที่จะลืมตาอ้าปากในโลกนี้ได้แล้ว แต่เหมิงเหล่ยเองก็ไม่ได้รีบร้อนแลกแต้มอะไรขนาดนั้นเพราะยังไง มันก็เป็นค่าความสามารถที่เขาเพิ่มเมื่อไรก็ได้เขาจึงเก็บเงินส่วนนี้เอาไว้เพื่อแลกในจัง หวะที่มันอันตรายหรือสําคัญจริงๆ ตอนนี้เขาควรประหยัดเท่าที่จะประหยัดได้ไปก่อน นาทีกว่าๆต่อมา พลังงานในร่างกายของเขาก็หมดลงความรู้สึกแห้งเหือดซัดเข้ามาในตัวของเขาก่อนจะทําให้เขากลับคืนร่างมนุษย์มา “ดูจากเวลาในการแปลงร่างแล้วสายเลือดมารเพลิงมันมีพลังมากพอๆกับสายเลือดมังกรไฟเลยแหะ” ทําไมถึงแปลงร่างได้แค่นี้น่ะเหรอ มันเป็นเพราะว่าด้วยร่างกายมนุษย์ของเหมิงเหล่ยทําให้การแปลงร่างมังกรของเขาอยู่ได้แค่ 8 นาทีเท่านั้นซึ่งร่างมารเพลิงก็อยู่ได้แค่ 8 นาที่เหมือนกัน ใช้ร่างกายเดียวกัน ได้เวลาในการ แปลงร่างเท่ากันมันหมายความว่า พลังความสามารถของสายเลือดทั้ง 2 สายนั้นมีพลังพอๆกันเลย “ตอนนี้ ฉันน่าจะเก่งพอใช้ได้แล้วละ มั่ง” เหมิงเหลุ่ยพอใจกับสิ่งที่เขาได้รับใน ค่ําคืนนี้มากๆแต่ถึงอย่างนั้น ทั้งตัวของเขากลับเปลือยเปล่าอย่างอับอายตอนแปลงร่างไฟมันเผาเสื้อผ้าไปหมดอีกแล้ว “ถ้าฉันมีแหวนมิตินะ ฉันก็จะได้เตรียมเสื้อผ้าดองเอาไว้ในแหวน จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์อะไรแปลกๆแบบนี้อีก” เหมิงเหล่ยตอนนี้อยากได้แหวนมิติเก็บของยิ่งกว่าเดิมการมีแหวนมิติมันทําให้ชีวิตเขาสบายมากขึ้นเยอะแต่ราคาของมันตอนนี้ แม้แต่แหวนระดับกากสุดเขายังซื้อไม่ได้เลยด้วยซ้ํา ปังปังปังปัง เสียงเคาะประตูดังลั่นใครบางคนพยายามเคาะประตูห้องน้ํา “หืม!!” เหมิงเหล่ยหันไปมองที่ประตูทันทีเขาระแวงแล้วค่อยๆเดินไปเปิดประตูห้องน้ําก่อนจะพบขุนนางชาวมนุษย์พุงโตขึ้นนึงเดินเข้ามาในห้องน้ํามองหน้าเหมิงเหลี่ยแบบหาเรื่องสุดๆ ชายร่างอ้วนคนนั้นตะโกนอย่างมีน้ําโห“เห้ยไอ้หนูเป็นบ้ารึไงวะล็อกประตูห้องน้ําจากด้านในน่ะอยากตายนักรึไงวะ?!” “แฮ่ๆ ขอโทษที่นะครับ!!” เหมิงเหล่ยยิ้มแหะๆก่อนจะสาวหมัดใส่หน้าของชายคนนั้นอย่างจัง ผลัก!! “บ้าเอ้ย เสื่อนี้มันตัวใหญ่ชิบหาย เหมิงเหล่ยเดินออกมาจากห้องน้ําหลังจากที่เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เสื้อผ้า