Physicians Odyssey - ตอนที่ 58 ความอิจฉาของเพื่อนสนิท
บทที่ 58 ความอิจฉาของเพื่อนสนิท
เป็นเรื่องปกติที่จะมีนักเรียนต่อสู้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชมรมมวยไทย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอาการบาจเจ็บที่เกิดจากการตีกันจะไม่เกี่ยวกับทางโรงเรียนและสถานีตำรวจ ประการแรก พวกนี้ไม่มีใครซักคนที่เป็นคนบริสุทธิ์ ประการที่สอง พวกเขาจะต้องถูกหัวเราะเยาะแน่นอนหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป
ถึงแม้พวกทีมบาสจะไม่ได้ช่วยอะไรมากเท่าไหร่ จ้าวเจี้ยนก็ยังคงเลี้ยงข้าวเช้าทุกคนที่ร้านอาหาร
หยูโบขอก้อนน้ำแข็งจากพนักงานเสิร์ฟในขณะที่กำลังถูใบหน้าที่บวมเป่งของตัวเอง เขายิ้มก่อนจะมองไปยังซูเถา “หมอซู คุณยังรับศิษย์อยู่หรือเปล่า ? วิชาเข็มบินของคุณมันขั้นเทพจริงๆ ผมอยากจะเรียนวิชานั้นจากคุณ”
เมื่อเห็นว่าซูเถานิ่งเงียบ เสี่ยวจิงจิงพูดขึ้น “หยูโบ อาจารย์ของชั้นเก่งด้านการแพทย์ ถ้านายต้องการจะเรียนจริงๆ อาจารย์ของชั้นอาจจะพิจารณาดู แต่ถ้านายอยากจะเรียนวิธีต่อยตี ชั้นเกรงว่าเขาจะไม่สนใจนายเลยแม้แต่น้อย”
หยูโบยักไหล่ก่อนจะหัวเราะไปทางจ้าวเจี้ยน “ศิษย์พี่นายนี่วาจาร้ายกาจใช่เล่นแฮะ”
“พี่โบ อย่าพยายามเลย อาจารย์ผมไม่รับพี่หรอก” จ้าวเจี้ยนยักไหล่
หลังจากเงียบไปพักใหญ่ ในที่สุดซูเถาก็เปิดปากพูด “จริงๆแล้วการช่วยคนกับการทำร้ายคนมันก็อย่างเดียวกันนั่นแหละ ฝีมือการฝังเข็มของจ้าวเจี้ยนก็กำลังไปได้สวย อีกซัก 2-3 ปี เขาก็ทำแบบที่ชั้นทำในวันได้เองแหละ”
ได้ยินซูเถาพูดแบบนั้น จ้าวเจี้ยนรู้สึกดีใจมาก เขายิ้ม “อาจารย์ วางใจได้เลย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมจะตั้งใจฝึกเกี่ยวกับการฝังเข็มให้หนักขึ้น””
พอเห็นว่าซูเถาไม่รับเขาเป็นศิษย์ หยูโบยิ้มเจื่อนๆพลางฉีกขนมปังแท่งจิ้มนมถั่วเหลือง “ชั้นคิดว่า K มันคงจะไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่ายๆแน่ พวกนายควรจะระวังตัวเอาไว้ให้ดี เดี๋ยวชั้นจะโทรหาญาติตอนค่ำๆให้เขาช่วยจัดการเรื่องนี้เอง”
จ้าวเจี้ยนอารมร์บ่จอยในทันที “จัดการอะไรอีกล่ะ ? พวกมันเป็นฝ่ายเริ่มก่อนไม่ใช่หรือไง”
หยูโบส่ายมือ “มันไม่ง่ายขนาดนั้นเนี่ยสิ ชั้นได้ยินมาว่า K มันใช้เงินเพื่อที่จะสร้างปัญหาให้กับเสี่ยวจิงจิง”
“ใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ?” จ้าวเจี้ยนขมวดคิ้ว
“ชั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” หยูโบส่ายหัว
เสี่ยวจิงจิงถอนหายใจก่อนที่สีหน้าของเธอจะเปลี่ยนไป “ชั้นรู้ว่าใคร !”