พวกนี้มันตัวใหญ่ขนาดที่ทําให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาสวมชุดกระโปรงอยู่ยังไงอย่างงั้นมันไม่สบายตัวสุดๆไปเลย แต่ทําไงได้ละ ตอนนี้เขามีทางเลือกซะที่ไหนละ นาทีต่อมา เหมิงเหล่ยที่แต่งชุดใหญ่ เกินตัวก็เดินไปเคาะประตูห้องของอูโน่คนคุมสนามประลองแห่งนี้ “เข้ามาได้” “สวัสดีครับ ท่านอูโน่” “โอ้ เหมิงเหล่ยนี้เอง” อูโน่ยิ้มหันมองขึ้นมา แต่พอเห็นชุดที่เหมิงเหล่ยใส่ตอนนี้เขาก็ชะงักงงเขาชี้ไปที่เหมิงเหล่ยแล้วพูด “เออคือเจ้า…” “อะแฮ่ม คือเผอิญว่าข้าเผลอทําชุดเลอะเทอะไปหมดน่ะเลย…”เหมิงเหล่ยยิ้มอย่างเขินๆเขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตาด้วยซ้ํา
“เลอะเทอะงั้นเหรอ” คําพูดของเหมิงเหล่ยทําให้อูโน่คิดไปถึงอย่างอื่นเขามองเหมิงเหล่ยด้วยสายตาแปลกๆก่อนจะพูด “นี้ค่าตัว 10000เหรียญทองของเจ้าตรวจเช็คจํานวนให้เรียบร้อยละ “ไม่เป็นไรหรอกครับ ท่านอโน่ส่งให้กับมือข้าเองก็วางใจ” เหมิงเหล่ยตอบแล้วโบกมือก่อนจะยิ้ม“นอกจากมารับค่าตัวแล้วจริงๆวันนี้ข้ามีเรื่องอยากจะให้ท่านช่วยด้วยน่ะครับ” “เรื่องอะไรกันละ” อู่โน่เลิกคิ้ว แล้วมองเหมิงเหล่ยตั้งแต่ที่เหมิงเหล่ยเข้ามาในสนามประลองเพลิงแห่งนี้เขาแทบจะไม่ได้ขออะไรจากอูโน่เลยนั้นทําให้อูโน่รู้สึกลําบากใจเล็กน้อย เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะว่าเขาตั้งใจ ที่จะสร้างหนี้บุญคุณกับเหมิงเหล่ยยังไง ละ ใช่แล้วเขาอยากจะทําดีกับเหมิงเหล่ยไว้เป็นหนี้บุญคุณ คนอื่นอาจจะไม่รู้ภูมิหลังของเหมิงเหล่ยแต่อูโน่นั้นสืบมาครบรู้ดีมากๆเพราะเขาเป็นถึงศิษย์เอกตัวท็อปของปี1วิทยาลัยมังกรไฟเลย แต่ถึงอย่างนั้น แค่การเป็นนักเรียนวิทยาลัยมังกรไฟเฉยๆมันก็ยังไม่เพียงพอให้อูโน่อยากทําดีด้วยหรอกเหตุผลจริงๆที่อูโน่อยากทําดีด้วยก็เพราะผลงานที่เหมิงเหล่ยทําไว้ในสนามประลองตั๋งหาก ประลอง 30 ครั้ง ชนะ 24 เสมอ 3 แพ้ 4 เขาขึ้นมาเป็นนักสู้ระดับเงินได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ามาและชนะต่อเนื่องติดต่ อกัน 12 ครั้งรวดเป็นนักสู้ระดับเงินที่นักสู้ปรกติไม่อยากที่จะต่อกรด้วย เพราะด้วยพลังที่มหาศาลขนาดที่สู้ยังไงก็แพ้ไม่ว่าประสบการณ์จะเหนือกว่าแค่ไหนก็ตาม ปรกติแล้วนักสู้ระดับเงินจะมีความสามารถในการต่อสู้ขั้นต่ําอยู่ที่นักรบระดับ 6 แต่ส่วนมากนักสู้ระดับเงินจะเป็นนักรบระดับ 7 กัน อย่างเช่นมารพยักซ์เพลิงเองที่สู้กับเหมิงเหลยมาล่าสุดก็เป็นนักสู้ ระดับ 7เหมือนกัน ถ้าเป็นนักสู้ระดับ7 หรือจอมเวทระดับ 7 คนอื่นอูโน่จะไม่หมายตามองอะไรเพราะมีอยู่เยอะแยะใครมันจะไปสนใจกับแค่นักรบหรือจอมเวทระดับ 7 แต่ ถ้านักรบหรือจอมเวทระดับ 7 คนนั้นมีอายุแค่15 ปีอันนั้นเรียกว่าโคตรน่าสนใจสุดยิ่งกว่านั้นอูโน่เองก็สังเกตเห็นบางอย่างที่สําคัญมากอีกด้วยเหมิงเหล่ยนั้นไม่ได้เป็นแค่จอมเวทอย่างเดียวแต่ร่างกายของเขายังแข็งแกร่งมากอีกด้วยถึงแม้ว่าเขาจะใช้ความสา มารถทางร่างกายในการต่อสู้น้อยมาก ๆก็จริงตลอดการต่อสู้ทั้ง 30 ครั้ง แต่มันก็ ไม่อาจหลบเลี่ยงสายตาของอูโน่ได้ เด็ก อายุ 15 มีพลังระดับ 6 ขึ้นไป แถมเชี่ยวชาญทั้งสายเวทและสายกายภาพอีก อย่าว่าแต่จะเคยเห็นเลย ในประวัติศาสตร์ไม่รู้ว่าจะมีใครเคยเป็นแบบนี้มา ก่อนรึเปล่ายังไม่รู้เลยอูโน่เลยอธิบายเหมิงเหล่ยได้แค่คําเดียวคืออัจฉริยะ อัจฉริยะตัวจริง การที่มารู้จักกับคนแบบนั้นเขาเองก็ต้องทําดีเป็นเรื่องปรกติ เหมิงเหล่ยนั้นอาจจะกลายไปเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลอย่างสูงในอนาคตก็ได้ และเมื่อเป็นแบบนั้น เขาเองก็มีส่วนที่จะได้รับผลดีไปด้วย เพราะงั้น พอเขาได้ยินว่าเหมิงเหล่ยจะมาขอให้เขาช่วยอโน่เลยดีใจออกนอกหน้านิดนึง
“คือ ข้าอยากจะขอหยุดกลับบ้านซักเดือนนึงนะครับ เหมิงเหล่ยไม่ลังเลที่จะตรงเข้าประเด็นทันทีไม่อ้อมค้อมเพราะเขาเป็นนักสู้ระ ดับเงินแล้วปรกติตามกฏเขาต้องเข้าประลองอย่างน้อย 5 ครั้งต่อเดือนปรกติเขาจะกลับบ้านไม่ได้เพราะเขาจะเสียตํา แหน่งของตัวเองไป “ลาหยุดงั้นซินะ” อูโน่พยักหน้า วิทยาลัยมังกรไฟตอนนี้ ก็ปิดเทอมฤดูหนาวอยู่มันเป็นเรื่องปรกติที่เหมิงเหล่ยจะกลับบ้านอูโน่เลยไม่ปฏิเสธแต่กลับยิ้มแย้มตอบรับ “ได้ซิแน่นอนแค่เดือนเดียวจะพอเหรอ 2 เดือนไปเลยดีไหมละ” “เดือนเดียวก็พอครับ” กว่าจะออกจากสนามประลองเพลิงมาได้เวลาก็เลยไปเกือบ 