ทันใดนั้น จ้าวเจี้ยนได้เอามือทุบโต๊ะด้วยความโกรธ “มันเป็นใคร จะได้เห็นกันว่าชั้นจะฆ่ามันหรือเปล่า ”
“หลิวเฉียน รูมเมทชั้นเอง” เสี่ยวจิงจิงส่ายหัวก่อนจะพูดต่อ “อาทิตย์ที่แล้วตอนชั้นกลับไป ชั้นรู้ว่าเธอแอบโยนของๆชั้นทิ้งไป พอชั้นถามเธอเรื่องนี้ เธอปฏิเสธแถมยังบอกอีกว่าเธอจะให้คนมารังควานชั้นอีก วันต่อมา K ก็เริ่มมารังแกชั้นในขณะที่ชั้นกำลังขายครีมอยู่”
“เข้าแก๊ปพอดีเลย ชั้นได้ยินมาว่าหลิวเฉียนนั้นร่ำรวยแถมยังมีเส้นสายเยอะแยะอีก ชั้นมักจะเห็นรถหรูมารับเธอบ่อยๆ” หยูโบพยักหน้า
เสี่ยวจงิจิงถอนหายใจ “เมื่อก่อนชั้นคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรานั้นดีมากๆ แต่ตอนนี้ ตัวของเธอนั้นมีเพียงความเกลียดชังให้กับชั้นเท่านั้น”
ซูเถาเคยเจอหลิวเฉียนครั้งนึง เธอดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่านักเรียนคนอื่นแถมยังดูจะค่อนข้างเจนโลกซะด้วย ซูเถาขมวดคิ้วก่อนจะวิเคราะห์ “ความอิจฉาริษยาของผู้หญิงนี่น่ากลัวจริงๆ ตอนแรกพวกเธอเป็นเพื่อนสนิทกันเธอในตอนที่เธอเป็นเหมือนกับดอกไม้ แต่พอเธอเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน มันจึงเลี่ยงไม่ได้ที่เธอคนนั้นจะรู้สึกอิจฉาและต้องการจะสร้างปัญหาให้กับเธอ”
เสี่ยวจิงจิงนิ่งเงียบหลังจากได้ยินที่ซูเถาพูด สีหน้าของเธอดูจะซับซ้อนพอดู
หลังจากคุ่นคริดอยู่สั้นๆ ซูเถาพูดกับเสี่ยวจิงจิง “เราต้องแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง เธอโทรไปหาหลิวเฉียนแล้วเรียกให้เธอออกมา เราต้องแก้ปัญหานี้”
ทันใดนั้น หยูโบกลับมาคึกคักอีกครั้งพลางถูมือ “ชั้นจะโทรหาญาติเดี๋ยวนี้แหละ ถ้าเขาอยู่ด้วย น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
เมื่อมองไปยังสายตาของซูเถา เสี่ยวจิงจิงถอนหายใจก่อนจะโทรไปหาหลิวเฉียน
หลิวเฉียนรับโทรศัพท์ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มีอะไร ?”
เสี่ยวจิงจิงปรับอารมณ์ของเธอก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ “เธอเป็นคนที่ส่ง K มารังควานชั้นใช่มั้ย ?”
หลิวเฉียนขมวดคิ้วก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ใช่ ชั้นเองแหละ แล้วยังไง ? เธอรู้สึกดีแล้วยังตอนนี้น่ะ ? คงจะมีความสุขมากสินะที่ผู้หญิงเชยๆอย่างเธอเป็นที่นิยมขึ้นน่ะ ?”
เสี่ยวจิงจิงไม่คิดว่าหลิวเฉียนจะยอมรับโต้งๆแบบนี้ เธอกำลังระงับความโกรธเอาไว้ในใจ “หลิวเฉียน พวกเราเป็นรูมเมทกันมา 3 ปี แล้วชั้นก็ดูแลช่วยเหลือเธออย่างดี ชั้นเป็นคนเดียวที่คอยดูแลเธอเมื่อเธอเมากลับมา ชั้นถึงขนาดช่วยซักเสื้อผ้าให้ เอาผ้าปูที่นอนของเธอไปตากแดด ตลอดมาที่…”
หลิวเฉียนขัดจังหวะ “หยุดเลย อย่ามาทำตัวข่มชั้นนะ ชั้นเป็นคนเดียวที่เติมบัตรอาหารให้เธอ ในสายตาชั้น เธอมันก็เหมือนกับสาวใช้นั่นแหละ ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็เหมือนนายจ้าง ลูกจ้างนั่นแหละ ชั้นไม่ได้ติดหนี้อะไรเธอทั้งนั้น !”
ได้ยินดังนั้น เสี่ยวจิงจิงยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก เธอไม่เคยคิดเลยว่าหลิวเฉียวจะทำร้ายเธอด้วยคำพูดเช่นนี้ “ออกมาเจอกันหน่อย ได้เวลาสะสางเรื่องนี้กันแล้ว”
หลิวเฉียวตอบกลับ “แน่นอน เจอกันที่ลานสเก็ต Goofy อีกครึ่งชั่วโมง อ้อ ขนคนมาเยอะๆด้วยล่ะ เผื่อเอาไว้เกิดเราทะเลาะกันขึ้นมา”
หลิวเฉียวไม่รู้เลยว่า K นั้นโดนอัดเละคาชมรมมวยไทยไปแล้ว
หลังจากวางสาย เธอถอนหายใจ “ได้ยินแล้วใช่มั้ย นังตัวดีนั่นต้อองการจะสะสางเรื่องนี้กับชั้น ลุงเฉิน คุณต้องช่วยชั้นนะ !”
“แม่จิ้งจอกน้อยตัวดี เมื่อคืนเธอเพิ่งทรมานชั้นไปทั้งคืน แล้วยังไม่ยอมให้ชั้นนอนจนถึงเช้าอีก” เฉินหลิงเฟิงหาวในขณะที่มองไปยิงนาฬิกา
หลิวเฉียนขยับมือของเธอไปยังร่างกายท่อนล่างของเฉินหลิงเฟิงก่อนจะกระซิบไปที่ข้างหูของเขา “ลุงเฉิน คุณยังปึ๋งปั๋งอยู่เลย จะรีบโยนผ้ายอมแพ้ง่ายๆเหรอ ?”
เฉินหลิงเฟิงยักไหล่ก่อนจะพลิกตัวกดหลิวเฉียนพลางจับหน้าอกของเธอ “ยัยจิ้งจอกนี่ เดี๋ยวคุณลุงคนนี้จะจัดหนักให้เอง”
หลังจากพูดจบ เขาก็ควักน้องชายตัวเองออกมา กลิ่นของมันเกือบทำให้หลิวเฉียนอาเจียน เฉินหลิงเฟิงจับยัดเข้าปากของเธออย่างรุนแรงและหนักหน่วง แต่หลังจากทำความเคยชินกับมันแล้วเธอก็เริ่มสนุกไปกับมัน เธอใช้มือช่วยคลึง ท่าทางของเธอนั้นราวกับกำลังลิ้มรสไส้กรอกอันโอชะเลยทีเดียว
ไม่กี่นาทีต่อมา เฉินหลิงเฟิงร้องครางด้วยความเสียวก่อนจะนอนแผ่บนเตียง ถึงแม้ว่ารูปร่างหน้าตาของหลิวเฉียนจะดูธรรมดา แถมเธอก็ไม่ได้หุ่นดีอะไรมากมาย แต่เรื่องบนเตียงนั้นเธอราวกับสัตว์ป่า มันทำให้เฉินหลิงเฟิงติดใจเธอมาก
หลิวเฉียนหยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปาก ก่อนที่จะเข้าไปกระซิบข้างหูของเฉินหลิงเฟิงด้วยรอยยิ้มจนทำให้เขาหัวเราะออกมาก่อนจะตอบกลับ “เนื่องจากเธอเป็นเด็กดีว่าง่าย คุณลุงคนนี้จะช่วยเธอเอง ขอพักแป๊ปนึงเดี๋ยวชั้นจะไปกับเธอด้วย”
ธุรกิจลานสเก็ตนั้นถือว่ากำลังไปได้สวย เนื่องจากมีทั้งผู้หญิงที่ย้อมผมหลากสีกำลังเล่นสเก็ตอยู่ หรือแม้แต่พวกเด็กพังค์นั่งสูบบุหรี่ พวกเขาดูอายุไม่ถึง 18 กันซักคน ดูทรงแล้วคงเป็นพวกหยุดเรียนกลางคันโดยที่ไม่มีใครคอยคุมที่บ้านเลย
ผ่านไปราว 10 นาที มีรถขับมาจออดที่หน้าลานสเก็ตน้ำแข็งก่อนที่ชายหัวล้านสวมเสื้อลายดอกพร้อมทั้งแว่นกันแดดลงมาจากรถกับพวกรปภ. “ล้อมที่นี่เอาไว้ บอสจะใช้ที่นี่ในการพูดคุย”
หลังจากพวกผู้หญิงกับพวกเด็กพังค์โดนไล่ไปหมดแล้ว ชายหัวล้านคนนั้นได้วิทยุไป 2-3 คำ หลังจากนั้นได้มีรถคันสีดำมาจอดที่หน้าประตูก่อนที่เฉินหลิงเฟิงจะลงมาโดยมีหลิวเฉียนยืนกอดแขนเขาอยู่ข้างๆ
เฉินหลิงเฟิงตัวสูงประมาณ 5.8 ฟุต แต่เนื่องจากขนาดตัวที่ท้วมของเขาจึงดูราวกับตอไม้ ใบหน้ากลมและเต็มไปด้วยรอยแผลเล็กๆที่เหมือนกับพวกนักฆ่า
พอเห็นว่าอีกฝ่ายยังเด็ก เฉินหลิงเฟิงรู้สึกเหมือนโดนดูถูกกลายๆ ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้ว “คนไหนที่มันยั่วเธอ ? ชี้ไปเลย แล้วชั้นจะจัดการให้เธอเอง”
“ผู้หญิงคนนั้น” หลิวเฉียนชี้ไปยังเสี่ยวจิงจิง
เฉินหลิงเฟิงหยักหน้า “ไปเอาตัวเธอมา”
ชายหัวล้านตอบกลับ “ได้ครับบอส รอซักครู่”
ชายหัวล้านไม่ได้ติดกระดุมเสื้อตัวบนสองตัว ทำให้เห็นขนที่หน้าอกและรอยสักลายเสือ ในตอนที่เขาเดินเข้าไป พวกทีมบาสตัวสั่นเล็กน้อยด้วยความกลัว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต่อยตีมาหลายครั้ง แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับพวกใต้ดิน ระดับของพวกเขามันต่างกันเกินไป
หยูโบยังคงนิ่งอยู่ “รออีกแป๊ปนึงได้ไหม รอให้ญาติชั้นมาถึงก่อนแล้วเราค่อยคุยกัน”
ชายหัวล้านคนนั้นอึ้งไปครู่นึงก่อนจะหัวเราะออกมา “คุยเหรอ ? คุยกับแม่แกสิวะ !”