5ทุ่มแล้วเหมิงเหล่ยไม่ได้กลับไปที่วิทยาลัยเวทมนตร์แต่มุ่งหน้าไปที่โรงเรียนขวานใหญ่แทนเพื่อนวัยเด็กของเขาโจเซฟและแอนดริวเรียนอยู่ที่นั่น วันหยุดฤดูหนาวมีเหมือนกันในทุกๆโรงเรียนเหมิงเหล่ยเลยอยากจะชวนถามว่าโจเซฟกับแอนดริวจะกลับหมู่บ้านพร้อมกันเลยไหม ถ้าเป็นไปได้จะได้มีเพื่อนร่วมทางกลับด้วยกัน “ถ้าดูตามวันเวลานี้มันก็ผ่านมาร่วม 2 เดือนแล้วนะเนี่ยตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน … แล้วก็โจนาห์ด้วยสินะ”
นิยาย Picking Up Attributes From Todayไปเก็…
บทที่ 52 เปรียบเทียบสายเลือด
เจ้าของ เหมิงเหล่ย
เผ่าพันธุ์ มนุษย์ (มีสายเลือดมังกรไฟและสายเลือดมารเพลิง)
ความมั่งคั่ง 182,915 เหรียญทอง
ค่าร่างกาย นักรบระดับ 7 (14878/50000)
พลังวิญญาณ จอมเวทระดับ 6 (7102/10000)
พลังเวท จอมเวทระดับ 6 (6919/10000)
เวทมนตร์ เยอะมาก
วิชาออร่าสงคราม วิชามังกรไฟ
ทักษะการต่อสู้ เยอะมาก
“ค่าร่างกายของฉันก่อนหน้านี้ยังมีแค่ 7000กว่าๆอยู่เลยตอนนี้มันเด้งมาเป็น14878 แล้วเหรอเด้งขึ้นมาเยอะอะไรขนาดนี้วะ”
เหมิงเหล่ยตั้งสติตัวเองตอนที่เขามองค่าความสามารถของตัวเอง หลังจากผ่านวันเวลาฝึกตัวเองอย่างหนักตลอด 3 เดือนค่าความสามารถของเขายังไม่เพิ่มมากขนาดนี้เลย
ทั้งค่าร่างกาย ค่าพลังวิญญาณ ค่าพลังเวททั้งหมดของเขาเพิ่มขึ้น จนเกินระดับจอมเวทระดับ 6 และนักรบระดับ 7 ไปแล้วความสามารถในการต่อสู้ของเขามันสูงขึ้นมากตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา
นักรบระดับ 7
ตอนนี้เขานับได้ว่าอยู่ในระดับนักรบระดับสูงแล้วจะบอกว่าเขาแข็งแกร่งใช้ได้แล้วถึงจะเทียบกับคนทั้งเมืองหลวงก็ตามถ้าเกิดเขาไปที่พื้นที่ชนบทหน่อยคือยังไงเขาก็แข็งแกร่งที่สุดแน่นอน
“ถ้าเทียบกับค่าร่างกายแล้วตอนนี้ค่าพลังเวทดูเหมือนว่าจะตามหลังอยู่เลยแหะแต่ก็เอาเถอะพัฒนาไปได้ขนาดนี้ในเวลาแค่นี้เอง แถมยังไงถ้าฉันก็สามารถพัฒนาขึ้นไปปอีกตอนไหนก็ได้แล้วด้วย”
เหมิงเหล่ยเลื่อนสายตาตัวเองขึ้นไปมองที่ช่องความมั่งคั่งแล้วเขาก็เห็นเงิน ที่เขามี ตอนนี้เขามีเงินอยู่กับตัวทั้งหมด182,915 เหรียญทองแล้วซึ่งถ้าแปลเป็นค่าความสามารถก็จะได้18291
แต้ม18291แต้มเลยนะ
มันมากเพียงพอที่จะส่งให้เหมิงเหล่ยกลายไปเป็นจอมเวทระดับ 7 ได้อย่างง่ายดายถ้าเขาใช้เงินทั้งหมดไปลงกับค่าความสามารถ ด้วยพลังร่างกายและพลังเวทที่เขามีตอนนี้เขามีพลังมากพอที่จะลืมตาอ้าปากในโลกนี้ได้แล้ว
แต่เหมิงเหล่ยเองก็ไม่ได้รีบร้อนแลกแต้มอะไรขนาดนั้นเพราะยังไง มันก็เป็นค่าความสามารถที่เขาเพิ่มเมื่อไรก็ได้เขาจึงเก็บเงินส่วนนี้เอาไว้เพื่อแลกในจัง
หวะที่มันอันตรายหรือสําคัญจริงๆ ตอนนี้เขาควรประหยัดเท่าที่จะประหยัดได้ไปก่อน
นาทีกว่าๆต่อมา พลังงานในร่างกายของเขาก็หมดลงความรู้สึกแห้งเหือดซัดเข้ามาในตัวของเขาก่อนจะทําให้เขากลับคืนร่างมนุษย์มา
“ดูจากเวลาในการแปลงร่างแล้วสายเลือดมารเพลิงมันมีพลังมากพอๆกับสายเลือดมังกรไฟเลยแหะ”
ทําไมถึงแปลงร่างได้แค่นี้น่ะเหรอ
มันเป็นเพราะว่าด้วยร่างกายมนุษย์ของเหมิงเหล่ยทําให้การแปลงร่างมังกรของเขาอยู่ได้แค่ 8 นาทีเท่านั้นซึ่งร่างมารเพลิงก็อยู่ได้แค่ 8 นาที่เหมือนกัน
ใช้ร่างกายเดียวกัน ได้เวลาในการ แปลงร่างเท่ากันมันหมายความว่า พลังความสามารถของสายเลือดทั้ง 2 สายนั้นมีพลังพอๆกันเลย
“ตอนนี้ ฉันน่าจะเก่งพอใช้ได้แล้วละ มั่ง”
เหมิงเหลุ่ยพอใจกับสิ่งที่เขาได้รับใน ค่ําคืนนี้มากๆแต่ถึงอย่างนั้น ทั้งตัวของเขากลับเปลือยเปล่าอย่างอับอายตอนแปลงร่างไฟมันเผาเสื้อผ้าไปหมดอีกแล้ว
“ถ้าฉันมีแหวนมิตินะ ฉันก็จะได้เตรียมเสื้อผ้าดองเอาไว้ในแหวน จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์อะไรแปลกๆแบบนี้อีก”
เหมิงเหล่ยตอนนี้อยากได้แหวนมิติเก็บของยิ่งกว่าเดิมการมีแหวนมิติมันทําให้ชีวิตเขาสบายมากขึ้นเยอะแต่ราคาของมันตอนนี้ แม้แต่แหวนระดับกากสุดเขายังซื้อไม่ได้เลยด้วยซ้ํา
ปังปังปังปัง
เสียงเคาะประตูดังลั่นใครบางคนพยายามเคาะประตูห้องน้ํา
“หืม!!”
เหมิงเหล่ยหันไปมองที่ประตูทันทีเขาระแวงแล้วค่อยๆเดินไปเปิดประตูห้องน้ําก่อนจะพบขุนนางชาวมนุษย์พุงโตขึ้นนึงเดินเข้ามาในห้องน้ํามองหน้าเหมิงเหลี่ยแบบหาเรื่องสุดๆ
ชายร่างอ้วนคนนั้นตะโกนอย่างมีน้ําโห“เห้ยไอ้หนูเป็นบ้ารึไงวะล็อกประตูห้องน้ําจากด้านในน่ะอยากตายนักรึไงวะ?!”
“แฮ่ๆ ขอโทษที่นะครับ!!”
เหมิงเหล่ยยิ้มแหะๆก่อนจะสาวหมัดใส่หน้าของชายคนนั้นอย่างจัง
ผลัก!!