เขาเดินเข้ามาที่หยูโบ ก่อนจะตบไปที่หน้าของเขา อย่างไรก็ตาม ซูเถาที่ยืนอยู่ข้างหยูโบได้เคาะไปที่มือของชายหัวล้านเบาๆ ทำให้เขาสูญเสียแรงที่มือไป
มีเหงื่อผุดขึ้นมาที่หน้าผากของหยูโบ ในตอนนั้นโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นพอดี “มาถึงแล้วเหรอ ? พวกเรารอพวกนายอยู่ข้างใน”
ในตอนนั้นเอง ชายหัวล้านได้ถูกซูเถาผลักเบาๆ ก่อนที่จะเซไปหลายก้าว เมื่อเขาตั้งหลักได้ก็มองไปยังซูเถาด้วยความกลัวเพราะเขารู้ว่าซูเถานั้นฝีมือคงไม่ใช่เล่นๆ
ญาติของหยูโบได้พาคนมากับเขาด้วย 3 คน ในตอนที่เขาเข้ามาแล้วเห็นเฉินหลิงเฟิง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที “ลุงเฟิง ขอโทษด้วยที่ลูกพี่ลูกน้องของผมไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงและก่อปัญหาให้กับคุณ ผมจะพาเขาออกไปเดี๋ยวนี้แหละ”
เฉินหลิงเฟิงมองดูชายคนนั้นอยู่นาน เขาไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าชายคนนั้นเป็นใคร ก่อนที่ชายหัวล้านจะเดินมายังเขาและแนะนำให้รู้จัก
เฉินหลังเฟิงพยักหน้า “นายเป็นคนของพวกล่าเหม่อติ้งงั้นเหรอ ? ต่อให้ล่าเหม่อติ้งอยู่ที่นี่ ชั้นก็มีสิทธิ์ที่จะสั้งสอนลูกน้องของมันอยู่ดีว่าควรทำตัวยังไง ชั้นอายุมากกว่ามัน นายไปยืนดูอยู่เฉยๆซะ เดี๋ยวลุงเฟิงคนนี้จะสอนนายเองว่าจะสอนพวกละอ่อนนี่ยังไงในวันนี้”
ญาติของหยูโบดูจะอับอายพอสมควรก่อนจะส่งสัญญานไปทางหยูโบ “ยืนบื้ออยู่ทำไม ทำไมนายยังไม่ไปขอโทษลุงเฟิงอีก ?”
ในตอนแรก หยูโบคิดว่าญาติของเขานั้นมีอำนาจ เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าญาติขอองเขาจะก้มหัวให้กับเฉินหลิงเฟิง เขารู้สึกผิดหวังมาก แต่ก็นั่นแหละ เขาบอกได้เลยว่าเฉินหลิงเฟิงนั้นไม่ใช่แค่นักเลงธรรมดาๆ แต่เขาเป็นถึงผู้มีอิทธิพลในฮั่นโจว
จ้าวเจี้ยนเห็นว่าสถานการณ์นี้มันเริ่มจะยากขึ้นทุกที “พี่โบ คุณจัดการเรื่องนี้ให้มันง่ายขึ้นไม่ได้เหรอ ?”
“นี่นายกำลังดูถูกชั้นอยู่หรือไง ?” หยูโบจ้องไปยังจ้าวเจี้ยน ก่อนจะหันไปทางญาติของเขา “ถ้านายไม่คิดจะช่วยชั้นก็ออกไป ชั้นไม่ก้มหัวขอโทษเขาหรอก”
หยูโบนั้นเป็นพวกเลือดร้อน หาก