“บ้าเอ้ย เสื่อนี้มันตัวใหญ่ชิบหาย
เหมิงเหล่ยเดินออกมาจากห้องน้ําหลังจากที่เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เสื้อผ้า พวกนี้มันตัวใหญ่ขนาดที่ทําให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาสวมชุดกระโปรงอยู่ยังไงอย่างงั้นมันไม่สบายตัวสุดๆไปเลย
แต่ทําไงได้ละ ตอนนี้เขามีทางเลือกซะที่ไหนละ
นาทีต่อมา เหมิงเหล่ยที่แต่งชุดใหญ่ เกินตัวก็เดินไปเคาะประตูห้องของอูโน่คนคุมสนามประลองแห่งนี้
“เข้ามาได้”
“สวัสดีครับ ท่านอูโน่”
“โอ้ เหมิงเหล่ยนี้เอง”
อูโน่ยิ้มหันมองขึ้นมา แต่พอเห็นชุดที่เหมิงเหล่ยใส่ตอนนี้เขาก็ชะงักงงเขาชี้ไปที่เหมิงเหล่ยแล้วพูด “เออคือเจ้า…”
“อะแฮ่ม คือเผอิญว่าข้าเผลอทําชุดเลอะเทอะไปหมดน่ะเลย…”เหมิงเหล่ยยิ้มอย่างเขินๆเขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตาด้วยซ้ํา
“เลอะเทอะงั้นเหรอ” คําพูดของเหมิงเหล่ยทําให้อูโน่คิดไปถึงอย่างอื่นเขามองเหมิงเหล่ยด้วยสายตาแปลกๆก่อนจะพูด “นี้ค่าตัว 10000เหรียญทองของเจ้าตรวจเช็คจํานวนให้เรียบร้อยละ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ท่านอโน่ส่งให้กับมือข้าเองก็วางใจ” เหมิงเหล่ยตอบแล้วโบกมือก่อนจะยิ้ม“นอกจากมารับค่าตัวแล้วจริงๆวันนี้ข้ามีเรื่องอยากจะให้ท่านช่วยด้วยน่ะครับ”
“เรื่องอะไรกันละ”
อู่โน่เลิกคิ้ว แล้วมองเหมิงเหล่ยตั้งแต่ที่เหมิงเหล่ยเข้ามาในสนามประลองเพลิงแห่งนี้เขาแทบจะไม่ได้ขออะไรจากอูโน่เลยนั้นทําให้อูโน่รู้สึกลําบากใจเล็กน้อย
เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะว่าเขาตั้งใจ ที่จะสร้างหนี้บุญคุณกับเหมิงเหล่ยยังไง ละ
ใช่แล้วเขาอยากจะทําดีกับเหมิงเหล่ยไว้เป็นหนี้บุญคุณ
คนอื่นอาจจะไม่รู้ภูมิหลังของเหมิงเหล่ยแต่อูโน่นั้นสืบมาครบรู้ดีมากๆเพราะเขาเป็นถึงศิษย์เอกตัวท็อปของปี1วิทยาลัยมังกรไฟเลย
แต่ถึงอย่างนั้น แค่การเป็นนักเรียนวิทยาลัยมังกรไฟเฉยๆมันก็ยังไม่เพียงพอให้อูโน่อยากทําดีด้วยหรอกเหตุผลจริงๆที่อูโน่อยากทําดีด้วยก็เพราะผลงานที่เหมิงเหล่ยทําไว้ในสนามประลองตั๋งหาก ประลอง 30 ครั้ง ชนะ 24 เสมอ 3 แพ้ 4
เขาขึ้นมาเป็นนักสู้ระดับเงินได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ามาและชนะต่อเนื่องติดต่ อกัน 12 ครั้งรวดเป็นนักสู้ระดับเงินที่นักสู้ปรกติไม่อยากที่จะต่อกรด้วย เพราะด้วยพลังที่มหาศาลขนาดที่สู้ยังไงก็แพ้ไม่ว่าประสบการณ์จะเหนือกว่าแค่ไหนก็ตาม
ปรกติแล้วนักสู้ระดับเงินจะมีความสามารถในการต่อสู้ขั้นต่ําอยู่ที่นักรบระดับ 6 แต่ส่วนมากนักสู้ระดับเงินจะเป็นนักรบระดับ 7 กัน อย่างเช่นมารพยักซ์เพลิงเองที่สู้กับเหมิงเหลยมาล่าสุดก็เป็นนักสู้ ระดับ 7เหมือนกัน
ถ้าเป็นนักสู้ระดับ7 หรือจอมเวทระดับ 7 คนอื่นอูโน่จะไม่หมายตามองอะไรเพราะมีอยู่เยอะแยะใครมันจะไปสนใจกับแค่นักรบหรือจอมเวทระดับ 7
แต่
ถ้านักรบหรือจอมเวทระดับ 7 คนนั้นมีอายุแค่15 ปีอันนั้นเรียกว่าโคตรน่าสนใจสุดยิ่งกว่านั้นอูโน่เองก็สังเกตเห็นบางอย่างที่สําคัญมากอีกด้วยเหมิงเหล่ยนั้นไม่ได้เป็นแค่จอมเวทอย่างเดียวแต่ร่างกายของเขายังแข็งแกร่งมากอีกด้วยถึงแม้ว่าเขาจะใช้ความสา มารถทางร่างกายในการต่อสู้น้อยมาก ๆก็จริงตลอดการต่อสู้ทั้ง 30 ครั้ง แต่มันก็ ไม่อาจหลบเลี่ยงสายตาของอูโน่ได้
เด็ก อายุ 15
มีพลังระดับ 6 ขึ้นไป
แถมเชี่ยวชาญทั้งสายเวทและสายกายภาพอีก
อย่าว่าแต่จะเคยเห็นเลย ในประวัติศาสตร์ไม่รู้ว่าจะมีใครเคยเป็นแบบนี้มา ก่อนรึเปล่ายังไม่รู้เลยอูโน่เลยอธิบายเหมิงเหล่ยได้แค่คําเดียวคืออัจฉริยะ
อัจฉริยะตัวจริง
การที่มารู้จักกับคนแบบนั้นเขาเองก็ต้องทําดีเป็นเรื่องปรกติ เหมิงเหล่ยนั้นอาจจะกลายไปเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลอย่างสูงในอนาคตก็ได้ และเมื่อเป็นแบบนั้น เขาเองก็มีส่วนที่จะได้รับผลดีไปด้วย
เพราะงั้น พอเขาได้ยินว่าเหมิงเหล่ยจะมาขอให้เขาช่วยอโน่เลยดีใจออกนอกหน้านิดนึง
“คือ ข้าอยากจะขอหยุดกลับบ้านซักเดือนนึงนะครับ
เหมิงเหล่ยไม่ลังเลที่จะตรงเข้าประเด็นทันทีไม่อ้อมค้อมเพราะเขาเป็นนักสู้ระ ดับเงินแล้วปรกติตามกฏเขาต้องเข้าประลองอย่างน้อย 5 ครั้งต่อเดือนปรกติเขาจะกลับบ้านไม่ได้เพราะเขาจะเสียตํา แหน่งของตัวเองไป
“ลาหยุดงั้นซินะ”
อูโน่พยักหน้า วิทยาลัยมังกรไฟตอนนี้ ก็ปิดเทอมฤดูหนาวอยู่มันเป็นเรื่องปรกติที่เหมิงเหล่ยจะกลับบ้านอูโน่เลยไม่ปฏิเสธแต่กลับยิ้มแย้มตอบรับ “ได้ซิแน่นอนแค่เดือนเดียวจะพอเหรอ 2 เดือนไปเลยดีไหมละ”
“เดือนเดียวก็พอครับ”
กว่าจะออกจากสนามประลองเพลิงมาได้เวลาก็เลยไปเกือบ 5ทุ่มแล้วเหมิงเหล่ยไม่ได้กลับไปที่วิทยาลัยเวทมนตร์แต่มุ่งหน้าไปที่โรงเรียนขวานใหญ่แทนเพื่อนวัยเด็กของเขาโจเซฟและแอนดริวเรียนอยู่ที่นั่น
วันหยุดฤดูหนาวมีเหมือนกันในทุกๆโรงเรียนเหมิงเหล่ยเลยอยากจะชวนถามว่าโจเซฟกับแอนดริวจะกลับหมู่บ้านพร้อมกันเลยไหม ถ้าเป็นไปได้จะได้มีเพื่อนร่วมทางกลับด้วยกัน
“ถ้าดูตามวันเวลานี้มันก็ผ่านมาร่วม 2 เดือนแล้วนะเนี่ยตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน … แล้วก็โจนาห์ด้วยสินะ”
MANGA DISCUSSION